เจ้าของร้านคอมพ์ร้องขอความเป็นธรรมให้กองปราบฯ เร่งตรวจสอบ ตร.สน.บางชัน 3 นาย ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เผยกลยุทธ์ร่วมแก๊งรีดทรัพย์ละเมิดลิขสิทธิ์คาราโอเกะ
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 มี.ค. นายกฤษฎา ปานบำรุง เจ้าของร้านคอมพิวเตอร์ ได้ทำหนังสือร้องเรียนผ่านมายังหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เรื่องร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่มิชอบของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางชัน เรียนผู้บังคับการกองปราบปราม โดยในเนื้อหาหนังสือดังกล่าวได้เล่าว่า เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้มีลูกค้า คือ นายวรวุฒิ ไม่ทราบนามสกุล ได้นำเครื่องคอมพิวเตอร์มาซ่อม และแจ้งความประสงค์ขอให้ทางร้านลงโปรแกรมคาราโอเกะให้ด้วย แต่ทางร้านปฏิเสธ เนื่องจากไม่มีโปรแกรมดังกล่าว ลูกค้าจึงได้สั่งประกอบเครื่องใหม่แทนโดยไม่วางมัดจำ แต่อ้างว่าให้ใช้เครื่องเก่าที่นำมาซ่อมเป็นเครื่องมัดจำแทน และบอกจะมารับเครื่องเก่าและเครื่องใหม่พร้อมกันในวันที่ 6 มี.ค. 51 แต่แจ้งให้ทางร้านทราบว่าช่วยหาโปรแกรมคาราโอเกะมาลงให้ด้วย แต่ทางร้านยังยืนยันปฏิเสธเหมือนเดิม แต่ลูกค้ายังตื้อให้ร้านหาแผ่นคาราโอเกะมาลงให้ได้
ต่อมาเช้าวันที่ 6 มี.ค. ลูกค้าโทร.มาสอบถามว่าเครื่องคอมพ์ทำเสร็จหรือยัง แต่ทางร้านแจ้งว่าไม่เสร็จเพราะขาดโปรแกรมคาราโอเกะ ที่ร้านไม่มีจริงๆ เพราะเป็นโปรแกรมเฉพาะทางร้านไม่มีไว้บริการ ต่อมาเวลา 13.00 น. ลูกค้าได้ขับรถจักรยานยนต์นำแผ่นโปรแกรมคาราโอเกะมาให้ที่ร้าน โดยบอกว่าเครื่องดังกล่าวจะนำไปใช้ที่ร้านอาหารของลูกค้า ขอร้องให้ทางร้านคอมพ์ช่วยลงโปรแกรมคาราโอเกะให้ด้วย
ต่อมาเมื่อช่างร้านคอมพ์ทำเสร็จเรียบร้อย ลูกค้าขอตัวออกไปกดเอทีเอ็ม หายไปประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อนำเงินมาชำระค่าซ่อมและเครื่องประกอบใหม่ จนถึงเวลา 15.45 น.ของวันเดียวกันได้มีชายฉกรรจ์เข้ามาภายในร้านพร้อมอ้างตัวเพื่อจับกุมเจ้าของร้านในข้อกล่าวหาว่าทางร้านละเมิดลิขสิทธิ์ โดยชุดจับกุมมีชายสวมเสื้อสีขาวแขนสั้น กับชายที่สวมเสื้อสีเทาแขนยาว โดยทางร้านมีภาพจากโทรทัศน์วงจรปิดภายในร้าน ปรากฏว่าลูกค้าที่มาสั่งประกอบเครื่องใหม่กับชายอีก 2 คน ที่เป็นตัวแทนรับมอบอำนาจจากเจ้าของลิขสิทธิ์มีความเกี่ยวข้อง และรู้จักกันมาก่อน เนื่องจากภาพที่ปรากฏในกล้องวงจรปิด ด้านนอกแสดงภาพว่าลูกค้าได้ส่งสิ่งของบางอย่างให้กับตัวแทนเจ้าของลิขลิทธิ์ ซึ่งทราบภายหลังว่าน่าเป็นกุญแจรถจักรยานยนต์คันที่ลูกค้าขับมาที่ร้านตอนส่งแผ่นคาราโอเกะ ดังนั้นจึงมั่นใจและแน่ใจว่าชุดจับกุม กับผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าของลิขสิทธิ์คาราโอเกะ และลูกค้าส่งซ่อมคอมพ์เป็นกลุ่มเดียวกัน ทั้งนี้ ในเหตุการณ์ทั้งหมาดทางผู้รับมอบอำนาจ จากเจ้าของลิขสิทธิ์ได้มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบของสน.