ศาลอุทธรณ์พิพากษาประหารชีวิต ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น หลังคำให้การเป็นพิรุธ คดีสังหาร “กำนันตง” คนดังเมืองมหาสารคาม
วันนี้ (21 มี.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร บุตรชายนายศุภกร จรัสเสถียร หรือกำนันตง ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ส.ต.ท.ตี๋ พรมบัญชา อายุ 40 ปี และ ด.ต.ศรีเดช ตุ้ยศักดา อายุ 60 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐาน ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน และพ.ร.บ.อาวุธปืน ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 43 ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า
เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 43 เวลากลางวัน จำเลยทั้ง 2 กับพวกที่ยังหลบหนีได้ร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยจำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืนพกสั้นรีวอลเวอร์ขนาด .38 ยิงใส่นายศุภกร จรัสเสถียร หรือ กำนันตง หลายนัดจนถึงแก่ความตาย ส่วนจำเลยที่ 2 ผู้คุ้มกันจำเลยที่ 1 ให้มายังที่เกิดเหตุบริเวณ ป่าด้านหลังวัดป่าสามัคคีอุดมธรรมนิวัตร ต.ปะหลาน อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม จนกระทั่งก่อความผิดสำเร็จแล้วจึงพากันหลบหนีไป
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธโดยอ้างถึงวันเวลาที่เกิดเหตุ ว่า จำเลยไปทำงานตามปกติตั้งแต่ 08.00 น.ถึง 15.00 น. และยังเข้าประชุมต่อที่ สภ.เมืองขอนแก่น ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอื่นๆในเวลา 20.00 น.จึงไม่รู้เห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธอ้างว่า กลับจากการลงทัณฑ์หลังจากที่ไม่เข้าทำงาน โดยถูกสั่งให้เข้าเวรที่ห้องวิทยุ แล้วมารายงานตัวกับผู้บังคับบัญชา ในเวลา 15.30 น. ก่อนจะกลับไปช่วยภรรยาขายอาหารที่สหกรณ์เวลา 16.00 น.
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองแต่ให้ขังไว้ในระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาฝ่ายโจทก์อุทธรณ์คดีเกี่ยวกับเรื่องระยะทางและเวลาของฝ่ายจำเลยที่เบิกความต่อศาลไว้ในวันเกิดเหตุ
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมแล้วเห็นว่า คดีนี้ฝ่ายโจทก์มีพยานรู้เห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์รวม 5 คน ให้การลักษณะเดียวกันว่า มีกลุ่มคนร้ายขับรถกระบะตามผู้ตายจากที่อื่นจนมาถึงวัดโดยชายลักษณะคล้ายจำเลยที่ 1 เดินตามผู้ตายไปหลังวัดแล้วลงมือฆ่าผู้ตาย ขณะที่ชายลักษณะคล้ายจำเลยที่ 2 ยืนคุมเชิงอยู่หน้าศาลาวัด เชื่อว่าจำเลยที่ 1 เบิกความไปตามจริงคำให้การสามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย
ส่วนจำเลยที่ 2 ฝ่ายโจทก์ระบุถึงบันทึกข้อความและรายงานประจำวันธุรการระบุเวลา 13.30 น. จำเลยที่ 2 กลับมาจากการลงทัณฑ์ และมีการประทับตราหนังสือต้นสังกัดเวลา 14.30 น. จึงเป็นเวลาก่อนที่จำเลยจะพูดคุยรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา ขัดแย้งกับคำให้การเดิม นอกจากนี้หลังจากที่จำเลยได้ไปหาภรรยาเพื่อช่วยขายอาหารแล้วก็ไม่มีพยานเบิกความว่า พบตัวจำเลยที่ 2 อีก ประกอบโจทก์ได้อ้างถึงระยะทางระหว่าง สภ.เมืองขอนแก่น จนถึง อ.พยัคฆภูมิพิสัย มีระยะทาง 180 กม. อยู่ในวิสัยที่จะเดินทางไปถึงจุดเกิดเหตุได้จึงเชื่อว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับคนร้ายก่อเหตุยิงผู้ตายแล้วหลบหนี พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) , 83 , 33 ให้ลงโทษประหารชีวิต และให้ขังจำเลยที่ 1ไว้ระหว่างฎีกา
