xs
xsm
sm
md
lg

สงครามไอศกรีมญี่ปุ่น! “กูลิโกะ - ฟุตาบะ – การิการิคุง”

เผยแพร่:   โดย: ดรงค์ ฤทธิปัญญา

เฮ้ย! เคยกินไอติมกูลิโกะกันยัง?

ช่วงนี้กระแสที่ยังคงฮิตในสังคมออนไลน์อยู่ก็คงหนีไม่พ้นการตามล่าไอศกรีมตู้น้องใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไป สำหรับยี่ห้อ "กูลิโกะ" (Glico) ... ใช่ครับ เจ้าของเดียวกันกับที่ผลิตขนมปังกรอบแท่งเคลือบรสต่างๆ อย่าง ป๊อกกี้ หรือแบบผสมผงปรุงรสอย่าง เพรทซ์ ที่ขายดีในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้ง ขนมอื่นๆ เช่น โคลอน , เปรอตตี้ (อันนี้ไม่แน่ใจว่ายังมีขายอยู่มั้ย) , แอลมอนด์ฟรายด์ ,แอลฟี่ ,ไจแอนท์ คาปูลิโกะ ,ทีนี่ และ พี่จอย เอ๊ย พีจอย

ก่อนหน้านี้ผมเคยทราบมาว่า ทางบริษัทแม่จะเอาไอศกรีมมาขายในเมืองไทยเมื่อราวๆ กลางปีที่แล้ว ในระหว่างเปิดเว็บไซต์บริษัทเพื่อค้นหาข้อมูล โดยพบว่า บริษัทเอะซะกิ กูลิโกะ จำกัด (Ezaki Glico Co.,Ltd) ได้จัดตั้งบริษัทที่ชื่อ กูลิโกะ โฟรเซ่น (ประเทศไทย) จำกัด (Glico Frozen (Thailand) Co.,Ltd ) ในไทย เพื่อจัดจำหน่ายและทำการตลาด เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายในเดือนมกราคมปีนี้ โดยหวังจะได้ส่วนแบ่งในตลาดไอศกรีมในบ้านเราราวๆ ร้อยละ ๖ ต่อปี จากตลาดไอศกรีมของไทยที่มีมูลค่าถึง ๓๕,๓๐๐ ล้านเยน (จากการสำรวจในปี ๒๕๕๖) นอกจากนี้ได้มีการสร้างโรงงานผลิตไอศกรีมในประเทศอินโดนีเซีย และมีแผนจะขยายตลาดไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย

ตอนนั้นโพสต์เฟซบุ๊กบอกชาวบ้านก็ดูเขาจะเฉยๆ กัน ทั้งๆ ที่ผมเองก็คิดว่า ถ้าเข้ามาขายจริงๆ งานนี้ตลาดไอศกรีมตู้ญี่ปุ่นคงสนุกแน่

จริงๆ ไอติมกูลิโกะก็เคยถูกนำมาทดลองขายอยู่ช่วงเวลาสั้นๆ ราวๆ ปี ๒๕๕๗ ละแวกบางนา สุขุมวิท รังสิต ในราคาไม่ต่างกัน โดยเจาะขายในร้านโชห่วยด้วย ตอนนั้นก็ทำเอาแอดมินแฟนเพจกูลิโกะไทยถึงกับปวดหัวกันเลยทีเดียว เมื่อเจอลูกค้าถามหาแหล่งขายสินค้าแต่ไม่สามารถตอบได้ เพราะทางไทยกูลิโกะ บริษัทผลิตขนมในบ้านเราไม่ได้เป็นคนนำเข้ามา ทางบริษัทแม่มาลงมาเล่นเอง

แม้เอาเข้าจริงงานนี้อาจจะไม่สะเทือนเจ้าใหญเท่าไหร่นัก แต่ว่ากระแสที่คนแห่หาซื้อกันทั่วกรุงเทพฯ (เพราะวางขายเป็นจังหวัดแรก) จนกลายเป็นเทรนด์ฮิตในหลายสัปดาห์จนงบโฆษณาประหยัดไปได้หลายบาท ก็ทำให้บางเจ้าถึงกับปล่อยโฆษณาดราม่าไอศกรีมรถเคลื่อนที่มาเตือนสติลูกค้า สุดท้ายดูจะเป็นเพียงสายลมพัดผ่านอย่างแผ่วเบา แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงวิจารณ์ถึงเจ้าใหม่หนักๆ อยู่ โดยเฉพาะปัญหาสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งก็มีหลายเสียงสงสัยว่า “เขาผลิตไม่ทันจริงๆ หรือจงใจผลิตสินค้าส่งขายในจำนวนไม่มากเพื่อดึงกระแสกันนะ”

พูดถึงไอติมตู้บ้านเรายี่ห้อหลักๆ ก็คือ “วอลล์” ของ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด , “เนสท์เล่” ของ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด และ “เอฟแอนด์เอ็น แม็กโนเลีย” ของบริษัท เอฟแอนด์เอ็น ยูไนเต็ด จำกัด ๓ เจ้านี้ที่ดูเหมือนเราจะเห็นวอลล์มากว่าใครเพื่อน ทั้งในร้านสะดวกซื้อ และรถขายเคลื่อนที่ ส่วนเนสท์เล่ ก็ลองลงมา เดี๋ยวนี้เริ่มเข้ามาขอแบ่งพื้นที่ในตู้แช่ของร้านเซเว่นอิเลฟเว่นบางสาขาด้วย อันนี้ผมดีใจมาก ในที่สุดก็จะได้ทานไอติมไมโลของโปรดได้ง่ายๆ เสียที ขณะที่แม็กโนเลีย เอาเข้าจริงผมไม่ค่อยรู้จักมักจี่สักเท่าไหร่ หรืออาจได้เห็นโฆษณาน้อยจนแทบไม่ทราบเลยว่าชนิดไหนน่าอร่อยกันนะ

แต่ทั้ง ๓ เจ้าก็น่าจะยังแข็งในตลาดอยู่ดี

การมาของกูลิโกะจึงกลับกลายเป็นงานหนักของไอศกรีมตู้สัญชาติเดียวกันอีก ๒ เจ้าที่เข้ามาขายก่อนหน้านี้ อย่างยี่ห้อ ”ฟุตาบะ” (Futaba) ไอศกรีมหลากรูปแบบของบริษัท ฟุตาบะ ฟู้ด จำกัด (Futaba Foods Co., Ltd. ) นำเข้าโดยบริษัท สยามเทรเชอร์ กรุ๊ป จำกัด จำหน่ายในราคาทุกชิ้น ๒๙ บาท ที่ตอนนี้ไม่ได้มีขายเพียงแค่ในซูเปอร์มาร์เก็ต แม็กซ์ แวลู แล้ว ซึ่งรสชาติของไอศกรีมนั้นก็เข้มข้นกว่าบางยี่ห้อของไทยด้วยซ้ำ ทั้งนม ช็อกโกแลต หรืออย่างตัวเกล็ดน้ำแข็งอัดแท่งรสโซดานี่ก็อร่อยแบบแปลกใหม่เหมือนกัน แต่สำหรับผมก็ไม่ใช่ว่าจะอร่อยทุกอย่างนะ...

แต่เท่าที่ไปสำรวจมาล่าสุดก็ต้องบอกว่า ได้รับอานิสงส์จากกูลิโกะอยู่ไม่น้อยตามตู้ในร้านหลายซูเปอร์มาร์เกตเริ่มไม่ค่อยมีของ สินค้าบางตัวหมด อาจเป็นไปได้ว่าผู้ที่ซื้อส่วนใหญ่ก็คือพวกที่พลาดหวังจากกูลิโกะนั่นเอง ซึ่งตอนนี้น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่บริษัทนำเข้าจะเร่งโฆษณาเพื่อให้คนหันมาสนใจผลิตภัณฑ์ของตน สรรหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และนำจุดขายอย่างไอศกรีมนำเข้าจากญี่ปุ่นแท้ๆ ราคาถูก มาเป็นจุดเด่น ที่แตกต่างจากกูลิโกะซึ่งใช้สูตรเดียวกับต้นตำรับแต่ผลิตในไทย โดยบริษัท จอมธนา จำกัด แห่งไอศกรีม “ครีโม” เจ้าเก่าแก่

... แต่ก็ไม่รู้เขาจะคิดเหมือนเรามั้ย? เห็นดูเงียบๆ เชียว

เออ พูดถึงครีโม นี่ก็เป็นอีกเจ้าที่อยู่มานาน แต่หาซื้อไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่... หรือตาของเราไม่ได้สนใจเพราะถูกเจ้าใหญ่บังก็ไม่รู้แหะ?

