xs
xsm
sm
md
lg

ลงทะเบียน Any ID : เรื่องที่ประชาชนไม่เคยรู้ ธนาคารไม่ค่อยจะบอก

เผยแพร่:   โดย: กิตตินันท์ นาคทอง


หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป กระทรวงการคลังจะเปิดให้ประชาชนทั้งประเทศ ลงทะเบียนระบบการชำระเงินแบบ “เอนี ไอดี” (Any ID)

โดยประชาชนที่ลงทะเบียน “เอนี ไอดี” จะต้องมีข้อมูลอยู่ 3 อย่าง ได้แก่

- เลขที่บัตรประชาชน

- เบอร์โทรศัพท์มือถือ

- และ เลขที่บัญชีธนาคาร


หลายคนคงสงสัยว่า “เอนี ไอดี” มันคืออะไร จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องลงทะเบียน

“เอนี ไอดี” ถ้าใช้เป็นภาษาแบบทางการก็คือ “ระบบการชำระเงินแบบนานานาม” ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National E-Payment) ของรัฐบาล

ประโยชน์ของมันมีอยู่สองอย่าง คือ อย่างแรก เลขที่บัตรประชาชน 13 หลัก ใช้รับเงินสวัสดิการจากรัฐบาล หรือเงินคืนภาษีจากกรมสรรพากร เข้าบัญชีที่สมัครและผูกกับบริการ “เอนี ไอดี” ได้ทันที

เงินคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปกติกรมสรรพากรจะส่งเป็นเช็คขีดคร่อมทางไปรษณีย์ ปัญหาที่ผ่านมา ผู้รับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ต่อไปนี้หลังวันที่ 1 มกราคม 2560 จะไม่คืนเป็นเช็คคืนภาษีอีก

แต่กรมสรรพากรจะโอนเงินผ่าน “เอนี ไอดี” เข้าบัญชีไปเลย

สำหรับชาวบ้าน เกษตรกร หากรัฐบาลจะช่วยเหลือกรณีประสบภัยพิบัติ หรือผลผลิตตกต่ำ ฯลฯ รัฐบาลก็จะใช้เลขที่บัตรประชาชน โอนเงินผ่าน “เอนี ไอดี” เข้าบัญชีธนาคารที่เราลงทะเบียนไว้

และเมื่อการลงทะเบียน “เอนี ไอดี” สามารถผูกบัญชีธนาคารไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นธนาคารของรัฐ ไม่จำเป็นต้องเป็น ธ.ก.ส. ทำให้เกษตรกรสะดวก และมีทางเลือกรับเงินโอนจากรัฐบาลมากขึ้น

ส่วนผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป หากรัฐบาลจะจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ปกติต้องลงทะเบียนและส่งสำเนาบัญชีธนาคาร

แต่ต่อไปนี้จะช่วยลดขั้นตอนการลงทะเบียนมากขึ้น ใครเคยลงทะเบียน “เอนี ไอดี” เอาไว้ก็ใช้รับเงินเบี้ยยังชีพได้ทันที

รวมทั้งเงินสวัสดิการของข้าราชการ เช่น เงินบำนาญ เบี้ยหวัด เงินบำนาญพิเศษ ฯลฯ ก็จะโอนเงินผ่าน “เอนี ไอดี” เข้าบัญชีธนาคารที่เราลงทะเบียนไว้เช่นกัน

ลดความยุ่งยากของรัฐบาล ทำให้ประชาชนได้รับเงินจากภาครัฐเร็วขึ้น



ประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง คือ การโอนเงินให้กัน โดยใช้เบอร์มือถือแทนเลขที่บัญชี

ปัจจุบันเราโอนเงินโดยใช้เลขบัญชี ผ่านเครื่องเอทีเอ็ม อินเตอร์เน็ต และแอปพลิเคชันไปยังบัญชีต่างธนาคารด้วยระบบ ORFT ค่าธรรมเนียมจะอยู่ที่ครั้งละ 25-35 บาท

ฟังดูแล้วอาจรู้สึกไม่แปลก เพราะปัจจุบันทุกคนมีบัญชีธนาคาร มีบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเดบิตกันทั้งนั้น รวมกันทั้งประเทศกว่า 76.25 ล้านบัญชี และส่วนใหญ่มีบัญชีธนาคารมากกว่า 1 เล่ม