วันนี้ (21 มี.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร บุตรชายนายศุภกร จรัสเสถียร หรือกำนันตง ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ส.ต.ท.ตี๋ พรมบัญชา อายุ 40 ปี และ ด.ต.ศรีเดช ตุ้ยศักดา อายุ 60 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐาน ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน และพ.ร.บ.อาวุธปืน ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 43 ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า
เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 43 เวลากลางวัน จำเลยทั้ง 2 กับพวกที่ยังหลบหนีได้ร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยจำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืนพกสั้นรีวอลเวอร์ขนาด .38 ยิงใส่นายศุภกร จรัสเสถียร หรือ กำนันตง หลายนัดจนถึงแก่ความตาย ส่วนจำเลยที่ 2 ผู้คุ้มกันจำเลยที่ 1 ให้มายังที่เกิดเหตุบริเวณ ป่าด้านหลังวัดป่าสามัคคีอุดมธรรมนิวัตร ต.ปะหลาน อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม จนกระทั่งก่อความผิดสำเร็จแล้วจึงพากันหลบหนีไป
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธโดยอ้างถึงวันเวลาที่เกิดเหตุ ว่า จำเลยไปทำงานตามปกติตั้งแต่ 08.00 น.ถึง 15.00 น. และยังเข้าประชุมต่อที่ สภ.เมืองขอนแก่น ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอื่นๆในเวลา 20.00 น.จึงไม่รู้เห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธอ้างว่า กลับจากการลงทัณฑ์หลังจากที่ไม่เข้าทำงาน โดยถูกสั่งให้เข้าเวรที่ห้องวิทยุ แล้วมารายงานตัวกับผู้บังคับบัญชา ในเวลา 15.30 น. ก่อนจะกลับไปช่วยภรรยาขายอาหารที่สหกรณ์เวลา 16.00 น.
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองแต่ให้ขังไว้ในระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาฝ่ายโจทก์อุทธรณ์คดีเกี่ยวกับเรื่องระยะทางและเวลาของฝ่ายจำเลยที่เบิกความต่อศาลไว้ในวันเกิดเหตุ
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมแล้วเห็นว่า คดีนี้ฝ่ายโจทก์มีพยานรู้เห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์รวม 5 คน ให้การลักษณะเดียวกันว่า มีกลุ่มคนร้ายขับรถกระบะตามผู้ตายจากที่อื่นจนมาถึงวัดโดยชายลักษณะคล้ายจำเลยที่ 1 เดินตามผู้ตายไปหลังวัดแล้วลงมือฆ่าผู้ตาย ขณะที่ชายลักษณะคล้ายจำเลยที่ 2 ยืนคุมเชิงอยู่หน้าศาลาวัด เชื่อว่าจำเลยที่ 1 เบิกความไปตามจริงคำให้การสามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย
ส่วนจำเลยที่ 2 ฝ่ายโจทก์ระบุถึงบันทึกข้อความและรายงานประจำวันธุรการระบุเวลา 13.30 น. จำเลยที่ 2 กลับมาจากการลงทัณฑ์ และมีการประทับตราหนังสือต้นสังกัดเวลา 14.30 น. จึงเป็นเวลาก่อนที่จำเลยจะพูดคุยรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา ขัดแย้งกับคำให้การเดิม นอกจากนี้หลังจากที่จำเลยได้ไปหาภรรยาเพื่อช่วยขายอาหารแล้วก็ไม่มีพยานเบิกความว่า พบตัวจำเลยที่ 2 อีก ประกอบโจทก์ได้อ้างถึงระยะทางระหว่าง สภ.เมืองขอนแก่น จนถึง อ.พยัคฆภูมิพิสัย มีระยะทาง 180 กม. อยู่ในวิสัยที่จะเดินทางไปถึงจุดเกิดเหตุได้จึงเชื่อว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับคนร้ายก่อเหตุยิงผู้ตายแล้วหลบหนี พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) , 83 , 33 ให้ลงโทษประหารชีวิต และให้ขังจำเลยที่ 1ไว้ระหว่างฎีกา