ส่วนอีกยี่ห้อคือ “การิการิคุง” (Garigari kun) ไอศกรีมแท่งเคลือบเกล็ดน้ำแข็ง ที่ขายในญี่ปุ่นมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๔ ค่าย อาคะงิ (Akagi) ของบริษัท อาคะงิ นิวเงียว จำกัด (Akagi Nyugyo Co., Ltd) ที่คล้ายกับน้ำแข็งไสแต่ถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำรสต่างๆ อีกชั้น และอร่อยถึงรสน้ำผลไม้มาก อย่างรสน้ำส้มยุซุก็เปรี้ยวและได้กลิ่นของส้มชัดถึงใจ ในราคา ๒๙ บาท โดยก่อนหน้านี้มีขายในแม็กซ์แวลูบางสาขาด้วย แต่หลังจากนั้นถูกนำไปขายเพียงแค่ในร้านสะดวกซื้อ ลอว์สัน ๑๐๘ และเลิกจัดจำหน่ายไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

แต่ล่าสุดกลับมีรายงานผ่านสังคมออนไลน์ว่า ไอศกรีมยี่ห้อนี้กำลังจะกลับมา แถมวางจัดจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อเซเว่น อิเลฟเว่น ประมาณ ๑๐๐ สาขา ในราคาแท่งละ ๑๙ บาท!! คุณพระ!! โหดมาก!! ซึ่งพอมีข่าวนี้ก็เริ่มเป็นที่ถวิลหาของชาวโซเชียลเน็ตเวิร์กมาทันที โดยจะเริ่มวางขายในเดือนมีนาคมนี้ ทั้งหมด ๓ รส คือ รสโซดา รสส้มยุซุ และ รสพีช

ถือเป็นการใช้กระแสสังคมออนไลน์รุกสู้ได้น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะตัวไอศกรีมเองเคยมีจำหน่ายและเคยได้รับความนิยมจากคนกลุ่มหนึ่งไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ที่น่าจับตาก็คือ... ในเมื่อราคาถูกลงมาแบบนี้ สินค้าจะเป็นของนำเข้าจากญี่ปุ่นเหมือนเดิม หรือผลิตเองในบ้านเรา และหากผลิตเองจะมีรสชาติที่แตกต่างจากเดิมหรือไม่ ...

จริงๆ แล้วไอศกรีมสไตล์ญี่ปุ่นบ้านเราก็เคยมีอยู่เจ้านึงผลิต คนรุ่นผมคงจะจำไอศกรีมยี่ห้อ "ยูไนเต็ด" ของ บริษัท ยูโรเปี้ยนฟู้ด จำกัด กันได้ดี สมัยนั้นมีหลายแบบที่แตกต่างจากวอลล์และเนสท์เล่มาก ทั้งไอศกรีมเกล็ดน้ำแข็งโคริ หรือแบบโคนเหนียวๆ ที่จำชื่อไม่ได้ ทราบเพียงว่าเรารู้สึกอร่อยกับมันมากจริงๆ แต่ทว่าต่อมากลับถูกแปรสภาพหุ้นส่วนกลายมาเป็นแม็กโนเลียในปัจจุบัน...

กลับมาที่กูลิโกะ ... ทำไมคนถึงอยากลิ้มรสกันขนาดนั้น?

ก็ต้องยอมรับกันตามตรงว่า เป็นผลมาจากกระแสฮิตในสังคมออนไลน์กลายเป็นคำพูดปากต่อปาก จนสู่การตามล่าเสมือนของหายากชิ้นหนึ่ง พูดง่ายๆ ว่าอยากอินเทรนด์นั่นล่ะ ใครซื้อได้แล้วโพสต์ลงเฟซบุ๊กโชว์นี่ทำให้เพื่อนอิจฉาจนพากันถามหาแหล่งกันสนุก แถมราคายังสามารถจับต้องทดลองกินกันได้ทุกระดับ ส่วนใครกินแล้วจะซ้ำหรือไม่ก็นานาจิตตังกันไป