บางชัน ฝ่ายสืบสวน 3 นาย ร่วมด้วย คือ ด.ต.สุพจน์ โทเกษ ด.ต.โอภาส คณะแพง และ ส.ต.ต.พงศภัคพล อันท้าว ผบ.หมู่งาน (สส.) ตำรวจสน.บางชัน โดยตำรวจทั้ง 3 นายไม่ได้มีเอกสาร หมายเรียก หมายค้น หรือหมายจับ มีแต่เพียงหนังสือที่ทางผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าของลิขสิทธิ์อ้างว่าไปแจ้งร้องเรียนกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ
โดยหนังสือดังกล่าวลงวันที่ 4 มี.ค.51 ซึ่งแสดงว่าได้มีการเตรียมการล่วงหน้ากันมาแล้ว ซึ่งตำรวจทั้ง 3 ได้พยายามเชิญเจ้าของร้านคอมพ์ไปที่ สน.บางชัน โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น บอกเพียงถ้าจะยอมความกันก็ไปตกลงกันที่โรงพัก ซึ่งทางร้านคอมพ์มีความแน่ใจว่าทั้งหมดเป็นขบวนการรีดทรัพย์อย่างแน่นอนและรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงขอให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงเข้าไปตรวจสอบพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับพวกกลุ่มมิฉาชีพพวกนี้ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้พวกกลุ่มมิจฉาชีพใช้พฤติกรรมดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อผู้อื่นอีกต่อไป
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 มี.ค. นายกฤษฎา ปานบำรุง เจ้าของร้านคอมพิวเตอร์ ได้ทำหนังสือร้องเรียนผ่านมายังหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เรื่องร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่มิชอบของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางชัน เรียนผู้บังคับการกองปราบปราม โดยในเนื้อหาหนังสือดังกล่าวได้เล่าว่า เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้มีลูกค้า คือ นายวรวุฒิ ไม่ทราบนามสกุล ได้นำเครื่องคอมพิวเตอร์มาซ่อม และแจ้งความประสงค์ขอให้ทางร้านลงโปรแกรมคาราโอเกะให้ด้วย แต่ทางร้านปฏิเสธ เนื่องจากไม่มีโปรแกรมดังกล่าว ลูกค้าจึงได้สั่งประกอบเครื่องใหม่แทนโดยไม่วางมัดจำ แต่อ้างว่าให้ใช้เครื่องเก่าที่นำมาซ่อมเป็นเครื่องมัดจำแทน และบอกจะมารับเครื่องเก่าและเครื่องใหม่พร้อมกันในวันที่ 6 มี.ค. 51 แต่แจ้งให้ทางร้านทราบว่าช่วยหาโปรแกรมคาราโอเกะมาลงให้ด้วย แต่ทางร้านยังยืนยันปฏิเสธเหมือนเดิม แต่ลูกค้ายังตื้อให้ร้านหาแผ่นคาราโอเกะมาลงให้ได้
