คำสั่งย้ายฟ้าผ่า!! นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ไปช่วยราชการในตำแหน่งรักษาการเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) พร้อมส่ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง จากรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ไปช่วยราชการในตำแหน่งรักษาการอธิบดีดีเอสไอแทน ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการย้ายเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ภายหลังอำนาจเก่ากลับมาอีกครั้ง เพราะการสั่งย้ายเจ้ากรมทันทีที่พวกตนเข้ามามีอำนาจ มองได้เหตุเดียวคือ “เพื่อตัดตอนคดีความเก่าของพวกฟ้อง”
หากจะสแกนดูคดีความสำคัญที่เกี่ยวพันกับคนในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในความดูแลของดีเอสไอ มีอยู่หลายต่อหลายคดี ซึ่งเรื่องนี้ พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ และโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เผยถึงความคืบหน้าในทุกสำนวนก่อนที่อำนาจเก่าจะเข้ามาครอบงำดีเอสไอให้ฟังว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอยังคงเดินหน้าสืบสวนสอบสวนคดีความต่างๆอย่างต่อเนื่อง แม้จะต้องประสบปัญหาเรื่องขวัญกำลังใจในการทำงานอย่างหนักหลังมีการปล่อยข่าวว่าฝ่ายการเมืองเตรียมสั่งโยกย้ายล้างขั้วคนในดีเอสไอแบบยกกระบิ โดยคดีที่ดูจะคืบหน้าไปมากที่สุด คือคดีทุจริต ฮั้วประมูลกรณีการจัดงานมหกรรมภาพยนตร์ บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล ฟิล์มเฟสติวัล ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งพนักงานสอบสวนดีเอสไอจะส่งสำนวนชี้มูลความผิด นางจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่า ททท.ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในวันที่ 29 ก.พ.นี้
“ผลการสอบสวนเบื้องต้นและการร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอของสหรัฐอเมริกา พบว่า หลักฐานสำคัญในคดีนี้อยู่ในประเทศสหรัฐ การสอบปากคำพยานจะต้องใช้ช่องทางความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการสอบสวนอีกยาวนาน ขณะที่ดีเอสไอมีกรอบเวลาในการสอบสวนเพียง 30 วัน เนื่องจากผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ เป็นข้าราชการระดับสูง ซึ่งอยู่ในอำนาจการสอบสวนของ ป.ป.ช. ดีเอสไอจึงจำเป็นต้องรวบรวมหลักฐานเบื้องต้นเพื่อส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.รับไปดำเนินการและขยายผลต่อไป ทั้งความผิดในด้านการฮั้วประมูลและการทุจริตรับเงินสินบน” โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า
พ.อ.ปิยะวัฒก์ ยังกล่าวถึงคดีบริษัทเอกชนบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าสบกก จ.เชียงราย ที่ได้นำเครื่องจักรกลเข้าไปแผ้วถางในเขตป่าสงวน เพื่อปรับพื้นที่มาใช้ปลูกยางพาราว่า ภายหลังการสอบสวนจนมีการออกหมายจับผู้ต้องหาบางรายไปแล้ว ล่าสุดคณะพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา และจะนำสำนวนคดีไปส่งให้พนักงานอัยการในวันที่ 29 ก.พ.นี้เช่นกัน อย่างไรก็ดีทางการสืบสวนยังโยงไปไม่ถึงกลุ่มนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลัง
สำหรับคดีสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของไทย อย่างคดีอุ้มนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตทนายความนักสิทธิมนุษยชนชื่อดัง พ.อ.ปิยะวัฒก์ ยอมรับว่าแม้คดีจะมีความคืบหน้าไปมากพอสมควรแต่การมีเพียงพยานแวดล้อม ก็ยากที่จะเอาผิดกลุ่มผู้ก่อเหตุในชั้นศาล เพราะคดีนี้ไม่มีศพผู้ตาย หรือประจักษ์พยานใดๆ มายืนยันได้ว่านายสมชายเสียชีวิต หรือมีการทำลายศพไปแล้ว ดังนั้นคนที่จะเป็นประจักษ์พยานได้ก็มีเพียงคนในกลุ่มที่ลงมืออุ้มฆ่า ซึ่งตอนนี้ต้องยอมรับว่าดีเอสไอยังไม่มีพยานตรงนั้น
ส่วนคดีฆ่าตัดตอนในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อยู่ในความดูแลของ ดีเอสไอ มีอยู่ 7-8 คดี ที่สำคัญคือคดีของ ด.ช.จักรพันธ์ ศรีสอาด หรือน้องฟลุ๊ค วัย 9 ปี ซึ่งเสียชีวิตขณะเจ้าหน้าที่ สน.บางชัน ล่อซื้อยาบ้าจาก นายสถาพร บิดาบริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ปารีส ตลาดสะพานขาว ขณะที่นางพรวิภา เกิดรุ่งเรือง มารดาก็ได้หายตัวไปหลังเกิดเหตุ ซึ่งล่าสุดในการไต่สวนชันสูตรพลิกศพทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และฝ่ายผู้ตายแล้ว ศาลเห็นว่ายังรับฟังไม่ได้เป็นที่ยุติว่า ด.ช.จักรพันธ์ เสียชีวิตด้วยกระสุนปืนจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือคนร้ายคนอื่น จึงมีคำสั่งเพียงว่า ด.ช.จักรพันธ์ เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจและปอดฉีกขาดด้วยกระสุนปืนขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปฏิบัติหน้าที่ และเรื่องนี้ดีเอสไอได้นำคำสั่งดังกล่าวมารวมในสำนวนเพื่อสืบสวนต่อไปว่าการเสียชีวิตของน้องฟลุ๊คเกิดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา หรือไม่
สำหรับคดีฟอกเงินโครงการบ้านเอื้ออาทร พ.อ.ปิยะวัฒก์ กล่าวว่า ดีเอสไอรับดูแลเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการฟอกเงินเท่านั้น ทำให้ต้องรอให้คณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีคำสั่งชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหาที่เกี่ยวข้องเสียก่อนดีเอสไอจึงเข้าไปดำเนินการต่อได้ ส่วนคดีฟอกเงินที่ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ 9,000 ล้าน ให้กับบริษัทในกลุ่มกฤษฎามหานคร ซึ่งเกี่ยวพันกับลูกชายนักการเมืองใหญ่นั้น อยู่ในความดูแลของสำนักคดีการเงินการธนาคารของดีเอสไอซึ่งยังคงอยู่ระหว่างการสอบสวนหาพยานหลักฐาน
การปรับย้ายอธิบดีดีเอสไอในครั้งนี้ แม้นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม จะออกมายืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าเป็นการปรับย้ายตามความเหมาะสม แต่งานนี้หลายคนบอกว่า “อมตึกทำการหลังใหม่ของดีเอสไอ พูดก็ไม่เชื่อ” และคงต้องจับดูต่อไปว่าหากที่สุดสำนวนคดีที่ยังคั่งค้างอยู่ในดีเอสไอไม่มีความคืบหน้า ก็จะเป็นผลสะท้อนให้อย่างชัดเจนว่า “สุนัย มโนมัยอุดม” เป็นเหยื่อฆ่าตัดตอนคดีของกลุ่มอำนาจเก่าอย่างไม่ต้องปฏิเสธ ?!?