ศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุก 25 ปี หนุ่มนครปฐม “มั่งมีศรีสุข” อ้างเป็นหมอดูบังคับข่มขืนนักเรียนสาว ม.6 ศาลชี้ข้ออ้างลอยๆ ฟังไม่ขึ้น
วันนี้ (19 ก.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพรไชย ปฐมปัญญา หรือ มั่งมีศรีสุข อาย 39 ปี ชาว จ.นครปฐม และ นายภัคดี หรือ เอ็ม สุนทรนันท์ อายุ 32 ปี ชาว จ.ชลบุรี เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐาน ร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี จากบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง เพื่อการอนาจาร ข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่น ซึ่งมิใช่ภรรยาตนโดยใช้กำลังประทุษร้ายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
ฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2546 ระบุความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 18 มิ.ย.-14 ธ.ค.2545 นายพรไชย จำเลย ที่ 1 ได้เข้าไปตีสนิทกับ น.ส.โฟร์ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ผู้เสียหายที่ 1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ขณะอ่านหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติ โดยอ้างว่าจบดอกเตอร์ด้านกฎหมาย และเป็นผู้ทำนายโชคชะตาให้กับเบื้องสูง พร้อมทำนายว่า ผู้เสียหายที่ 1 จะสามารถสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ และชักชวนไปศึกษาตำราโหราศาสตร์ในรถยนต์ของจำเลย แต่ผู้เสียหายปฏิเสธ จำเลยที่ 2 จึงเข้ามาล็อกแขน พูดจาข่มขู่ และบอกว่า มีอาวุธปืน แล้วพาขึ้นรถยนต์สีขาวติดฟิล์มกรองแสงสีดำ ขับไปตาม ถ.พุทธมณฑลสาย 4 จนถึงที่เปลี่ยว จำเลยที่ 1 ได้กระทำอนาจารผู้เสียหาย จากนั้นได้ไปที่โรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง โดยจำเลยที่ 2 รออยู่นอกห้อง ส่วนจำเลยที่ 1 ได้กระทำชำเราผู้เสียหายหลายครั้ง และข่มขู่ห้ามมิให้นำเรื่องไปบอกใคร มิฉะนั้น จะฆ่าให้ตาย และบังคับให้มาพบเพื่อข่มขืนอีกหลายครั้ง
ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นัดผู้เสียหายที่ 1 ให้ไปพบที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แต่ผู้เสียหายที่ 1 ไปถึงก่อนเวลา 2 ชั่วโมง เพราะได้นัด น.ส.แดง (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ผู้เสียหายที่ 2 เพื่อนนักเรียน ระหว่างนี้จำเลยทั้งสองมาถึง และพูดจาข่มขู่ ล็อกแขนผู้เสียหายที่ 2 แล้วพาขึ้นรถยนต์ไปที่โรงแรมตรัง ย่านบางขุนพรหม แล้วสลับสับเปลี่ยนข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่หลายครั้งจนรุ่งเช้าจึงพาผู้เสียหายไปส่งบริเวณ ถ.พระราม 2 เมื่อบิดามารดาผู้เสียหายได้ซักถามจนได้ความจริง จึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม วางแผนจับกุมจำเลยทั้งสองได้ ขณะมาพบผู้เสียหาย ชั้นสอบสวน และชั้นพิจารณา จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
คดีนี้ทั้งศาลชั้นต้น และ ศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 25 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุก 13 ปี
จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาคัดค้านเพียงคนเดียว โดยอ้างสถานที่อยู่ และไม่เคยรู้จักกับผู้เสียหายมาก่อน ขอให้ศาลฎีกายกฟ้องด้วย
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันโดยละเอียดรอบคอบแล้ว เห็นว่า ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงถึงรายละเอียดที่ถูกบังคับ ข่มขู่ และสภาพสถานที่ต่างๆ ทั้งอยู่กับจำเลยทั้งสองนานหลายชั่วโมงย่อมจดจำได้อย่างแม่นยำ เชื่อว่า เบิกความไปตามจริง รวมทั้งการที่จำเลยขู่บังคับไม่ให้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปบอกใครย่อมแสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์กระทำผิด ข้ออ้างจำเลยไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน