รองอธิบดีกรมพินิจฯ แนะปัดฝุ่นลานกีฬาต้านยาเสพติดลดปัญหาแก๊งซิ่งเด็กติดเกม เชื่อสร้างอารมณ์ร่วมให้เด็กรักชุมชน ชี้การช็อกเทอราปี เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม นายธวัชชัย ไทยเขียว รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาเด็กแว้นและเด็กติดเกม ว่า ในความเห็นส่วนตัวแล้วคิดว่าการแก้ไขปัญหาเด็กกลุ่มนี้จะต้องดำเนินการอย่างเป็นรูปแบบในเชิงบูรณาการ โดยดึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนมาร่วมแก้ไข อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงศึกษาธิการ ผู้นำชุมชน และสถานศึกษาทุกแห่ง เพื่อให้เป็นรูปธรรมและเป็นระบบมากขึ้น
นายธวัชชัย กล่าวอีกว่า ทุกวันนี้ตามชุมชน หมู่บ้าน และโรงเรียนเกือบทุกแห่ง จะมีโครงการลานกีฬาต้านยาเสพติดเป็นของตัวเอง ซึ่งก็ควรจะใช้โครงการนี้ให้เป็นประโยชน์เพื่อดึงเด็กกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ออกมาให้มาอยู่ในพื้นที่ที่ดี โดยอาจจะตั้งเป็นทีมฟุตบอลโดยให้เด็กเหล่านี้แข่งขันกันเองเริ่มจากแข่งขันกันในระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ไปจนถึงระดับชาติ พอเริ่มมีการแข่งขันกันในพื้นที่ขึ้นก็เชิญชวนให้ผู้ปกครองนำบุตรหลานมาร่วมเชียร์ มีเพื่อนๆ มาเชียร์ก็จะเกิดอารมณ์ร่วม เด็กจะรักชุมชน รักจังหวัดของตัวเอง แต่หากไม่มีการส่งเสริมเด็กเหล่านี้ก็จะมีเวลาว่างเยอะและจะหันไปแข่งรถ หรือเล่นเกม หากส่งเสริมจริงจังเด็กก็จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรักกีฬามากขึ้น จนกระทั่งจำนวนเด็กกลุ่มเสี่ยงลดลง หรือฝ่อไปเองจนอยู่ในระดับควบคุมได้
นายธวัชชัย กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา เยาวชนที่ถูกจับกุมในคดีแข่งรถซิ่งและส่งเข้ามาในสถานพินิจฯ ถูกส่งเข้าโครงการช็อกเทราปี ระยะเวลา 5 วัน ก็อาจจะทำให้เด็กได้เกิดสำนึกในระดับหนึ่ง แต่เป็นแค่ปลายเหตุ วิธีแก้จะต้องแก้ที่สถาบันครอบครัวด้วย ถ้าเราไม่แก้ด้วยการสร้างความเข้าใจกันในครอบครัวพูดคุยกับลูกที่เป็นวัยรุ่น ก็ยากที่จะแก้ไข นอกจากนี้ ยังมีสภาพปัญหาที่พ่อแม่มีสภาพไม่พร้อมจะเลี้ยงดูเช่นยากจนมากเงินไม่พอกินพอใช้หรือพ่อแม่ตกงานซึ่งยิ่งเป็นปัญหามากขึ้นไปอีก
“ทุกวันนี้เยาวชนที่ถูกส่งมาอยู่ในสถานพินิจฯ พบว่า เกือบร้อยละ 50 เป็นเด็กที่มีฐานะดี เมื่อเทียบกับเด็กที่ครอบครัวแตกแยก แสดงว่า เกิดจากพ่อแม่ที่คุยกับลูกผิดยุค ผิดเวลา คุยครั้งใดบ้านร้อนขึ้นมาทุกที มีทางเดียวผู้ที่ทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุด คือครู ฉะนั้นจะต้องมีการพัฒนาครูให้มีความรู้ด้านจิตวิทยาเพื่อนำไปพัฒนาเด็ก และคุยกับเด็กได้อย่างถูกใจ ถูกเวลา เข้าใจ เข้าถึง” รองอธิบดีกรมพินิจฯกล่าว