แต่ระบบ “เอนี ไอดี” เค้าชูจุดเด่นขึ้นมาเลยว่า นอกจากใช้แค่เบอร์มือถือโอนเงินให้กันได้ ไม่ต้องจำเลขบัญชีแล้ว

ค่าธรรมเนียมยังถูกกว่า เมื่อเทียบกับการโอนเงินแบบเดิมอีกด้วย

ทีนี้ เรายังไม่รู้ว่าค่าธรรมเนียมโอนเงินผ่าน “เอนี ไอดี” ที่ธนาคารกำลังตกลงกันอยู่นั้นจะอยู่ที่ครั้งละกี่บาท

เพราะเอาเข้าจริง สมาคมธนาคารไทย ยังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องนี้เลย!

อาจมีคนสงสัยว่า ระบบ “เอนี ไอดี” ทำงานกันอย่างไร?

“เอนี ไอดี” จะมี บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ จำกัด ที่ธนาคารหลายแห่งร่วมจัดตั้งระบบ “เอทีเอ็มพูล” ขึ้นมากว่า 10 ปี ทำหน้าที่ดูแลการโอนเงินจากรัฐบาล เข้าบัญชีธนาคารที่ประชาชนลงทะเบียน “เอนี ไอดี” โดยใช้เลขที่บัตรประชาชน

รวมทั้งการโอนเงินผ่านเบอร์มือถือแทนเลขที่บัญชี เวลาเราโอนเงินผ่านเอทีเอ็ม อินเตอร์เน็ต หรือแอปพลิเคชัน ให้สามารถทำได้ข้ามธนาคารมากขึ้น

จากเดิมที่ธนาคารใหญ่บางแห่งจะดึงเบอร์มือถือที่สมัครไว้กับธนาคาร ให้บริการโอนเงินโดยใช้เบอร์มือถือผ่านแอปพลิเคชัน แต่ก็ทำได้เฉพาะธนาคารเดียวกันเท่านั้น

เช่น โอนเงินจากแบงก์ ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร จากมือถือของเรา ไปยังเบอร์มือถือของเพื่อนที่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันของแบงก์เหมือนกัน เงินก็เข้าบัญชีแบงก์นั้นของเพื่อนโดยอัตโนมัติ

หมายความว่า ต่อไปนี้เบอร์มือถือ กับ เลขบัญชีธนาคาร ถ้าเราผูกไว้เป็น “เอนี ไอดี” เดียวกัน

เวลาโอนเงินเราแค่กรอกเบอร์มือถือ ก็โอนไปยังบัญชีปลายทาง ที่เป็นธนาคารเดียวกัน หรือคนละธนาคารได้ทันที

แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะยังไม่ทราบว่า ประเทศไทยกำลังจะมีบริการนี้ แต่ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเตรียมความพร้อมรองรับการลงทะเบียน “เอนี ไอดี” อย่างเงียบๆ พร้อมกับจัดทำระบบรองรับเรียบร้อยแล้ว



ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทำเว็บไซต์ที่ชื่อว่า anyid.scb โดยให้ประชาชนที่สนใจลงทะเบียนใช้งาน “เอนี ไอดี” ล่วงหน้า โดยใช้เลขที่บัตรประชาชน และเบอร์มือถือที่ให้ไว้กับธนาคาร

และเตรียมที่จะเปิดสมัครใช้บริการเพิ่มเติม ผ่านทางสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ ตู้เอทีเอ็มไทยพาณิชย์ รวมทั้งบริการ SCB EASY NET และ SCB EASY APP บนโทรศัพท์มือถือในเร็วๆ นี้

ส่วน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจกับเกษตรกรแต่ละหมู่บ้าน และให้กรอกเอกสาร “คำขอลงทะเบียน Any ID ละหนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อมูลลูกค้า” ไว้ล่วงหน้า

โดยเจ้าหน้าที่อธิบายว่า ในอนาคตจะได้รับสวัสดิการจากภาครัฐต่างๆ ได้โดยตรง เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การชดเชยรายได้ให้เกษตรกร หรือโครงการผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ฯลฯ

