ผ่านพ้นไปไม่นานสำหรับการประกาศผลรางวัล อะคาเดมี่อวอร์ด หรือออสการ์ ปีนี้ไฮไลท์ของงานน่าจะอยู่ที่รางวัลดารานำชายอย่างลีโอนาโด ดีคาร์ปริโอ เขาเกือบได้รางวัลนี้มาหลายครั้งแล้วครับ จนผมเคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าสมมติอีกสัก 20 ปี มีหนังชีวประวัติชายคนนี้ออกมา คนที่รับบทเป็นลีโอนาโดได้ออสการ์ขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น เพราะตัวจริงไม่เคยได้ แต่คนที่รับบทเป็นตัวเขาเองดันได้ซะงั้น
เกริ่นมาซะยาว วันนี้จะขอหยิบหนังรางวัลใหญ่ที่สุดบนเวทีออสการ์มาเล่าสู่กันฟังครับ เพราะนอกจากจะเป็นหนังดีแล้ว ยังเข้ายุคเข้าสมัย เหมาะกับสถานการณ์บางอย่างในสังคมไทยเวลานี้ ทั้งเรื่องการทำงานของสื่อสารมวลชน และการเปิดโปงพฤติกรรมของพระในวงการสงฆ์บ้านเรา
หนังเรื่องนั้นคือ Spotlight มีชื่อไทยดูดุเดือดว่า "คนข่าวคลั่ง" เป็นหนังที่ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม บนเวทีออสการ์ล่าสุดปี 2516 นี้ครับ
“Spotlight” เป็นทีมนักข่าวสืบสวนของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเก่าแก่ Boston Globe รื้อฟื้นเรื่องฉาวของวงการศาสนาคริสต์คาทอลิกในบอสตัน เรื่องนี้อิงเหตุการณ์จริงเมื่อสิบห้าปีก่อน เหตุการณ์ในปี 2002 สุดอื้อฉาวทำให้ทั้งโลกตกตะลึง เมื่อทีมนักข่าวจากหนังสือพิมพ์บอสตัน โกลบ พยายามสืบสวนเพื่อเปิดโปงการล่วงละเมิดเมิดทางเพศต่อเด็กผู้ชายของบาทหลวงนิกายคาธอลิก
หนังเรื่องนี้เป็นฝีมือการกำกับของ ทอม แม็คคาร์ธี่ นำแสดงโดย ไมเคิล คีย์ตัน แบทแมนคนแรกบนจอภาพยนตร์ รับบท วอลเตอร์ โรบินสัน หัวหน้าทีม “Spotlight” ลูกน้องนักข่าวฝีมือดีอีกสามคนรับบทโดย มาร์ค ราฟฟาโล เดอะฮัลค์ จากแก๊งอเวนเจอร์ เป็นไมค์ เรเซนเดส, ราเชล แอน แม็กอดัมส์ รับบท ซาช่า ไฟเฟอร์ และ ไบรอัน ดาร์ชี่ เจมส์ เป็น แมตต์ คาร์โรลล์
หนังเริ่มเรื่องด้วยการเข้ามาของ บรรณาธิการคนใหม่ที่ชื่อบารอน เรียกประชุมทีมข่าว Spotlight และมอบหมายให้ทำข่าวเจาะบาทหลวงไปล่วงละเมิดทางเพศเด็ก วอลเตอร์ “ร็อบบี้” โรบินสัน (ไมเคิล คีตัน) หัวหน้าทีม Spotlight จึงต้องรับภาระหนักพร้อมลูกทีม คอยเจาะหาข้อมูลจนพบว่า บาทหลวงในบอสตันถึง 87 คน มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศเด็กชาย มีผู้เสียหายจำนวนมาก ผู้กระทำผิดไม่ได้ถูกลงโทษ ชนิดที่ว่าคนดูต้องอึ้ง
ความเข้มข้นของเรื่อง มาถึงจุดที่คนข่าวต้องก้าวข้ามผ่านความรู้สึกส่วนตัวและแรงกดดันจากเพื่อน เพราะในบอสตัน คนส่วนใหญ่ศรัทธาในคาทอลิก ที่หยั่งรากลึกผ่านกลุ่มสังคมทุกชนชั้น ทั้งชุมชนยากไร้ กลุ่มทนาย และการคุกคามจากวงการบาทหลวงพระคาร์ดินัลผู้ทรงอิทธิพลเหนือคนกลุ่มต่างๆ
เนื่องจากหนังอิงเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ทีมนักแสดงหลักทุกคนต่างทุ่มเทใช้เวลาอยู่หลายสัปดาห์ไปกับการเตรียมตัวมารับบทบาท ด้วยการศึกษาหาข้อมูลจากทีมนักข่าวสปอตไลท์ตัวจริง ทั้งการเดินทางไปพบปะเพื่อขอสัมภาษณ์ ศึกษาบุคลิกผ่านทางคลิปวีดีโอสัมภาษณ์จากข่าวและสื่อรูปแบบอื่นๆ
ไมเคิล คีย์ตัน ถึงขนาดไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ กับวอลเตอร์ โรบินสัน ตัวจริง แล้วก็แอบสะกดรอยสังเกตท่าทางมาเลียนแบบ จนวันที่ทั้งคู่ได้เจอกัน วอลเตอร์ นักข่าวอาวุโสชื่อดัง ถึงกับตกใจแทบหงายหลังตกเก้าอี้ เพราะสีหน้าท่าทางของ คีตัน และการพูดสำเนียงบอสตันเลียนแบบเขาได้เหมือนมาก
