ศาลสั่งจำคุกทันที 6 เดือน ทั้งคนส่งมอบยาเสพติดให้นักโทษในห้องพิจารณาคดี และตัวนักโทษ ฐานละเมิดอำนาจศาล พร้อมทั้งให้ดำเนินคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีกทาง
วันนี้ (25 ก.พ.) เมื่อเวลา 15.00 น.ศาลออกนั่งบัลลังก์ไต่สวน นายบรรจง และ นายสงกรานต์ ผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ภายหลังจากที่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่ห้องพิจารณาคดี 905 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลได้นัดไต่สวนคำร้องยึดทรัพย์ในคดียาเสพติดที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ของ นายบรรจง สร้อยแก้ว อายุ 26 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยระหว่างที่ศาลกำลังไต่สวนพยานได้สังเกตเห็น นายสงกรานต์ ไชยวงศ์ อายุ 26 ปี ซึ่งเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดีมีท่าทีมีพิรุธ พร้อมกับหยิบวัตถุอย่างหนึ่งคล้ายวิทยุเทปส่งให้กับนายบรรจง ศาลจึงสอบถามพร้อมกับบอกว่าห้ามไม่ให้นำวิทยุเทปเข้ามาในห้องพิจารณาคดี และภายหลังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เข้าตรวจสอบวัตถุดังกล่าว พบว่า เป็นยาเสพติดนั้น ศาลจึงนัดไต่สวนฐานทั้งจำเลยและนายสงกรานต์ละเมิดอำนาจศาล
ในการไต่สวนดังกล่าว นายสงกรานต์ ให้การรับสารภาพ ว่า ได้รับการติดต่อว่าจ้างจากบุคคลที่ได้รับโทรศัพท์จากนักโทษในเรือนจำให้นำยาเสพติดดังกล่าวมาส่งให้ นายบรรจง ที่ศาลอาญา ในราคา 2 หมื่นบาท โดยทำในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อเดือน ก.ค.2550 เพื่อนำเงินไปแต่งงาน ส่วน นายบรรจง ให้การปฏิเสธอ้างว่าไม่เคยรู้จัก หรือติดต่อกับนายสงกรานต์ มาก่อน
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เหตุเกิดภายในห้องพิจารณาคดี ขณะที่ศาลกำลังพิจารณาคดี มีนายเชาว์ และ นายเจริญ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ที่อยู่ในเหตุการณ์ให้การว่า เห็น นายสงกรานต์ ที่นั่งอยู่เก้าอี้แถวที่ 3 ขยับมานั่งเก้าอี้แถวที่ 2 ด้านหลังจำเลยพร้อมล้วงเอาสิ่งของจากเอวกำลังส่งมอบให้กับ นายบรรจง ที่กำลังรอรับ จึงจับกุม นายสงกรานต์ ได้พร้อมของกลางนำส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจศาล เมื่อควบคุมตัว นายสงกรานต์ ออกจากห้องพิจารณาแล้ว นายบรรจง ได้ขอลุกจากที่นั่งแถวแรก ไปแถวที่ 3 ที่ นายสงกรานต์ เคยนั่งอยู่ เห็นผิดสังเกตจึงหันมามองพบซองสิ่งของตกอยู่ จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจศาล เมื่อนำสิ่งของดังกล่าวไปให้เจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์จากสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า เป็นยาเสพติดประเภทยาอี ยาไอซ์ และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท แม้ นายบรรจง จะให้การปฏิเสธ แต่ นายสงกรานต์ ให้การซัดทอด ซึ่งไม่ได้เป็นการซัดทอดเพื่อให้พ้นผิด อีกทั้งมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เห็นเหตุการณ์ ซึ่งการส่งยาเสพติดหากไม่มีการนัดแนะยากแก่การส่งมอบให้สำเร็จได้
การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองเป็นการทำผิดฐานครอบครองยาเสพติดให้โทษ และประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นการกระทำที่อุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย เห็นควรลงโทษสถานหนัก พิพากษาจำคุกเป็นเวลาคนละ 6 เดือน และให้ผู้อำนวยการศาลอาญาเข้าแจ้งความร้องทุกข์ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต่อพนักงานสอบสวนต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ นายบรรจง ถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 50 ปี ปรับ 3,333,333.33 บาท ในความผิดฐานร่วมกับ นายเริงฤทธิ์ สร้อยแก้ว และ น.ส.ยุวดี สักลอ ค้ายาบ้าจำนวน 2,880 เม็ด โดยศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายเริงฤทธิ์ และ น.ส.ยุวดี และปรับเงิน 1 ล้านบาท โดยคดีอยู่ในชั้นศาลอุทธรณ์