ขณะที่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้เขียนบทความในเว็บไซต์ Krungsri Guru ระบุว่า จะเปิดให้ลงทะเบียนเอนี ไอดี หลังจากวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม พนักงานทุกสาขาพร้อมให้คำแนะนำและตอบคำถาม

ทั้งนี้ สำหรับคนที่ลงทะเบียนล่วงหน้าไปแล้ว จะยังไม่สามารถใช้บริการ “เอนี ไอดี” ได้ทันที เพราะธนาคารจะต้องนำคำขอลูกค้าไปตรวจสอบข้อมูลและลงทะเบียนกับระบบของ เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ ก่อน จึงจะอนุมัติให้ใช้งานได้

หลักการคล้ายกับ การย้ายค่ายมือถือเบอร์เดิม ที่ไม่สามารถย้ายค่ายได้ทันที

เพราะแต่ละค่ายจะส่งเรื่องให้ “เคลียริ่งเฮาส์” หรือ บริษัท ศูนย์ให้บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์ จำกัด อนุมัติก่อน ถ้าไม่มียอดค้างชำระถึงจะย้ายค่ายสำเร็จ

เว็บไซต์ Krungsri Guru ระบุว่า บุคคลทั่วไปจะสามารถมี “เอนี ไอดี” ประกอบด้วย เลขที่บัตรประชาชน 1 หมายเลข และเบอร์มือถือสูงสุดได้ 3 เบอร์ เพื่อผูกเข้ากับบัญชีธนาคารได้สูงสุด 4 บัญชี

โดย “เอนี ไอดี” 1 หมายเลข จะสามารถผูกกับ 1 บัญชีธนาคารเท่านั้น

โดยระบบจะไม่อนุญาตให้มีการลงทะเบียนซ้ำ หากเลขที่บัตรประชาชนหรือเบอร์มือถือได้เคยถูกลงทะเบียนไว้ก่อนแล้ว

แต่เท่าที่ศึกษาข้อกำหนดและเงื่อนไขการให้บริการ “เอนี ไอดี” ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า เลขประจำตัวประชาชน และเบอร์โทรศัพท์มือถือแต่ละหมายเลข สามารถกำหนดใช้เป็น “เอนี ไอดี” ได้หมายเลขละ 1 ไอดี

และต้องเป็นหมายเลขที่ยังไม่ถูกกำหนดใช้เป็น “เอนี ไอดี” ผูกกับบัญชีเงินฝากบัญชีอื่น ไม่ว่าจะเป็นบัญชีเงินฝากที่มีอยู่กับธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินใด เว้นแต่ได้ยกเลิกตามวิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแล้ว

ที่สำคัญ ยังระบุว่า “เอนี่ ไอดี” ผูกได้กับบัญชีเงินฝาก 1 บัญชี (รวมทุกธนาคารหรือสถาบันการเงินในประเทศไทย)

บัญชีเงินฝาก 1 บัญชี อาจถูกผูกกับหลาย “เอนี่ ไอดี” ในเวลาเดียวกันได้ แต่จะผูกกับ “เอนี่ ไอดี” ที่เป็นเบอร์โทรศัพท์มือถือได้เพียง 1 หมายเลขเท่านั้น เว้นแต่ธนาคารจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

หมายความว่า หากเราลงทะเบียนเลขที่บัตรประชาชน หรืออาจจะบวกเบอร์มือถืออีก 1 เบอร์ กับ บัญชีธนาคาร 1 บัญชี เท่ากับเราจะมี “เอนี ไอดี” แล้ว 1 ไอดี

เบอร์มือถือ กับ บัญชีธนาคาร 1 บัญชี ก็เท่ากับเราจะมี “เอนี ไอดี” เพิ่มอีก 1 ไอดี จนกว่าจะครบโควตา คือ 3-4 ไอดี ขึ้นอยู่กับเลขที่บัตรประชาชน กับ เบอร์มือถือ จะผูกเป็นไอดีเดียวกันกับบัญชีธนาคาร 1 เล่มหรือไม่



ถ้าถามว่า จำเป็นหรือไม่ที่เราจะต้องลงทะเบียน “เอนี ไอดี”?

