“ยงยุทธ ติยะไพรัช” ยังไม่ยอมรับใบแดงทุจริตเลือกตั้ง ส่งทนายแจ้งความดำเนินคดี “พ.ต.อ.สุวรรณ” อ้างได้รับคำสั่งสอบสวนคดีเลือกตั้งโดยไม่มีกฎหมายรองรับ
วันนี้ (26 มี.ค.) เมื่อเวลา 12.30 น.ที่กองปราบปราม นายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร เข้าพบ ร.ต.อ.สิทธิศักดิ์ หล๋อโตน พนักงานสอบสวน (สบ 1) ฝป.10 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.อ.สุวรรณ เอกโพธิ์ รอง ผบก.ส.1 ช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า(ศปก.ตร.สน.) จ.ยะลา ในความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานในการกระทำความผิด และแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำตนเป็นเจ้าพนักงาน โดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจนั้น ตาม ป.อาญา มาตรา 145, 157, 200, 83, 84 และ 86 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 มาตรา 27, 29 และ 45 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา มาตรา 20, 21 และ 137
นายพิชา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีกับ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ไปแล้วนั้น ตนได้ขอตรวจสอบเอกสารบันทึกคำให้การของ กกต.เพิ่มเติมจากศาล ในกรณีที่ กกต.มีมติ 3 ต่อ 2 เสียง ให้ใบแดงแก่ นายยงยุทธ โดยพบว่า พ.ต.อ.สุวรรณ ได้กระทำความผิดร่วมกับ พล.ต.ต.ชัยยะ อีกราย โดยปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนของ กกต.ทั้งที่ไม่มีกฎหมายรองรับ
“หากคุณไม่มีอำนาจหน้าที่ในการจับกุม แล้วคุณไปปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีอำนาจ ถามว่า มันถูกต้องตามกฏหมายหรือเปล่า ซึ่งในกรณีของ พ.ต.อ.สุวรรณ นั้น คำสั่งของ กกต.เพิ่งออกย้อนหลัง ซึ่งเหมือนคุณจับคนโดยไม่มีการแต่งตั้งในตอนนั้น แต่เมื่อคุณจับมาแล้วเพิ่งจะมีคำสั่งแต่งตั้งตามหลังมา ถามว่าคุณปฏิบัติหน้าที่โดยชอบธรรมหรือเปล่า อย่างไรก็ตามหากพบว่าใครเข้าข่ายความผิดดังกล่าวตนจะแจ้งความอีกอย่างแน่นอน” นายพิชา กล่าว
วันนี้ (26 มี.ค.) เมื่อเวลา 12.30 น.ที่กองปราบปราม นายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร เข้าพบ ร.ต.อ.สิทธิศักดิ์ หล๋อโตน พนักงานสอบสวน (สบ 1) ฝป.10 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.อ.สุวรรณ เอกโพธิ์ รอง ผบก.ส.1 ช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า(ศปก.ตร.สน.) จ.ยะลา ในความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานในการกระทำความผิด และแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำตนเป็นเจ้าพนักงาน โดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจนั้น ตาม ป.อาญา มาตรา 145, 157, 200, 83, 84 และ 86 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 มาตรา 27, 29 และ 45 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา มาตรา 20, 21 และ 137
นายพิชา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีกับ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ไปแล้วนั้น ตนได้ขอตรวจสอบเอกสารบันทึกคำให้การของ กกต.เพิ่มเติมจากศาล ในกรณีที่ กกต.มีมติ 3 ต่อ 2 เสียง ให้ใบแดงแก่ นายยงยุทธ โดยพบว่า พ.ต.อ.สุวรรณ ได้กระทำความผิดร่วมกับ พล.ต.ต.ชัยยะ อีกราย โดยปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนของ กกต.ทั้งที่ไม่มีกฎหมายรองรับ
“หากคุณไม่มีอำนาจหน้าที่ในการจับกุม แล้วคุณไปปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีอำนาจ ถามว่า มันถูกต้องตามกฏหมายหรือเปล่า ซึ่งในกรณีของ พ.ต.อ.สุวรรณ นั้น คำสั่งของ กกต.เพิ่งออกย้อนหลัง ซึ่งเหมือนคุณจับคนโดยไม่มีการแต่งตั้งในตอนนั้น แต่เมื่อคุณจับมาแล้วเพิ่งจะมีคำสั่งแต่งตั้งตามหลังมา ถามว่าคุณปฏิบัติหน้าที่โดยชอบธรรมหรือเปล่า อย่างไรก็ตามหากพบว่าใครเข้าข่ายความผิดดังกล่าวตนจะแจ้งความอีกอย่างแน่นอน” นายพิชา กล่าว
