xs
xsm
sm
md
lg

สหรัฐฯ vs รัสเซีย ในสงครามเย็นยุคดิจิทัล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: พรมแดนสื่อใหม่ (New Media, New Frontier)

ซากกำแพงเบอร์ลินที่ Newseum ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
วริษฐ์ ลิ้มทองกุล


ซากคอนกรีตของ “กำแพงเบอร์ลิน” สูง 3.6 เมตรตั้งตระหง่านอยู่กลางพิพิธภัณฑ์นิวส์เซียม (Newseum)

ด้านหลังซากของกำแพงคอนกรีต ขนาด 8 คอลัมน์ เป็นหอสังเกตการณ์ (Watch Tower) ทรงสี่เหลี่ยมอันน่าสะพรึง ซึ่งเคยถูกใช้เพื่อป้องกันผู้พยายามหลบหนีออกจากเยอรมนีตะวันออก จนได้รับฉายาว่าหอคอยแห่งความตาย (Death Tower)

กำแพงเบอร์ลินปรากฏขึ้นเพื่อแบ่งแยกเยอรมนีฝั่งตะวันออก และตะวันตก ในปี 2504 (ค.ศ.1961) ในยุคที่สงครามเย็นกำลังคุกรุ่น กำแพงเบอร์ลินเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกทางความคิด ความเชื่อ และอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างค่ายทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา และค่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่นำโดยสหภาพโซเวียต
กำแพงเบอร์ลินและหอคอยแห่งความตาย
ซากกำแพงคอนกรีตสูงตระหง่าน แต่หนาเพียงไม่กี่นิ้ว เป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกทางความคิดดังกล่าว และแบ่งแยกประเทศเยอรมนีออกเป็นสองฝั่ง

การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินในปี 2532 (ค.ศ.1989) จากความถดถอยโดยรอบด้านของสหภภาพโซเวียต ถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดสงครามเย็น สงครามที่แม้ไม่มีการสู้รบด้วยกองทัพ หรือ สรรพอาวุธอย่างเต็มขั้น ระหว่างสองขั้วมหาอำนาจ แต่กลับเป็นสงครามตัวแทน สงครามจิตวิทยา สงครามโฆษณาชวนเชื่อ และการจารกรรม ที่กินเวลายาวนานเกือบครึ่งศตวรรษ

ช่วงเช้าวันพุธที่ 5 ธันวาคม 2561 ผมมีโอกาสได้พบกับ ดร.ยูวาล เว็บเบอร์ นักวิชาการจากบัณฑิตวิทยาลัยด้านความมั่นคงแห่งชาติแดเนียล มอร์แกน (Daniel Morgan Graduate School of National Security; DMGS) ซึ่งสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างฮาร์วาร์ดด้วย
ดร.ยูวาล เว็บเบอร์
ดร.ยูวาล เป็นหนุ่มนักวิชาการลูกครึ่งรัสเซีย ที่เชี่ยวชาญเรื่องรัสเซียศึกษา แม้รูปร่างจะไม่ใหญ่ แต่กลับพูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา เขาเล่าว่า ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องนโยบายการต่างประเทศของรัสเซีย ผู้ที่มีความผูกพันกับรัสเซียในหลายด้าน และเคยใช้ชีวิตอยู่ที่รัสเซียเป็นเวลาหลายปี เขาเห็นว่า ปัจจุบันภายใต้การนำของนายวลาดิเมียร์ ปูติน มอสโก สร้างบทบาททางการเมือง และแทรกแซงการเมืองในระดับโลก มากกว่าเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน หลังสิ้นสุดสงครามเย็น และสหภาพโซเวียตล่มหลายอย่างเทียบกันไม่ติด

หลังสงครามเย็น แม้รัสเซียจะถูกลดบทบาทในหลาย ๆ ด้าน ด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความมั่นคง และการต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป แต่สำหรับนักการเมืองและนักการทูตของรัสเซียแล้วสหรัฐฯ ยังคงเป็นศัตรูเบอร์ 1 ของรัสเซียเสมอมา กระนั้นด้วยข้อจำกัดทางด้านเศรษฐกิจ และความจำกัดจำเขี่ยด้านงบประมาณของรัสเซีย นายปูตินจึงพยายามค้นหาจุดอ่อนของสหรัฐฯ จนในที่สุดก็ค้นหาพบ และเจาะทะลวงเข้ามาจนประสบผล

กระนั้น การประลองกำลังระหว่างมหาอำนาจในยุคปัจจุบัน ย่อมมีความแตกต่างจากการใช้ เครื่องบิน รถถัง กำลังทหาร หรือสายลับเข้าห้ำหั่นกันแบบในอดีต

ดร.ยูวาล อธิบายว่าปัจจุบันรัสเซียดำเนินนโยบายการต่างประเทศผ่าน กลยุทธ์การสงครามยุคใหม่ (New Generation Warefare Strategy) และอธิบายเพิ่มเติมว่า New Generation Warfare Strategy นั้นประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการด้วยกันคือ