มาร์ค รัฟฟาโล ลงทุนตามติด ไมค์ เรเซนเดส ตัวจริง เพื่อที่จะดึงเอาบุคลิกความเป็นนักข่าวมาใช้ในการแสดง ไปที่อพาร์ทเม้นท์ของเขา ทานข้าวเย็นด้วยกัน ออกไปเดินคุยกันข้างนอก นานมากๆ คุยจนเริ่มเข้าใจว่า เขาผ่านอะไรมา และเขารับมือกับเรื่องต่างๆ ด้วยวิธีการใด แล้วก็ไปที่สำนักงานของบอสตัน โกลบ ใช้เวลาดูไมค์ทำงาน 5 วันเต็มๆ ก่อนที่จะเริ่มซ้อมบท
ส่วนเรเชลก็เป็นนักข่าวหญิงขาลุย เรียบง่าย พยายามจะเรียนรู้ทักษะการพูดจาเกลี้ยกล่อมแหล่งข่าวของ ซาช่า ไฟเฟอร์ เพื่อให้ได้ข้อมูลสำคัญ
นักข่าวทีม Spotlight คือตัวอย่างของการทำงานข่าวสืบสวนอย่างยากลำบาก แบบกัดไม่ปล่อย แต่ด้วยบรรณาธิการและหัวหน้าทีมที่เป็นคนหัวแข็ง กล้าสู้กล้าชน ไม่ได้เปิดโปงแค่บาทหลวงเท่านั้น แต่ต้องต่อสู้กับทั้งระบบของศาสนจักร
เพื่อทำให้สังคมตาสว่าง การทำงานของทีม spotlight เจอขัดแข้งขัดขาจากทั้งองค์กรศาสนา และจากผู้ที่เกี่ยวข้องหรือได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ เพื่อนชาวบอสตันพูดกับบ๊อบบี้ หัวหน้าทีม Spotlight ว่าพระก็ไม่ได้ดีไปซะหมด แต่ต้องดูสิ่งที่เขาทำสิ เขาทำอะไรให้เมืองบ้าง พูดทำนองว่าอย่ายุ่งกับเรื่องนี้เลยปล่อยๆไปเถอะ
ฟังแล้วคล้ายๆ กรณีพระผู้ใหญ่ของไทย ที่กำลังฮือฮาอยู่ตอนนี้ เพราะมีคนบางส่วนออกมาปกป้องพระรูปนี้กันจนออกนอกหน้าว่า "ทำผิดแล้ว ปลงอาบัติได้" และมักขู่คนที่ออกมาขุดคุ้ยหรือนำเสนอข่าวนี้ว่าอย่าทำแบบนั้น "นี่เป็นการมิควร เป็นการจาบจ้วง" ขอขีดเส้นใต้คำนี้แบบเน้นๆ ครับ
การที่ถือบาตรใหญ่กว่า แล้วจะมาอ้างไม่ให้คนที่ถือบาตรเล็กตรวจสอบ ผมว่าไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะถือบาตรใหญ่หรือบาตรเล็ก เมื่อมีการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ก็ควรได้รับการตรวจสอบ ถูกเปิดโปง และได้รับการลงโทษเช่นเดียวกัน ไม่ควรมีข้อยกเว้น
การทำข่าวสืบสวนในประเทศไทยนับวันก็ยิ่งน้อยลงๆ เป็นที่น่าเสียดายมากๆ เพราะข่าวแบบนี้เป็นข่าวที่ทำให้ประชาชนได้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในสังคม อีกทั้งได้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยว่าประเทศชาติและสังคม ณ เวลานั้นกำลังป่วยด้วยอาการอะไรบ้าง และเมื่ออ่านแล้วก็อาจจฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเราควรร่วมมือกันแก้ปัญหาพวกนั้นอย่างไร
การต่อสู้กับศาสนานั้นมันมีเรื่องของศรัทธาเข้ามาเกี่ยวข้อง การทำงานของนักข่าวก็ควรจะยึดความถูกต้องมาเป็นอันดับแรก เมื่อมีสิ่งผิดปกติก็เข้าไปตรวจสอบและหาข้อมูล ในหนังนั้นกว่าเรื่องนี้จะถูกตีพิมพ์มีการเก็บข้อมูลเป็นเดือนๆ ไม่ใช่ว่าพอมีข่าวและเขียนเลยโดยไม่ตรวจสอบหรือเช็คข้อมูลให้ถี่ถ้วน และก็ต้องวกกลับไปที่ความถูกต้อง ทำสิ่งที่ถูกต้อง ด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง
พูดตรงๆ ว่า พอดูหนังเรื่องนี้แล้ว ในฐานะนักข่าว มันแสดงให้เห็นถึงกระบวนการสืบสวน การสังเกต สืบค้นข้อมูล การปะติดปะต่อเรื่อราว การเจาะข่าวจากผู้เสียหายและครอบครัว ทั้งที่ไม่อยากพูกถึง และทั้งที่อยากไม่มั่นใจความปลอดภัย ไม่เชื่อใจนักข่าวว่าจำเอาจริงถึงที่สุด การเข้าถึงแหล่งข่าวด้วยความอดทนแม้จะถูกปฏิเสธ การโน้มน้าวให้ร่วมมือ การหาความสัมพันธ์เชื่อมโยงของข้อมูล การตรวจสอบข้อมูล เป็นงานวิจัยของนักข่าวมืออาชีพ การพยายามต่อสู้ทางกฏหมายให้เอกสารปิดผนึก เป็นข้อมูลสาธารณะ รวมทั้งจริยธรรมในการนำเสนอข่าว และการเสนอข่าวที่ชัดเจนมีข้อมูลหลักฐานหนักแน่น