เนื่องจากเป็นการลงทะเบียนแบบสมัครใจ กระทรวงการคลังไม่ได้บังคับให้ประชาชนทุกคนต้องลงทะเบียน “เอนี ไอดี” แต่ธุรกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือทางราชการ ต่อไปจะใช้ “เอนี ไอดี” ในการโอนเงินไปยังประชาชน

เพราะฉะนั้น ถึงยังไงเราก็ต้องลงทะเบียน “เอนี ไอดี” ก่อนเพื่อขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอยู่ดี

นอกเสียจากทั้งชีวิตเราไม่เคยยื่นแบบภาษีให้กับกรมสรรพากร เพราะเงินได้สุทธิปีละไม่ถึง 150,000 บาท หรือ เราไม่ใช่วัยทอง เป็นผู้สูงอายุที่ต้องได้รับเบี้ยยังชีพจากรัฐบาล

หรือหากเราทำตัวเป็นคนอินดี้ ดูแลตัวเองได้ ไม่สนใจความช่วยเหลือจากรัฐบาล เราก็คงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาลงทะเบียน “เอนี ไอดี” ก็ได้ ถือว่าเอาเงินช่วยเหลือไปให้ผู้ที่ด้อยโอกาสกว่าเรา

แต่ถ้าเราเห็นความจำเป็นที่จะต้องลงทะเบียน “เอนี ไอดี” สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ “บัญชีธนาคาร”

เชื่อว่าธนาคารหลายแห่งเริ่มจับตามองและแย่งชิงลูกค้าที่จะเอาบัญชีธนาคารตัวเองเป็นบัญชีหลักที่จะผูกกับ “เอนี ไอดี”

ธนาคารใดมีลูกค้าผูกบัญชี “เอนี ไอดี” อยู่ในมือมากที่สุด ในระยะยาวก็จะได้รับสภาพคล่องจากรัฐบาลผ่านการโอนเงินไปยังประชาชนมากที่สุด รวมทั้งค่าธรรมเนียมจะได้รับหากมีการโอนเงินข้ามธนาคาร

ถ้าไม่ต้องการให้ยุ่งยาก ควรใช้บัญชีธนาคารที่เรามีอยู่แล้ว เช่น บัญชีเงินเดือนที่เรารับเป็นประจำ บัญชีเงินช่วยเหลือเกษตรกร บัญชีที่ผูกกับบัตรนักศึกษา หรือบัญชีที่เคยลงทะเบียนผู้สูงอายุ ฯลฯ

แต่หากใช้บัญชีปนกันแล้วเกิดความสับสน อาจจะเปิดบัญชีออมทรัพย์เพิ่มอีกเล่ม แยกจากบัญชีเงินเดือน หรือบัญชีเงินออม เพื่อกันความสับสนจากการที่เราเช็กยอดเงินแล้วมีเงินเข้ามาแปลกๆ ไม่รู้ว่ามาจากไหน

ที่สำคัญ ควรจะคิดถึงความสะดวกของตัวเอง

เช่น เป็นธนาคารที่เราใช้บริการประจำ มีบัตรเดบิตอยู่แล้ว มีสาขาอยู่ใกล้บ้าน หรือสามารถถอนเงินที่ห้างใกล้บ้านในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ได้

รวมทั้งต้องคำนึงถึงค่าธรรมเนียม เช่น ค่าบัตรเดบิตรายปี หรือค่ารักษาบัญชี ในกรณีที่เราไม่ค่อยได้ใช้บัญชีนั้น ผ่านไป 1 ปีหากบัญชีไม่เคลื่อนไหว ต้องเสียค่าธรรมเนียมรักษาบัญชี 50 บาท และเผลอๆ หากไม่มีเงินบัญชีก็ถูกปิดอีกด้วย

“เอนี ไอดี” แม้ฟังดูเหมือนจะไกลตัว แต่หลังจากระบบการชำระเงินเปลี่ยนแปลงโดยเริ่มจากรับเงินภาครัฐ เราควรรับมือและปรับตัว

เพราะต่อไปอาจมีอิทธิพลในชีวิตประจำวันมากขึ้นก็ได้.