เชื่อมั้ย? พักหลังๆ ผมเนี่ยเป็นคนนึงที่แวะเวียนไปดูตามร้านที่มีตู้มาตั้งขาย หรือฝากสินค้าขายแต่ไม่เคยได้เจออีกเลย บางร้านก็ว่าเขาจะนำเข้ามาแค่สัปดาห์ละครั้ง ที่สำคัญมาเพียงอย่างละกล่อง!! โดยอ้างว่าผลิตไม่ทัน ขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งใช้วิธีจำหน่ายเป็นรอบวันละ ๓ รอบ และจำกัดให้ซื้อเพียงแค่คนละ ๒ แท่ง แต่ก็หมดภายใน ๕ นาที!! (ถ้าจะบอกว่าแทบไม่ต้องจ้างน้องพิมฐา มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ก็ยังได้ ก็จะเกินไป)

แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูกันยาวๆ ครับ การรุกคืบของ การิการิคุง ที่มีแนวโน้มจะใช้สังคมออนไลน์และเน็ตไอดอลเป็นจุดดึงลูกค้าก็ต้องบอกว่าไม่น่าจะธรรมดาเหมือนกัน และมีสิทธิ์แย่งชิงกระแสและพื้นที่ทางการตลาดไอศกรีมได้ ขณะที่กูลิโกะเองหากยังไม่สามารถแก้ปัญหาของขาดตลาดได้แล้วแถมยังถูกเพื่อนร่วมชาติเข้ามาตีก็มีเหนื่อยได้ไม่น้อย ด้านฟุตาบะ ถ้าไม่รีบใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสสงสัยไม่แคล้วคงต้องพับเสื่อกลับบ้านแน่ๆ

ส่วน ๓ ค่ายใหญ่อย่างวอลล์ เนสท์เล่ แม็กโนเลีย และอื่นๆ ก็ควรรีบเร่งโปรโมตและ “พัฒนา” ผลิตภัณฑ์ให้น่าลิ้มลอง รวมถึงรสชาติที่ไม่ใช่หยุดอยู่แค่ความ “หวานจัดๆ” เพราะ เทรนด์คนกินมันกำลังจะเปลี่ยนไปนะ ... แต่ถ้ายังนิ่งดูดาย ... ก็เรื่องของเขาเถอะครับ ...

*********************

แถมอีกนิด!! เผอิญทันได้ซื้อไอศกรีมกูลิโกะตอนขายวันแรกๆ ซึ่งผมไปเจอที่ร้านเซเว่นอิเลฟเว่น บนถนนจักรพงษ์ ฝั่งเดียวกับตรอกข้าวสารแต่อยู่ออกไปทางสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเก่า แต่ตอนนี้เหรอ ... เหอะๆ เดินไปตรวจทุกวันไม่เคยได้กิน พนักงานบอกไม่รู้ว่าจะมาวันไหน

เอาเป็นว่า เคยกินมาแล้วก็เลยจะมาเล่าให้ฟัง ...

ไอศกรีมกูลิโกะนี้เริ่มผลิตเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ ในรูปแบบของกูลิโกะโคน ไอศกรีมโคนที่ทำรูปแบบคล้ายกับเครื่องบินเจ็ต (นึกภาพถึงคอนเน็ตโต้ของวอลล์นั่นล่ะ) โดยเท่าที่เห็นที่นั่นจะขายด้วยตู้อิเลคทรอนิคส์เหมือนตู้ซื้อน้ำอัดลมหยอดเหรียญในบ้านเรา ส่วนในประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในโลกที่กูลิโกะตัดสินใจมาเปิดบริษัทไอศกรีมนอกญี่ปุ่น ซึ่งที่นำมาขายก็มี ๔ ชนิด คือ พาลิตเต้ , พาแนปป์ ,ไจแอ้นท์ โคน และ เซเว่นทีน ไอซ์ รวม ๘ รสชาติ

แต่เท่าที่ได้สัมผัสจากเซเว่นงวดนั้นมีเพียงแค่ ๔ ชนิด ๔ รสชาติ ... งั้นจะขอเล่าตามความเข้าใจเลยแล้วกัน