ด้านนายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า สำนักงานศาลยุติธรรมได้ให้ความสำคัญและได้กำชับให้ศาลทั่วประเทศดูแลเรื่องความปลอดภัยและเรื่องยาเสพติดมาโดยตลอดอยู่แล้ว ที่ผ่านมาเรื่องการลักลอบส่งมอบยาเสพติดให้จำเลยที่มาศาลไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยน แต่ต้องยอมรับว่าการตรวจหาสิ่งเสพติดที่อาจมีคนซุกซ่อนเข้ามาในศาลเป็นเรื่องยากกว่าการตรวจอาวุธ เราจะไปตรวจประชาชนที่มาติดต่อราชการศาลอย่างละเอียดคงทำไม่ได้ ต้องอาศัยเจ้าหน้าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยกันสังเกตท่าทางและพฤติการณ์ว่าบุคคลใดมีพิรุธ หากพบเห็นให้ช่วยกันแจ้งเจ้าหน้าที่ศาลที่อยู่ในห้องพิจารณา เพื่อให้ศาลไต่สวนหากพบกระทำผิดจริง ศาลมีอำนาจพิจารณาพิพากษาลงโทษได้ทันที อย่างกรณีที่พบในศาลอาญา
“ฝากเตือนประชาชนที่อาจจะไม่รู้ข้อกฎหมาย อย่านำสิ่งของผิดกฎหมายติดตัวไปในบริเวณศาล นอกจากจะเป็นการกระทำผิดกฎหมายเฉพาะเรื่องแล้ว ยังอาจถูกศาลไต่สวนและลงโทษได้” รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมกล่าว
เมื่อถามว่าในห้องพิจารณาญาติสามารถเข้าถึงตัวจำเลยได้ง่ายและอาจมีการลักลอบส่งยาเสพติดเกิดขึ้นอีก นายสราวุธ กล่าวว่า เรื่องนี้ผู้ที่มีหน้าที่ควบคุมจำเลย ต้องดูแลไม่ญาติหรือบุคคลอื่นเข้าใกล้หรือส่งสิ่งของให้จำเลย ซึ่งเป็นระเบียบที่จะต้องปฏิบัติอยู่แล้ว และอยากให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายร่วมกันตรวจสอบบุคคลที่มีอาการผิดปกติ มีพิรุธ เพื่อเป็นการระมัดระวังป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอีก
แก๊งค้ายาเหิมนำ “ยาอี-ไอซ์” ยัดถุงยางส่งกลางศาล!
วันนี้ (25 ก.พ.) เมื่อเวลา 15.00 น.ศาลออกนั่งบัลลังก์ไต่สวน นายบรรจง และ นายสงกรานต์ ผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ภายหลังจากที่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่ห้องพิจารณาคดี 905 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลได้นัดไต่สวนคำร้องยึดทรัพย์ในคดียาเสพติดที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ของ นายบรรจง สร้อยแก้ว อายุ 26 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยระหว่างที่ศาลกำลังไต่สวนพยานได้สังเกตเห็น นายสงกรานต์ ไชยวงศ์ อายุ 26 ปี ซึ่งเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดีมีท่าทีมีพิรุธ พร้อมกับหยิบวัตถุอย่างหนึ่งคล้ายวิทยุเทปส่งให้กับนายบรรจง ศาลจึงสอบถามพร้อมกับบอกว่าห้ามไม่ให้นำวิทยุเทปเข้ามาในห้องพิจารณาคดี และภายหลังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เข้าตรวจสอบวัตถุดังกล่าว พบว่า เป็นยาเสพติดนั้น ศาลจึงนัดไต่สวนฐานทั้งจำเลยและนายสงกรานต์ละเมิดอำนาจศาล
ในการไต่สวนดังกล่าว นายสงกรานต์ ให้การรับสารภาพ ว่า ได้รับการติดต่อว่าจ้างจากบุคคลที่ได้รับโทรศัพท์จากนักโทษในเรือนจำให้นำยาเสพติดดังกล่าวมาส่งให้ นายบรรจง ที่ศาลอาญา ในราคา 2 หมื่นบาท โดยทำในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อเดือน ก.ค.2550 เพื่อนำเงินไปแต่งงาน ส่วน นายบรรจง ให้การปฏิเสธอ้างว่าไม่เคยรู้จัก หรือติดต่อกับนายสงกรานต์ มาก่อน
