พยานตามหมายเรียก 4 ปาก “วิษณุ-ผัน-ไพศาล-วิเชียร” เข้าเบิกความคดีรุกที่คลองด่าน ขณะ “วัฒนา” เข้าเบิกความปากสุดท้าย ปฏิเสธ ไม่ผิด คุยโว้ ไม่เคยบังคับชาวบ้านขายที่ ถ้าข่มขู่คงไม่ได้คะแนนเสียงมากจนเป็น ส.ส. แถมอ้างไม่สบายให้ศาลยุติสอบปากคำ ศาลนัดไต่สวนอีกครั้ง 6 พ.ค.เก้าโมง
วันนี้ (2 พ.ค.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีดำ อม.2/2550 พร้อมองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานจำเลยครั้งสุดท้าย คดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย และประธานพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และ 157 ในการใช้อำนาจข่มขู่ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณะประโยชน์ และที่เทขยะมูลฝอย ซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษเพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ
ในวันนี้ (2 พ.ค.) นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นายผัน จันทรปาน อดีตอธิบดีกรมที่ดิน และอดีตตุลาการรัฐธรรมนูญ นายไพศาล กาญจนประพันธ์ อดีตเจ้าพนักงานที่ดิน จ.สมุทรปราการ สาขาบางพลี พล.ต.ต.วิเชียร สิงห์ปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พยานทั้ง 4 คน จากพยานจำนวน 10 คน ที่ศาลฎีกาออกหมายเรียกได้เดินทางเข้าเบิกความไต่สวน
นายวิษณุ เบิกความว่า ขณะนั้นตนดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่ง ครม.มีนโยบายในการดำเนินคดีนี้อย่างเคร่งครัด จึงอาจทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นการกลั่นแกล้ง ทั้งที่ความจริงแล้ว ตนเชื่อว่า ไม่มีการกลั่นแกล้งให้บุคคลใดได้รับผิด เพราะเรื่องนี้คณะกรรมการที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการออกโฉนดของคณะกรรมการที่ดินที่ทำหน้าที่ออกโฉนดที่ดินพิพาทนี้ ได้ทำการสอบสวนแล้วเห็นว่า การออกโฉนดที่ดินดังกล่าวมิชอบ ครม.จึงมีความเห็นตามคณะกรรมการชุดนี้
นายวัฒนา จำเลยเดินทางเบิกความด้วยตนเองเป็นพยานจำเลยปากสุดท้าย โดยทนายความใช้คำถามนำ ให้ นายวัฒนา ตอบเพียงสั้นๆ ว่าใช่หรือไม่ ได้ความว่า ได้รับเลือกเป็น ส.ส.ใน จ.สมุทรปราการ มา 10 สมัย พื้นที่ฐานเสียงสำคัญอยู่ใน ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ถ้าหากมีการข่มขู่ชาวบ้านให้ขายที่ดินคงไม่ได้รับคะแนนเสียงจนได้รับเลือก เป็น ส.ส.โดยการซื้อขายที่ดินพิพาท กระทำในนามเหมืองแร่ลานทองซึ่งชาวบ้านขายที่ดินให้เพราะถูกน้ำทะเลกัดเซาะ จึงตัดสินใจซื้อเพราะต้องการรักษาฐานเสียง และนำที่ดินดังกล่าวไปให้เช่าทำนากุ้ง ซึ่งจากการเป็น รมช.มหาดไทย ไม่ได้มีหน้าที่กำกับดูแลกรมที่ดิน การซื้อที่ดินเป็นการซื้อในนามภาคเอกชนไม่เกี่ยวกับหน้าที่ราชการ
นอกจากนี้ ยังไม่มีหน้าที่จัดซื้อที่ดิน ต่อมาบริษัท ปาล์มบีช ของ นายสุบิน ปิ่นขยัน เพื่อนนักการเมืองได้ติดต่อขอซื้อที่ดินจากตนไปทำสนามกอล์ฟ จึงขายให้จำนวน 900 ไร่ ราคา 88 ล้านบาท ในระยะแรกบริษัทปาล์มบีชฯ ยังไม่มีเงินทุนมาก จึงได้ระดมให้บริษัทนอร์ทเทิร์น รีสอร์ต ที่ตนถือหุ้นอยู่ 20 เปอร์เซ็นต์เข้าร่วมกิจการ แต่ตนไม่ได้เป็นกรรมการบริหารผู้มีอำนาจ ซึ่งต่อมาบริษัทปาล์มบีชฯได้ซื้อที่ดินจากชาวบ้านอีก มี นายสมพร อัศวเหม น้องชายตนเป็นนายหน้าในการจัดซื้อที่ดิน จึงมีการไปทำสัญญาซื้อขายที่บ้านอัศวเหม ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวคนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นบ้านของตนเพียงผู้เดียว แต่ที่จริงแล้วมีบ้านอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวกว่า 40 หลัง
นายวัฒนา เบิกความต่อว่า จากนั้นบริษัท ปาล์มบีช นำที่ดินไปทำสนามกอล์ฟ และจ้างชาวบ้านมาร่วมพัฒนา ดังนั้น ข้อกล่าวหาที่อัยการโจทก์ฟ้องตนเป็นจำเลยจึงไม่เป็นความจริง ตนไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา และไม่ได้บังคับขืนในให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนด ไม่มีอำนาจในการกำกับดูแลกรมที่ดิน คำฟ้องของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด (ป.ป.ช.) และอัยการโจทก์ จึงเป็นความเท็จ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ นายวัฒนา เบิกคำถามได้ประมาณ 40 นาที นายวัฒนา ได้ยกมือขออนุญาตศาลขอหยุดการไต่สวนในวันนี้เพียงเท่านี้ เนื่องจากเกิดอาการไม่สบาย มีอาการวิงเวียน ศาลจึงอนุญาตให้หยุดการไต่สวนนายวัฒนา ในวันนี้เพียงเท่านี้ และนัดไต่สวนนายวัฒนา อีกครั้งในวันที่ 6 พฤษภาคม เวลา 09.00 น.