1. แนวโน้มในการเกิดการประท้วงในกลุ่มประชากรเป้าหมาย โดยในหลาย ๆ มิติ สังคมอเมริกันก็ไม่ได้ต่างจากไทยก็คือ มีความแตกต่าง และแตกแยกทางการเมืองค่อนข้างสูง ทั้งยังผสมผสานไว้ด้วยความไม่ลงรอยกันทางด้านเชื้อชาติ และปัญหาของการเหยียดผิว (Racism) ซึ่งคงเป็นรอยแผลที่ซึมลึก (พร้อมยกตัวอย่างด้วยว่า ส่วนปัญหาของไทยก็อาจจะคือ ด้านความเหลื่อมล้ำทางรายได้ระหว่างคนรวยและคนจน และ ความเห็นทางการเมืองที่ไม่ตรงกันระหว่างคนในเมืองกับคนในชนบท เป็นต้น)

2.การใช้ปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสาร (Information Operations ; IO) ไม่ว่าจะเป็น การปล่อยข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (misinformation) หรือ ข้อมูลลวง (disinformation ; ที่ปัจจุบันเรียกกันว่า ข่าวปลอม (Fake News)) เพื่อปั่นหัวนักการเมือง และประชาชน โดยมุ่งเป้าในการขยายรอยร้าวในของสังคมและประชากรเป้าหมายในประเทศนั้น ๆ (ตามข้อที่หนึ่ง)

3.การใช้กองกำลังพิเศษ (Special Forces) พวกทหารรับจ้าง หรือ หน่วยรบพิเศษ เพื่อเข้าแทรกแซงในสงครามย่อย ๆ ต่าง ๆ เช่น สงครามในซีเรีย จอร์เจีย หรือ ยูเครน


ถึงจุดนี้ หลายคนอาจคิดว่า New Generation Warfare นั้นเป็นเรื่องเข้าใจยาก ซับซ้อน และไกลตัวเองมาก แต่ด้วยเทคโนโลยีของโลกอินเทอร์เน็ตในยุคปัจจุบัน ความแพร่หลายของสื่อสังคม (Social Media) ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก กูเกิล ยูทูป ทวิตเตอร์ แอปพลิเคชันสนทนาต่าง ๆ (เช่น ไลน์ วอตส์แอป สแนปแชต) ฯลฯ ทำให้คนจำนวนมากในโลกตกอยู่ในเกมของ New Generation Warfare โดยไม่รู้ตัว

การสงครามยุคใหม่ (New Generation Warfare) ซึ่งอาจจะเรียกขานกันแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่า สงครามในยุคดิจิทัล (Digital Warfare) ก็ได้

“ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี 2559 (ค.ศ.2016) รัสเซียประสบความสำเร็จในการเข้าแทรกแซงการเมืองภายในของอเมริกา และบรรลุเป้าหมาย โดยไม่ต้องใช้ปืนหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ใด ๆ เลย อย่างเช่นในในอดีต โดยตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์การเลือกตั้งหลายร้อยปี ในหมู่ประเทศมหาอำนาจแม้จะปรากฏการเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งในประเทศเล็กประเทศน้อย อย่างเช่น ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง รัสเซียเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งใน เชโกสโลวาเกีย บัลกาเรีย ฮังการี เพื่อที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์จะชนะการเลือกตั้ง ส่วนสหรัฐฯ ก็เข้าแทรกแซงการเลือกตั้งในอิตาลีในปี ค.ศ.1984 เพื่อมิให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะ แต่โดยปกติแล้วสหรัฐฯ และ รัสเซียจะหลีกเลี่ยงการเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งภายในของกันและกัน แม้ในช่วงทศวรรษที่ 1960-1970 จะเคยปรากฏข้อมูลว่าทางรัสเซียเสนอผลประโยชน์ให้กับผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผ่านคนกลาง/ล็อบบี้ยิสต์ แต่ทุกคนก็ปฏิเสธไปก็ตาม

คลิกอ่าน
>> ชัยชนะของ “โดนัลด์ ทรัมป์” และอนาคตของ “ข่าวปลอม” ที่กำลังไล่ล่าคุณ (ตอนที่ 1) <<
>> Facebook ข่าวปลอม และจุดจบของสื่อมืออาชีพ (ตอนที่ 2) <<


“สิ่งที่เกิดขึ้น และความแตกต่างของการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2559 ก็คือ มีผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนหนึ่งยอมรับความช่วยเหลือบางประการจากฝั่งรัสเซีย นั่นก็คือ โดนัลด์ ทรัมป์ แต่เมื่อได้รับการติดต่อจากฝั่งรัสเซีย แทนที่ทีมหาเสียงของทรัมป์จะกล่าวปฏิเสธไป และแจ้งข่าวให้กับทางเอฟบีไอ หรือ ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯ ทราบ ฝ่ายทรัมป์กลับตอบไปในทำนองเช่นว่า “ก็อาจเป็นไปได้นะ” , “ได้สิ” , “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ” ผลกระทบที่ตามมาจึงปรากฏความปั่นป่วนดังเช่นที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน”