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เหตุเกิดภายในห้องพิจารณาคดี ขณะที่ศาลกำลังพิจารณาคดี มีนายเชาว์ และ นายเจริญ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ที่อยู่ในเหตุการณ์ให้การว่า เห็น นายสงกรานต์ ที่นั่งอยู่เก้าอี้แถวที่ 3 ขยับมานั่งเก้าอี้แถวที่ 2 ด้านหลังจำเลยพร้อมล้วงเอาสิ่งของจากเอวกำลังส่งมอบให้กับ นายบรรจง ที่กำลังรอรับ จึงจับกุม นายสงกรานต์ ได้พร้อมของกลางนำส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจศาล เมื่อควบคุมตัว นายสงกรานต์ ออกจากห้องพิจารณาแล้ว นายบรรจง ได้ขอลุกจากที่นั่งแถวแรก ไปแถวที่ 3 ที่ นายสงกรานต์ เคยนั่งอยู่ เห็นผิดสังเกตจึงหันมามองพบซองสิ่งของตกอยู่ จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจศาล เมื่อนำสิ่งของดังกล่าวไปให้เจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์จากสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า เป็นยาเสพติดประเภทยาอี ยาไอซ์ และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท แม้ นายบรรจง จะให้การปฏิเสธ แต่ นายสงกรานต์ ให้การซัดทอด ซึ่งไม่ได้เป็นการซัดทอดเพื่อให้พ้นผิด อีกทั้งมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เห็นเหตุการณ์ ซึ่งการส่งยาเสพติดหากไม่มีการนัดแนะยากแก่การส่งมอบให้สำเร็จได้
การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองเป็นการทำผิดฐานครอบครองยาเสพติดให้โทษ และประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นการกระทำที่อุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย เห็นควรลงโทษสถานหนัก พิพากษาจำคุกเป็นเวลาคนละ 6 เดือน และให้ผู้อำนวยการศาลอาญาเข้าแจ้งความร้องทุกข์ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต่อพนักงานสอบสวนต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ นายบรรจง ถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 50 ปี ปรับ 3,333,333.33 บาท ในความผิดฐานร่วมกับ นายเริงฤทธิ์ สร้อยแก้ว และ น.ส.ยุวดี สักลอ ค้ายาบ้าจำนวน 2,880 เม็ด โดยศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายเริงฤทธิ์ และ น.ส.ยุวดี และปรับเงิน 1 ล้านบาท โดยคดีอยู่ในชั้นศาลอุทธรณ์
ด้านนายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า สำนักงานศาลยุติธรรมได้ให้ความสำคัญและได้กำชับให้ศาลทั่วประเทศดูแลเรื่องความปลอดภัยและเรื่องยาเสพติดมาโดยตลอดอยู่แล้ว ที่ผ่านมาเรื่องการลักลอบส่งมอบยาเสพติดให้จำเลยที่มาศาลไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยน แต่ต้องยอมรับว่าการตรวจหาสิ่งเสพติดที่อาจมีคนซุกซ่อนเข้ามาในศาลเป็นเรื่องยากกว่าการตรวจอาวุธ เราจะไปตรวจประชาชนที่มาติดต่อราชการศาลอย่างละเอียดคงทำไม่ได้ ต้องอาศัยเจ้าหน้าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยกันสังเกตท่าทางและพฤติการณ์ว่าบุคคลใดมีพิรุธ หากพบเห็นให้ช่วยกันแจ้งเจ้าหน้าที่ศาลที่อยู่ในห้องพิจารณา เพื่อให้ศาลไต่สวนหากพบกระทำผิดจริง ศาลมีอำนาจพิจารณาพิพากษาลงโทษได้ทันที อย่างกรณีที่พบในศาลอาญา
“ฝากเตือนประชาชนที่อาจจะไม่รู้ข้อกฎหมาย อย่านำสิ่งของผิดกฎหมายติดตัวไปในบริเวณศาล นอกจากจะเป็นการกระทำผิดกฎหมายเฉพาะเรื่องแล้ว ยังอาจถูกศาลไต่สวนและลงโทษได้” รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมกล่าว
เมื่อถามว่าในห้องพิจารณาญาติสามารถเข้าถึงตัวจำเลยได้ง่ายและอาจมีการลักลอบส่งยาเสพติดเกิดขึ้นอีก นายสราวุธ กล่าวว่า เรื่องนี้ผู้ที่มีหน้าที่ควบคุมจำเลย ต้องดูแลไม่ญาติหรือบุคคลอื่นเข้าใกล้หรือส่งสิ่งของให้จำเลย ซึ่งเป็นระเบียบที่จะต้องปฏิบัติอยู่แล้ว และอยากให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายร่วมกันตรวจสอบบุคคลที่มีอาการผิดปกติ มีพิรุธ เพื่อเป็นการระมัดระวังป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอีก
แก๊งค้ายาเหิมนำ “ยาอี-ไอซ์” ยัดถุงยางส่งกลางศาล!