มารดาและภรรยาของเหยื่อการปะทะของกลุ่มผู้สนับสนุนกับกลุ่มคัดค้านการก่อสร้างโรงถลุงเหล็กที่ถูกยิงเสียชีวิต ระบายความในใจ คดียังไม่มีความคืบหน้า และไม่รู้ว่าตำรวจยังคงทำคดีอยู่หรือไม่ แต่ไม่เคยกลัว ใช้ชีวิตตามปกติสุข เผยลูกชายเป็นเสาหลักของบ้าน แม้จะสูญเสียแต่เพื่อนบ้านยังคงให้กำลังใจตลอด เผยอยากจะรู้คนที่ทำจะได้รับโทษอย่างไร
วันนี้ (17 มี.ค.) นางผิว คงตระกูล มารดานายรักศักดิ์ หรือหนุ่ม คงตระกูล คนงานก่อสร้างของเครือสหวิริยา ซึ่งถูกยิงเสียชีวิต ระหว่างเหตุปะทะกับกลุ่มผู้คัดค้านโครงการโรงถลุงเหล็ก เมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นเวลาเกือบ 50 วัน โดยแม้จะมีการแจ้งข้อกล่าวหากับนายบำรุง สุดสวาท ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 1 ต.แม่รำพึง ซึ่งให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และได้รับการประกันตัวออกไปแล้วนั้น ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีของบุตรชายว่าจนถึงขณะนี้ คดียังไม่คืบหน้า เงียบไปเลย ทางเราก็ไม่รู้เรื่องอะไร มีช่วงต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาก็ขึ้นไปยื่นเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ต่อ พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ซึ่งก็รับเรื่องไว้แล้ว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ถามว่ากลัวไหม ก็บอกว่ากลัวอยู่ กลัวทั้งเรื่องคน กลัวทั้งอิทธิพล เพราะเราก็อยู่กินกันแบบนี้ไม่เคยมีเรื่องกับใคร พอถึงวันนี้รู้สึกว่าทางตำรวจนิ่งไป ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะดำเนินคดีให้เราอยู่หรือไม่
“ฉันก็อยากให้ดำเนินคดีไปตามกฎหมาย ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ทางตำรวจก็มีถามว่าทุกวันนี้ มีใครมาลับๆ ล่อๆ ที่บ้านไหม ก็บอกไปว่ายังไม่มี” นางผิวกล่าว
มารดาเหยื่อของความขัดแย้งครั้งนี้กล่าวถึงความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตในปัจจุบันว่า อยู่กันปกติธรรมดา กลางคืนก็ปิดบ้าน ใครมาเรียกก็เปิดบ้านเปิดประตู ถ้ามัวแต่กลัวก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนเหมือนกัน เราก็อยู่กันแบบนี้ ถ้าเวรกรรมมีจริงก็ให้ตกที่เราหรือไม่ก็ตกที่เขา จะเป็นยังไงก็ช่าง เคยมีนักข่าวเป็นชาวต่างชาติเข้ามาถามเราเหมือนกัน แต่ก็มีล่ามเป็นคนไทยคอยแปล ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านก็ให้กำลังใจเป็นอย่างดี ก็อยู่กันอย่างสบายๆ ไม่เครียด ทุกคนในครอบครัวก็ทำงานปกติ เพียงแต่ขาด “หนุ่ม” ไป มันก็อาจจะทำอะไรไม่เท่ากับเขา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับเขาเป็นหลัก เรื่องอาหารการกินนั้นปกติ “หนุ่ม” จะเป็นคนคอยทำตลอดไม่ว่าญาติพี่น้องใครจะไปใครจะมา เขาก็จะเป็นคนหุงหาอาหารเป็นประจำ เราทุกคนก็คิดถึงเขาตลอด
นางผิวกล่าวถึงลางบอกเหตุในวันก่อนเกิดเหตุกับบุตรชายว่า ก่อนวันเกิดเหตุรู้สึกคิดถึงขึ้นมาก็เลยออกไปดักที่ทำงานพร้อมกับนายจรัล คงตระกูล อายุ 62 ปี บิดานายรักศักดิ์ ซึ่งขณะนั้นลูกชายก็กลับจากไปทอดแหปลาพอดีก็ได้คุยกัน ซึ่งปกติทุกคนในบ้านต้องกลับมาคุยกันพร้อมหน้าพร้อมตาทุกวันอยู่แล้ว ส่วนตัว “หนุ่ม” ก็ทำงานกลับดึก และเคยบ่นกับแม่ว่ากลับดึกทุกคืน ไม่ได้หยุดเลย บ่อยครั้งที่ถามแม่ว่า “หนุ่มหน้าเหมือนพ่อหรือแม่มากกว่ากัน” และหากยังไม่เสียชีวิต หลังจากเสร็จงานวันที่ 24 ม.ค. เขาก็มีเรืออยู่ลำหนึ่ง ก็ยังคุยว่าจะได้สร้างเรือเสียที แต่ก็ต้องมาจากไปเสียก่อน
