เมื่อคนรุ่นใหม่กับการเมืองวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 40 ปี ของเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2516 ซึ่งถือว่าเป็นบาดแผลใหญ่ในประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นเหตุการณ์ที่ยังเต็มไปด้วยคำถาม ยังไม่มีคำตอบมายาวนาน
ปีนี้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจัดเสวนารำลึกเหตุการณ์ 6ตุลา โดยมีปาฐกถาหัวข้อ "การเมืองของคนรุ่นใหม่" แขกรับเชิญสำคัญของงานดังกล่าวคือหนุ่มน้อยผู้นำการต่อสู้ในฮ่องกงอย่าง โจซัว หว่อง ซึ่งเดินทางจากฮ่องกงและถูกตม.ไทยกักตัวไว้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ไม่ให้เข้าประเทศ ทางการไทยอ้างว่าทางจีนข้อร้องมา แต่คนฟังตะโกนดังๆว่าอ้าวเห้ย…เพราะจีนออกมาปฏิเสธว่าไม่มีการขอเรื่องนี้จากไทยแต่อย่างใด สุดท้าย โจชัว หว่อง เข้าเมืองไทยไม่ได้ถูกส่งตัวกลับฮ่องกง ต้องปาฐกถาทางวีดีโอคอนเฟอร์เร้นซ์แทน
เป็นอย่างนี้ละครับ ทางการไทยบอกว่าเพราะทางการจีนขอมา ทางการจีนบอกว่าเป็นเรื่องของทางการไทย โยนกลองกันไปมา ใครเป็นคนห้ามไม่ให้โจชัวหว่องเข้าไทยเพื่อร่วมกิจกรรมการเมือง ก่อนเดินทางมาเขาเขียนในเฟซบุ๊คว่ามาไทยเพื่อปฐกถา และแลกเปลียนประสพการณ์การต่อสู้ทางการเมืองของฮ่องกงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการมองไปข้างหน้า ถึงขบวนการเคลื่อนไหวในส่วนของขบวนการนักศึกษา
ทางการไทยกับจีน พูดเรื่องเดียวกัน ไม่ตรงกัน ฟังง่ายๆเหมือนกับว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งพูดจริง แปลว่าอีกฝ่ายพูดไม่จริง หรือที่จริงพูดไม่จริงทั้งคู่ก็ได้ คงไม่มีใครเชื่อคำปฏิเสธหรอกครับแล้วจะเชื่อไม่เชื่อ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญเรื่องมันซับซ้อนกว่านั้น
โจชัว หว่อง หนุ่มนักศึกษา อายุเพียง 19 ปี เกิดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2539 เป็นนักกิจกรรม ในปี 2554 หว่องและเพื่อนร่วมโรงเรียน Ivan Lam (อีวาน ลัม) ได้จัดตั้งกลุ่มกิจกรรมนักศึกษา Scholarism ขึ้น เขาเป็นนักเรียนใน สหคริสเตียนวิทยาลัย (เกาลูนตะวันออก) และเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่งในฮ่องกง
หว่องได้รับความสนใจ และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในปี 2555 เมื่อเขาเป็นผู้นำองค์กรประท้วงต่อต้านเกี่ยวกับเรื่องศิลธรรมกับการศึกษาระดับชาติ ปี2557 เขาอายุเพียง 17 ปี เคลื่อนไหวชักชวนนร.ฮ่องกงมานั่งทำการบ้านกลางถนน เรียกร้องให้จีนเปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้งผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ให้เลือกตั้งแบบเสรีและยุติธรรม เกิดการชุมนุมออคคิวพายเซ็นทรัล ปิดถนนกางร่มกัน 70 วัน ที่เรียกว่าการปฏิวัติร่ม
โจชัว หว่อง เป็นสมาชิกพรรคเดโมสิโต(Demosisto) มีนโยบายเรียกร้องให้มีการลงประชามติ แยกตัวเป็นเอกราชจากจีน ประธานพรรคนี้คือคู่หูรุ่นพี่ชื่อนาธาน ลอว์ ผู้นำประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยเกาะฮ่องกงให้เป็นอิสระจากจีน ซึ่งต่อมาชนะเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภา ในวัยเพียง 23 ปี คาดกันว่าหว่องกำลังเดินเส้นทางการเมืองหวังลงเลือกตั้ง เมื่ออายุเกิน 21 ปี
การเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ฮ่องกงแยกตัวเอกราชเป็นอิสระจากจีน เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับจีน เป็นกล่องหัวใจจีนก็ว่าได้ หลังจากจีนประกาศศักดาจัดพิธียิ่งใหญ่โตรับเกาะฮ่องกงคืนจากอังกฤษ เมื่อ 1 กรกฎาคม 2540 จีนเก็บรักษาฮ่องกงไว้ด้วยนโยบายหนึ่งประเทศสองระบบ และไม่มีวันยอมให้ใครมาฉีกแยกออกไปได้
ในเวทีโลก การเมืองระหว่างประเทศ จีนเป็นมหาอำนาจสำคัญของโลก เป็นยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ จีนควบคุมความสัมพันธ์ทางการทูตของประเทศต่างๆกับไต้หวันด้วยหลักการจีนเดียว จีนถือว่าไต้หวันและทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีน
จีนสกัดการเคลื่อนไหวของทิเบต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเยือนประเทศต่างๆของทะไลลามะ ตัวอย่างเมื่อสองปีก่อนแอฟริกาใต้ห้ามทะไล ลามะ เข้าประเทศ เพื่อร่วมการประชุมสุดยอดโลกผู้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ด้วยข้ออ้างกลัวกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับจีน
จีนยืนยันอย่างแข็งกร้าวด้วยหลักการจีนเดียวหนึ่งประเทศสองระบบตลอดมา ถ้าจะเทียบกับการอ้างสิทธิในหมู่เกาะสแปรตลี่ที่นำไปสู่ความขัดแย้งแย่งชิงกับเวียดนามและฟิลิปปินส์ หมู่เกาะสแปรตลี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก ถ้าเทียบกับเกาะฮ่องกง
ไม่แปลกที่จีนรับมือกรณีฮ่องกงด้วยการสกัดโจชัว หว่อง ก่อนหน้านี้ มาเลเซียก็เคยห้ามโจชัว หว่องเข้าประเทศ ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกับที่เขาถูกห้ามเข้าประเทศไทย แม้ต่อมาจะมีข้อมูลว่าเขามีการเปลี่ยนชื่อเพื่อออกนอกประเทศ ก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจไม่น้อยที่ฮ่องกงยอมให้เขาออกนอกประเทศตั้งแต่แรก แล้วค่อยมาขอความร่วมมือกับไทยไม่ให้เข้าประเทศ แถมกักตัวเขาไว้อีกตั้ง 12 ชม. ทั้งที่มีเครื่องบินจากไทยไปฮ่องกงนับสิบเที่ยวในแต่ละวัน
โจชัวหว่อง อาจจะเป็นเรื่องใหญ่กับจีนในกรณีฮ่องกง แต่สำหรับการเมืองไทย ผมว่าเขาไม่ได้สำคัญอะไรยุคนี้จริงๆทั้งไทยและจีนควรจะใจกว้างเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้มีที่ยืนในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองให้มากขึ้น ไม่ใช่เอาแต่จะปิดโอกาสพวกเขา อย่างน้อยๆเด็กๆเหล่านี้ก็จะได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาชาติบ้านเมืองในอนาคต
เยาวชนไม่ควรเป็นแค่อนาคตของชาติ แต่พวกเขาต้องเป็นปัจจุบันด้วย เพียงแค่การจัดกิจกรรมเสวนาในมหาวิทยาลัยอย่างเปิดเผยของนักศึกษา พวกเขาส่วนใหญ่ไม่มีอะไรน่ากลัว ผมว่าอย่ากลัวว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง หรือถูกใช้เป็นเครื่องมือ เยาวชนเหล่านี้ก็รู้คิดมีความคิดของตัวเอง เรียนรู้ไปตามวัยและประสพการณ์ของพวกเขาเอง อย่ามัวหวังให้เด็กและเยาวชนที่สนใจบ้านเมือง รอให้เขาโตค่อยสนใจ ถ้ามัวแต่รอให้ถึงวันนั้น มันอาจจะไม่มีวันนั้นแล้วก็ได้ ประเทศชาติอาจจะพังพินาศไปเสียก่อนแล้ว