ตัวแรกที่ถือว่าถูกพูดถึงมากๆ คือ "เซเว่นทีน ไอซ์" รสดาร์กช็อกโกแลต และกลิ่นมิ้นท์ แท่งละ ๒๐ บาท อันที่จริงรสนี้ผมอยากกินมากๆ ตอนไปญี่ปุ่นเมื่อครั้งก่อน แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก พอเจอรสนี้กลับไม่มีเหรียญ พอมีเหรียญหยอดตู้ก็กลับไม่มีขายรสนี้ ... แต่ในที่สุดก็ได้มากินในเวอร์ชั่นไทยแทน นับเป็นความแปลกใหม่เพราะไอศกรีมตู้บ้านเราไม่ค่อยมีรสมิ้นท์ออกมาจำหน่าย และแท่งนี้ก็ทำได้ดีในระดับหนึ่ง ไอศกรีมเป็นทรงกระบอกเสียบไม้เวลาทานต้องเปิดฝาพลาสติกเคลือบด้านบนแล้วดันไม้ให้ไอศกรีมขึ้นมา กลิ่นมิ้นท์ค่อนข้างเด่น รสหวานเย็นคอ และตัวเกล็ดช็อกโกแลตก็เยอะดี จะพูดคุ้มค่าแท่งละ ๒๐ บาท ก็ไม่ผิดนัก

ตัวเซเว่นทีน ไอซ์ ยังมีอีกรสก็คือ วานิลลา คุ๊กกี้ อันนี้ยังไม่เคยลองทานครับ

อย่างที่ ๒ ที่ได้ทานจริงๆ จังๆ คือ พาแนปป์ ถ้วยละ ๒๕ บาท เป็นไอศกรีมวานิลลาราดซอสเป็นชั้นๆ คล้ายกับเค้ก บรรจุในถ้วยทรงกระบอก ซึ่งก็มี ๒ รส คือ องุ่น และสตรอเบอร์รี่ ตัวผมได้ลองสตรอเบอร์รี่ ตัวไอศกรีมเนื้อแน่นไม่หวานมาก และมีรสเปรี้ยวอมหวานของสตรอเบอร์รี่ตัดทำทานได้ไม่เลี่ยน ส่วนตัวชอบอันนี้ครับ

ต่อมาคือ พาลิตเต้ ไอศกรีมโคนรสนมกลิ่นวานิลลา โคนละ ๓๕ บาท คล้ายๆ ไอติมกดตู้ของพวกร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งก็มี ๒ รสเช่นกัน แต่ที่ได้ชิมเนื้อไอศกรีม (แย่งน้องกิน) ของรส นมและดาร์กช็อกโกแลต เนื้อไอศกรีมกลิ่นนมชัด รสหวานไม่ใช่น้อยเลย ตัวช็อกโกแลตที่ราดมาเป็นแบบกรอบ คล้ายๆ แบบที่ราดไอติมรถเข็น ตัวโคนไม่กรอบ ออกเหนียว เป็นลักษณะเฉพาะที่หลายคนอาจไม่ชิน บ้างก็นึกว่าผลิตไม่ได้คุณภาพ (ที่ต้องกรอบ) แต่จริงๆ ต้นฉบับมันเป็นอย่างนี้ และไอ้โคนลักษณะนี้ยี่ห้อยูไนเต็ดก็เคยมีขาย (ยิ่งพูดยิ่งเสียดาย) ส่วนอีกรสที่ไม่ได้ทานคือ นมและไวท์ช็อกโกแลต

และสุดท้าย ไจแอนท์ โคน โคนแบบ ปกติ โคนละ ๒๕ บาท รส ช็อกโกแลตและคุกกี้ ที่ผมลองทาน เนื้อไอศกรีมวานิลลาผสมคุกกี้ ส่วนด้านบนเคลือบช๊อกโกแลตผสมคุ๊กกี้ อารมณ์เหมือนกินไอติมผสมคุกกี้โอรีโอ กัดเป็นเจอ รสหวานอยู่ อันนี้ก็แนะนำ ส่วนอีกรส ช็อกโกแลตและถั่วลิสง ยังไม่ได้ทาน

ถามว่างานนี้มีซ้ำมั้ย ก็ต้องยอมรับตรงๆ ว่า คงได้อุดหนุนอีกแน่นอน โดยเฉพาะพาแนปป์ โคน และ เซเว่นทีน แต่คาดว่า คงจะยังไม่ได้ทานไปอีกนาน ... เพราะไม่รู้จะดวงสมพงษ์กับไอติมมันวันไหน....



ที่มาข้อมูล : https://www.glico.com/jp/newscenter/pressrelease/7769 , http://www.futabafoods.co.jp , http://www.akagi.com/brand/garigarikun/history.html , http://www.thaiglicoice.com
กำลังโหลดความคิดเห็น