วริษฐ์ ลิ้มทองกุล
โลกดิจิตอลกำลังขับเคลื่อนสังคมของเราให้ก้าวไปสู่สังคมในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน
ยกตัวอย่างง่ายๆ ใกล้ๆ ตัวก็คือ ผมกับภรรยา เราซื้อและซ่อมแซมที่อยู่ใหม่เสร็จตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 ทว่า กว่าเราจะซื้อโทรทัศน์ ก็หลังจากที่ซ่อมแซมบ้านเสร็จไปแล้ว 8 เดือน
ห้วง 8 เดือนที่ผ่านมาเราไม่เคยรู้สึกว่าครอบครัวของเราขาดการรับรู้ข้อมูลข่าวสารอะไร เพราะทุกวันนี้ข้อมูลต่างๆ ในโทรทัศน์ได้ถูกแปลงเข้าสู่โลกดิจิตอลเกือบหมดแล้ว เกือบทุกอย่างหาดูได้จากโลกอินเทอร์เน็ต ทั้งยังมีมากกว่า หลากหลายกว่า สะดวกกว่าดูบนจอโทรทัศน์เสียด้วยซ้ำ
อินเทอร์เน็ตได้ทำลายข้อจำกัดทางด้าน เวลา (Time) และ พื้นที่ (Space) ในการรับชมไปหมด สาวๆ คนไหนที่อยากดูละครหลังข่าวไม่จำเป็นต้องรีบกลับบ้านไปนั่งหน้าจอเปิดโทรทัศน์อีกต่อไป ส่วนหนุ่มๆ คนไหนที่ต้องการชมการถ่ายทอดสดกีฬาเดี๋ยวนี้เกือบทุกรายการใหญ่ก็มีคนหัวใสหยิบมาถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กหมดแล้วเช่นกัน ขณะที่หากเด็กๆ อยากดูการ์ตูนเรื่องที่ชอบก็ไม่ต้องตื่นเช้ามานั่งหน้าจอ เพื่อเฝ้ารอชมการ์ตูนตัวโปรดอีกต่อไป เพราะหาเอาจากเว็บไซต์-ยูทิวบ์ ได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้วคลิก
ทุกวันนี้สังคมของคนทั่วโลกเป็น “สังคมก้มหน้า” และดูเหมือนว่านับว่าจะยิ่งไม่มีวันที่จะเงยขึ้นง่ายๆ เสียด้วย
ไม่นานมานี้ สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatrics) ให้ข้อมูลว่าเด็กอเมริกันปัจจุบันใช้เวลาเฉลี่ยราว 7 ชั่วโมงต่อวันอยู่หน้าจอต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แทบเล็ต สมาร์ทโฟน และนับวันอายุเฉลี่ยของผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตจะลดน้อยลงเรื่อยๆ ที่สำคัญก็คือ ในที่สุด เด็กๆ จะใช้เวลาอยู่หน้าจอต่างๆ มากกว่าในการอยู่กับพ่อแม่ เพื่อนๆ หรือครูบาอาจารย์เสียอีก หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า ในโลกยุคอนาคต “หน้าจอ” ต่างๆ จะเป็นทั้งพ่อ แม่ ครู เพื่อน ที่แก้เหงา ที่ปลดปล่อย ที่ปรับทุกข์ และเกือบจะทุกสิ่งทุกอย่างของเขา*
“คุณเอก” เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา เคยเปิดเผยในเวทีเสวนา “Cyberbullying ภัยร้ายใกล้ตัว..ที่คุณต้องระวัง” จัดโดยดีแทค เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2559 ให้ผมและผู้เข้าร่วมเสวนาฟังว่า ทุกวันนี้มูลนิธิกระจกเงาได้รับแจ้งกรณีเด็กหายทุกวัน เฉลี่ยเดือนละประมาณ 50 คน หรือ ตกปีละ 600 คน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นในเด็กในช่วงอายุประมาณ 11-15 ปี โดยร้อยละร้อยของเด็กที่หายไปพกพาเครื่องมือสื่อสารไปด้วย แต่ที่น่าตกใจก็คือ ล่าสุดอายุของเด็กคนหนึ่งที่สมัครใจ (ตั้งใจ) หนีออกจากบ้านหายไปเป็นเวลานานถึงสามเดือนนั้นมีอายุเพียงแค่ 6 ขวบเท่านั้น!