รู้ทันธนาคาร ... ก่อนเปลี่ยน “ชิปการ์ด”

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้สังเกตธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ ขึ้นค่าธรรมเนียมรายปีบัตรเดบิตแบบชิปการ์ดเพื่มขึ้นตั้งแต่ 18-50% น่าดีใจว่า บางธนาคารเริ่มส่งสัญญาณปรับลดค่าธรรมเนียมบ้างแล้ว



เริ่มจาก ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ยกเว้นค่าธรรมเนียมเปลี่ยนบัตรแบบแถบแม่เหล็ก เป็นแบบชิปการ์ดในทุกกรณี ไปจนถึงสิ้นปี 2562 เพื่อช่วยลดภาระให้กับลูกค้าที่ถือบัตรแบบแถบแม่เหล็ก ที่มีจำนวนกว่า 12 ล้านราย

พร้อมลดค่าธรรมเนียมรายปี ปีแรก สำหรับลูกค้าที่สมัครบัตรเดบิต เคทีบี ช้อปสมาร์ท คลาสสิก จากปกติ 200 บาท เหลือ 180 บาท ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน ถึง 31 ธันวาคม 2559 อีกด้วย



ขณะที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ขยายระยะเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนบัตร 100 บาท จากเดิมสิ้นสุด 31 กรกฎาคม 2559 เป็นสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2559

พร้อมทั้งได้ปรับลดค่าธรรมเนียมรายปีของบัตรเดบิต เอส สมาร์ท จากเดิม 300 บาท เป็น 200 บาท มีผลตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2559 เป็นต้นไป

จากรายงานข่าวพบว่า นอกจากจะลดค่าธรรมเนียมลง 100 บาทแล้ว ยังถูกกว่าค่าธรรมเนียมรายปีบัตรเดบิตไทยพาณิชย์เดิม ที่เคยบวกค่าธรรมเนียมจาก 200 บาท เป็น 250 บาทต่อปี มาตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2557 อีกด้วย

ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ เคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับหนึ่ง อ้างว่าที่ขึ้นค่าธรรมเนียมอีก 50 บาท เพราะต้นทุนบัตรชิปการ์ดเพิ่มขึ้น 3 เท่า แถมต้องทุนลงทุนอัปเกรดระบบและตู้เอทีเอ็มอีก 300 ล้านบาท

ถือว่าซื้อใจลูกค้า หลังถูกตั้งข้อสังเกตว่า ธนาคารพาณิชย์ชั้นนำปรับขึ้นค่าธรรมเนียมรายปีแบบเงียบๆ

อย่างไรก็ตาม แม้ยังมีอีกหลายธนาคารที่พยายามจูงใจให้ลูกค้าเปลี่ยนบัตรเอทีเอ็ม และบัตรเดบิตแบบชิปการ์ดฟรี แต่ก็ยังพบปัญหาไม่ต่างไปจากในยุคที่บัตรเดบิตยังเป็นแบบแถบแม่เหล็ก

เช่น ลูกค้าต้องการทำบัตรเดบิตแบบธรรมดา แต่สาขาบอกว่าหมด มีแต่แบบเพิ่มสิทธิพิเศษ กับพ่วงประกันอุบัติเหตุ ที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มมากขึ้น หากจำเป็นต้องใช้บัตรทันทีก็ต้องยอมพนักงาน

หรือกระทั่งลูกค้าไปเปลี่ยนบัตร กลับได้บริการ SMS Alert เดือนละ 20 บาท ทั้งที่เราไม่ต้องการอีกด้วย

แม้ที่ผ่านมาประชาชนจะร้องเรียนทั้งช่องทางของธนาคารเอง สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) รวมทั้งศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ก็ดูเหมือนว่าปัญหานี้แก้ไขผ่านไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น

ประชาชนควรรู้เท่าทันด้วยการศึกษาผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะค่าธรรมเนียม ผ่านเว็บไซต์ธนาคารก่อนสมัครใช้บริการ และในกรณีที่พนักงานแจ้งว่าบัตรหมด ให้ติดต่อสำนักงานใหญ่ของธนาคารเพื่อร้องเรียนเรื่องบัตรหมดทันที

อย่าใจอ่อนยอมถูกยัดเยียดผลิตภัณฑ์อื่น เพียงเพราะบัตรหมด ที่นอกจากจะไม่จำเป็น และเราไม่ต้องการแล้ว ยังเสียค่าธรรมเนียม “มหาโหด” ตลอดไป จนกว่าเราจะยกเลิกบัตรอีกด้วย.

กำลังโหลดความคิดเห็น