ต่อมาเช้าวันที่ 6 มี.ค. ลูกค้าโทร.มาสอบถามว่าเครื่องคอมพ์ทำเสร็จหรือยัง แต่ทางร้านแจ้งว่าไม่เสร็จเพราะขาดโปรแกรมคาราโอเกะ ที่ร้านไม่มีจริงๆ เพราะเป็นโปรแกรมเฉพาะทางร้านไม่มีไว้บริการ ต่อมาเวลา 13.00 น. ลูกค้าได้ขับรถจักรยานยนต์นำแผ่นโปรแกรมคาราโอเกะมาให้ที่ร้าน โดยบอกว่าเครื่องดังกล่าวจะนำไปใช้ที่ร้านอาหารของลูกค้า ขอร้องให้ทางร้านคอมพ์ช่วยลงโปรแกรมคาราโอเกะให้ด้วย
ต่อมาเมื่อช่างร้านคอมพ์ทำเสร็จเรียบร้อย ลูกค้าขอตัวออกไปกดเอทีเอ็ม หายไปประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อนำเงินมาชำระค่าซ่อมและเครื่องประกอบใหม่ จนถึงเวลา 15.45 น.ของวันเดียวกันได้มีชายฉกรรจ์เข้ามาภายในร้านพร้อมอ้างตัวเพื่อจับกุมเจ้าของร้านในข้อกล่าวหาว่าทางร้านละเมิดลิขสิทธิ์ โดยชุดจับกุมมีชายสวมเสื้อสีขาวแขนสั้น กับชายที่สวมเสื้อสีเทาแขนยาว โดยทางร้านมีภาพจากโทรทัศน์วงจรปิดภายในร้าน ปรากฏว่าลูกค้าที่มาสั่งประกอบเครื่องใหม่กับชายอีก 2 คน ที่เป็นตัวแทนรับมอบอำนาจจากเจ้าของลิขสิทธิ์มีความเกี่ยวข้อง และรู้จักกันมาก่อน เนื่องจากภาพที่ปรากฏในกล้องวงจรปิด ด้านนอกแสดงภาพว่าลูกค้าได้ส่งสิ่งของบางอย่างให้กับตัวแทนเจ้าของลิขลิทธิ์ ซึ่งทราบภายหลังว่าน่าเป็นกุญแจรถจักรยานยนต์คันที่ลูกค้าขับมาที่ร้านตอนส่งแผ่นคาราโอเกะ ดังนั้นจึงมั่นใจและแน่ใจว่าชุดจับกุม กับผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าของลิขสิทธิ์คาราโอเกะ และลูกค้าส่งซ่อมคอมพ์เป็นกลุ่มเดียวกัน ทั้งนี้ ในเหตุการณ์ทั้งหมาดทางผู้รับมอบอำนาจ จากเจ้าของลิขสิทธิ์ได้มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบของสน.บางชัน ฝ่ายสืบสวน 3 นาย ร่วมด้วย คือ ด.ต.สุพจน์ โทเกษ ด.ต.โอภาส คณะแพง และ ส.ต.ต.พงศภัคพล อันท้าว ผบ.หมู่งาน (สส.) ตำรวจสน.บางชัน โดยตำรวจทั้ง 3 นายไม่ได้มีเอกสาร หมายเรียก หมายค้น หรือหมายจับ มีแต่เพียงหนังสือที่ทางผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าของลิขสิทธิ์อ้างว่าไปแจ้งร้องเรียนกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ
โดยหนังสือดังกล่าวลงวันที่ 4 มี.ค.51 ซึ่งแสดงว่าได้มีการเตรียมการล่วงหน้ากันมาแล้ว ซึ่งตำรวจทั้ง 3 ได้พยายามเชิญเจ้าของร้านคอมพ์ไปที่ สน.บางชัน โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น บอกเพียงถ้าจะยอมความกันก็ไปตกลงกันที่โรงพัก ซึ่งทางร้านคอมพ์มีความแน่ใจว่าทั้งหมดเป็นขบวนการรีดทรัพย์อย่างแน่นอนและรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงขอให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงเข้าไปตรวจสอบพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับพวกกลุ่มมิฉาชีพพวกนี้ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้พวกกลุ่มมิจฉาชีพใช้พฤติกรรมดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อผู้อื่นอีกต่อไป