ปาร์ค ยูฮุน นักวิจัยด้านการศึกษาและนโยบายดิจิตอล แห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหนานหยาง (Nanyang Technological University) ประเทศสิงคโปร์ เขียนบทความลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ของ สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum : WEF)** ระบุว่าในระยะเวลาสิบปีข้างหน้า ประชากรโลกร้อยละ 90 จะเข้าถึงอินเทอร์เน็ต อันจะขับเคลื่อนสังคมโลกให้ก้าวไปสู่สภาวะที่ทุกสิ่งจะเชื่อมเข้ากับโลกอินเทอร์เน็ต (Internet of Everything) หรือ อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things; IoT) ซึ่งทำให้โลกเสมือนและโลกทางกายภาพเชื่อมเข้าหากันอย่างใกล้ชิดชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
สภาวะดังกล่าวนำไปสู่โอกาสที่มากมาย แต่ในมุมกลับก็นำมาสู่ความไม่แน่นอนอีกมากมายด้วยเช่นกัน ดังนั้นการลองจินตนาการถึงโลกในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งพวกเราผู้ใหญ่ในวันนี้เริ่มแก่ตัวลง ลูกของเราเริ่มเติบใหญ่ขึ้น เข้าสู่ระบบการศึกษา จบการศึกษา ออกไปทำมาหาเลี้ยงชีพ สภาพแวดล้อมในอนาคตจึงเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา
ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ ปาร์คเสนอว่าในโลกแห่งความไม่แน่นอนของยุคดิจิตอล ผู้ใหญ่จึงควรติดอาวุธให้เด็กๆ ด้วยทักษะทางด้านดิจิตอล 8 ทักษะดังนี้
1.อัตลักษณ์ในโลกดิจิตอล (Digital identity) กล่าวคือ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคดิจิตอลจะต้องมีทักษะในการสร้าง บริหารอัตลักษณ์และชื่อเสียงในโลกออนไลน์ของตัวเองให้เป็น ซึ่งนั่นรวมไปถึงการจัดการกับตัวตนในโลกออนไลน์ทั้งในระยะสั้น และระยะยาวด้วย
2.การใช้เครื่องมือและสื่อดิจิตอล (Digital use) คือ ทักษะในการใช้เครื่องมือและสื่อในยุคดิจิตอล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยสามารถสร้างสมดุลให้กับชีวิตออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างดี มิใช่ดังเช่นที่เห็นปัจจุบันคือ หลายคนถูกเทคโนโลยีใช้ มิใช่ใช้เทคโนโลยี
3.การอยู่ในโลกดิจิตอลอย่างปลอดภัย (Digital safety) หมายถึงทักษะในการบริหารจัดการความเสี่ยงในโลกออนไลน์ เช่น การไม่ไปรังแกและสามารถจัดการกับการถูกรังแกบนโลกไซเบอร์ (Cyberbullying) ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง รวมไปถึงการเกี้ยวพาราสี การเหยียดผิว-เหยียดชนชั้น รวมไปถึงเนื้อหาต่างๆ ที่สุ่มเสี่ยงเช่น เนื้อหาที่มีความรุนแรง โป๊เปลือย ลามกหยาบคายด้วย
4.ความปลอดภัยในโลกดิจิตอล (Digital security) ซึ่งหมายความถึง การมีความสามารถในการตรวจสอบเบื้องต้นว่าตนเองมีภัยคุกคามในโลกไซเบอร์หรือไม่ เช่น การแฮกบัญชีผู้ใช้อีเมล์ เฟซบุ๊ก เครื่องมือสื่อสารติดไวรัสคอมพิวเตอร์ มัลแวร์ ถูกขโมยรหัสผ่าน แฮกบัญชีธนาคาร ฯลฯ และครอบคลุมไปถึงการป้องกัน การหลีกเลี่ยง และจัดการอย่างถูกวิธีเมื่อเจอภัยคุกคามหรือถูกละเมิดความปลอดภัยด้วย
5.การแสดงอารมณ์ในโลกดิจิตอลอย่างชาญฉลาด (Digital emotional intelligence) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือทักษะในการเข้าสังคมในโลกออนไลน์ เช่น การแสดงความเห็นอกเห็นใจ เสียใจ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ยินดี สนุกสนาน ฯลฯ เพื่อสานสัมพันธ์กับผู้คนในโลกออนไลน์
6.การสื่อสารในโลกดิจิตอล (Digital communication) คือ ความสามารถในการสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์ และร่วมมือกับผู้อื่นโดยใช้เทคโนโลยีและสื่อดิจิตอล
7.การบริหารจัดการลิขสิทธิ์ดิจิตอล (Digital Rights) หมายถึงความเข้าใจในสิทธิเฉพาะตัว และสิทธิทางกฎหมาย รวมไปถึงสิทธิความเป็นส่วนตัว ทรัพย์สินทางปัญญา เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และหลีกเลี่ยงถ้อยคำแห่งความเกลียดชังของทั้งตัวเองและผู้อื่น
8.การรู้ดิจตอล (Digital Literacy) ทักษะนี้ดูเหมือนจะครอบคลุมทักษะอื่นๆ 7 ข้อ ที่กล่าวมาข้างต้น แต่ปาร์คระบุรายละเอียดว่า หมายความถึง ความสามารถในการค้นหา ประเมิน ใช้ประโยชน์ แบ่งปัน และสร้างสรรค์เนื้อหา รวมไปถึงความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ หรือ คิดเชิงประมวลผล (computational thinking)
ทั้งหมดนี้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม จริยธรรม และคุณค่าของสังคมนั้นๆ โดยถูกเรียกรวมว่า ความฉลาดทางดิจิตอล (Digital Intelligence หรือ DQ)
หมายเหตุ :
* Media and Children
**8 digital skills we must teach our children