ดร.ยูวาล กล่าวต่อว่า ในภาพรวมแล้ว รัสเซียยังคงต้องการคงสถานะของการเป็น มหาอำนาจ โดยทางหนึ่งต้องแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางการทหาร (Military Capabilities) ซึ่งก็คือ การส่งกำลังทหารเข้าไปในซีเรีย จอร์เจีย ยูเครน อีกทางหนึ่งก็คือการใช้เครื่องมือในการกระจายข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (misinformation) หรือ ข่าวลวง (disinformation) เพื่อตอกย้ำรอยร้าวทางการเมือง แบ่งแยก และทำลายความไว้วางใจของกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน เครื่องมือที่ทรงอิทธิพล จนสร้างความแตกแยกให้กับสังคมอเมริกันซึ่งเปิดกว้างในการแสดงความคิดเห็นในทางการเมืองได้ดีที่สุดก็หนีไม่พ้น สื่อสังคม (Social Media) เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม ฯลฯ เพราะสื่อสังคมเหล่านั้นเชื่อมผู้คนผ่านเครือข่ายสังคมผ่านโลกออนไลน์

นักวิชาการหนุ่มลูกครึ่งรัสเซียกล่าวต่อว่า สำหรับวิธีการกระพือข่าวผิด ข่าวลวง ข่าวลือ ก็เหมือนกันกับ วิธีการซื้อโฆษณา (Advertising) ผ่านสื่อสังคมอย่างเฟซบุ๊ก โดยมีการใช้ประโยชน์จากข้อมูลพฤติกรรมและกิจกรรมต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ของกลุ่มเป้าหมาย มาเพื่ออำนวยความสะดวกในการแพร่กระจายข้อมูลข่าวสารทางการเมืองต่าง ๆ

“บ็อตส์ (Bots) การสร้างบัญชีปลอม การบิดประเด็นจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่งผ่านผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์ (Online Influencers) ก่อให้เกิดเทรนด์และการปั่นกระแส ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ความปั่นป่วน จนในที่สุดในสังคมอเมริกันก็เกิดความบาดหมางทางความคิดที่ร้าวลึก และยากจะประสานมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ สื่อต่าง ๆ ควรจะเอื้ออำนวยให้เกิดกระบวนการในการพูดคุย ถกเถียง แลกเปลี่ยนและเจรจากันด้วยเหตุด้วยผล” ดร.ยูวาลระบุ

ทุกวันนี้เฟซบุ๊กมิใช่ “สถานที่แลกเปลี่ยนข้อมูล” ธรรมดา ๆ เพราะ การคัดกรอง และระบบอัลกอริธึม (Algorithm) อันซับซ้อน เพื่อที่จะเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร การปล่อยให้แสดง หรือ ไม่ให้แสดงอะไร ทำให้เฟซบุ๊กกลายเป็นบริษัทสื่อสารมวลชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Largest Media company in the world)

ด้วยเหตุนี้ ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ รัฐบาลสหรัฐฯ จึงต้องเข้ามาแทรกแซงวิธีการดำเนินงานของบริษัทสื่อสังคม (Social Media Company) ยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ อย่างเข้มงวดและใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้จะไม่อยากจะเข้าไปยุ่งกับเนื้อหาล่อแหลม ประเด็นทางการเมืองในประเทศต่าง ๆ มากเท่าไหร่นัก แต่ในเมื่อเครื่องมือเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหา และสร้างความขัดแย้ง ก็ถือเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ภาพนายวลาดิเมียร์ ปูติน และโดนัลด์ ทรัมป์ พบกันบนเวทีถ่ายภาพหมู่ผู้นำในการประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา (ภาพเอเอฟพี)
เมื่อถามว่า เป็นไปได้ไหมที่สหรัฐฯ จะดำเนินการด้วยวิธีเดียวกันเพื่อตอบโต้รัสเซีย?

ดร.ยูวาล กล่าวว่า ในความเห็นของเขาสหรัฐฯ ไม่น่าจะกระโดดลงไปสู้ในสนามรบที่รัสเซียต้องการ อย่างไรก็ตามในอีกสองปีข้างหน้า ปี ค.ศ.2020 ซึ่งจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ก็ต้องจับตาดูว่าสถานการณ์ในอนาคตจะเป็นเช่นไร ใครจะมาเป็นคู่แข่งของทรัมป์ และนโยบายของแต่ละฝ่ายมีความแตกต่างกันอย่างไร?

ครับ สงครามเย็นครั้งใหม่ สงครามเย็นในยุคดิจิทัล อุบัติขึ้นแล้ว!

แม้ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม อย่างไรก็ตาม สงครามครั้งนี้คงไม่ได้จำกัดวงแค่การประลองกำลังกันระหว่างสองมหาอำนาจในยุคศตวรรษที่ 20 แต่จะรวมเอา สหรัฐฯ รัสเซีย และมหาอำนาจใหม่อย่างจีนเข้าไปด้วย ส่วนประเทศเล็กประเทศน้อยอย่างไทยนั้นจำเป็นต้องรู้เท่าทัน เพื่อมิให้ตกเป็นเหยื่อของเกมการเมืองและสงครามดิจิทัลในระดับโลกครั้งนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น