“อยากจะรู้ว่าคนที่ทำจะได้รับโทษอย่างไร ฆ่าคนตายถึงขนาดนี้ ยิงกันกลางวันแสกๆ ด้วย คนงานที่อยู่ที่เกิดเหตุตรงต้นมะพร้าวก็น่าจะเห็นเหตุการณ์ ส่วนเรื่องของ ด.ญ.ภรพินิจ หรือน้องเม็ดฝ้าย บุตรสาวนายรักศักดิ์นั้น หากหน่วยงานได้เข้ามาช่วยเหลือจริงก็ส่งผลดีต่อน้องเม็ดฝ้ายให้ได้เรียนจบไวๆ จะได้สบาย”
ขณะที่ นางเขียด คงตระกูล ภรรยานายรักศักดิ์ กล่าวว่า ทราบมาว่าพอนายบำรุงตกเป็นผู้ต้องสงสัย เขาก็เข้าไปมอบตัวต่อทาง สตช.ทันที และก็ถูกประกันตัวออกมาโดยนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ประกันตัวออกมาเมื่อวันที่ 30 ม.ค.51 โดยส่วนตัวและทุกคนในครอบครัวก็ยังไม่เคยพบเห็นหน้านายบำรุงเลย รู้แต่ว่าบ้านนายบำรุงอยู่แถวโรงงานที่ทำงาน ใน ต.แม่รำพึง ที่รู้จักก็เพราะเพื่อนๆ กลุ่มของสามีเคยพูดถึงอยู่ว่าเป็นเพื่อนร่วมงาน เคยกินเหล้าด้วยกัน สามียังเคยไปทำงานกับนายบำรุงเช่นกัน
นางเขียดกล่าวถึงการช่วยเหลือจากฝ่ายต่างๆ ว่า ทางหน่วยงานที่สามีทำงานอยู่นั้น มาเป็นเจ้าภาพสวดศพเกือบทุกคืน และให้การดูแลช่วยเหลือ โดยทางหน่วยงานช่วยเหลือเงินจำนวน 150,000 บาท และยังบอกให้ไปเริ่มทำงานกับทางบริษัทได้ อีกทั้งยังรับผิดชอบในการส่งเสียค่าเล่าเรียนให้กับ “น้องเม็ดฝ้าย” จะส่งเสียให้เรียนจบจนได้รับปริญญา แต่ทางเราก็ขอเสนอไปว่า ขอรับเงินค่าเล่าเรียนเป็นรายเดือนดีกว่า จะได้สะดวกต่อการกดถอนตามธนาคารหรือตู้กดเงิน และขอให้ทำเอกสารมาเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะทั้งหมดเป็นเพียงคำบอกกล่าวของหน่วยงานเท่านั้น แต่ ณ ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการประชุมของทางหน่วยงานอยู่ เพราะเรื่องเด็กจะต้องมีการวางแผนระยะยาวตามขั้นตอนเสียก่อน ขณะที่เรื่องของผู้ใหญ่จะดำเนินการได้ง่ายและรวดเร็วกว่า แต่ทางเราก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร ถ้าใครไม่ช่วยก็ไม่ได้เรียกร้อง แต่หากใครยินดีที่จะช่วยเราก็รับไว้ ทางกระทรวงยุติธรรมก็เคยเดินทางมาหาเราอยู่เช่นกันและบอกว่าจะดำเนินการช่วยเหลือครอบครัว
ส่วนความรู้สึกของน้องเม็ดฝ้าย บุตรสาวนายรักศักดิ์นั้น นางเขียดกล่าวว่า น้องเม็ดฝ้ายก็รู้ รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่าง แรกๆ ก็ร้องไห้ เมื่อวานนี้ยังจะขอขึ้นไปเล่นกับพ่ออยู่เลย บางทีก็ขึ้นไปคุย ไปเล่นกับรูปถ่ายของพ่อ พอแม่บ่นหน่อย ก็จะยืมกุญแจไปไขห้องพ่อและฟ้องว่าแม่บ่นหนู โดยปกติแล้วลูกสาวก็จะสนิทกับสามีมากกว่า เพราะไม่เคยด่า ไม่เคยตีลูกเลย ทุกวันนี้ก็บอกลูกอยู่ตลอดว่า ให้เข้มแข็งไว้ เราต้องอยู่กันให้ได้
“ทางเราก็รอตำรวจอย่างเดียว ต้องไปหาตำรวจเองตลอด นอกจากมีความจำเป็นจริงๆ ทางตำรวจจึงจะส่งคนมารับ เวลาพบกับชาวบ้านกลุ่ม “เสื้อเขียว” ตำรวจยังไม่กล้าจะเจอเลย แต่ทางเราไม่ได้กลัวเพราะเราไม่ได้มีอะไรกับใคร เวลานี้ตายก็ไม่กลัว กลัวแต่ว่าจะอยู่ได้ต่อไปอย่างไรเท่านั้น” นางเขียดระบายความรู้สึก