xs
xsm
sm
md
lg

“ชมรายการย้อนหลัง” จากไฮสปีดอินเตอร์เน็ตถึงยุค 4G

เผยแพร่:   โดย: กิตตินันท์ นาคทอง


โดยส่วนตัวแม้จะเป็นคนที่มาทำงานไม่เป็นเวลาเหมือนมนุษย์เงินเดือนทั่วไป กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว แต่ยุคนี้คงไม่ต้องรอให้ผู้ผลิตรายการ หรือทางสถานีโทรทัศน์อัปโหลดคลิปรายการ โดยที่ไม่รู้ว่าจะได้รับชมเมื่อไหร่

ก่อนนอนตอนตีสาม - ตีสี่ ก็ยังได้ชมรายการย้อนหลัง ที่เราไม่ได้ดูเมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา บนหน้าจอสมาร์ทโฟนได้ทันที เพียงแค่เลือกรายการที่เราต้องการรับชม ที่ระบุในผังรายการบนแอปพลิเคชั่นเท่านั้น

ถือเป็นความสะดวกของคนดูทีวียุคนี้ ที่ไม่ต้องยึดติดกับเวลาและผังรายการอีกต่อไป

ย้อนกลับไปในอดีต หากจะดูรายการย้อนหลังสักครั้ง ต้องรบกวนให้ที่บ้านหรือเพื่อนฝูงช่วยอัดวีดีโอเก็บไว้ เมื่อกลับมาก็นำเทปวีดีโอที่อัดไว้มาเล่น คงไม่ต้องอธิบายว่าคุณภาพของภาพจากวีดีโอในยุคนั้นเป็นอย่างไร

ในช่วงที่ไฮสปีดอินเตอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์ เพิ่งเข้ามาแทนที่การเชื่อมต่อแบบหมุนโมเด็ม ด้วยความเร็ว 56 กิโลไบต์ ช่องรายการต่างๆ ส่วนใหญ่จะเน้นออกอากาศสดผ่านอินเตอร์เน็ต แต่คุณภาพของภาพไม่ได้ดีมากนัก

มีเพียงแค่ช่อง 9 อสมท. หลังเปลี่ยนแบรนด์เป็น โมเดิร์นไนน์ทีวี โดยมีรายการเด่นของช่อง อาทิ “คนค้นคน” รายการแนวสารคดีของค่ายทีวีบูรพา และรายการนิวส์ทอล์คอย่าง “ถึงลูกถึงคน” ของ สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ที่โด่งดังในยุคนั้น



อสมท. ยังได้พัฒนาเว็บไซต์ใหม่ www.mcot.net แทนที่ www.mcot.or.th โดยมีเซ็กชั่น HIP TV ที่แปลว่า ไฮสปีด ทีวี อัปโหลดคลิปรายการย้อนหลังจากโมเดิร์นไนน์ทีวีเกือบทุกรายการ หลังออกอากาศจบลง

โดยรับชมผ่านทางโปรแกรม Windows Media Player เป็นหลัก แต่คุณภาพของคลิปในขณะนั้นถือว่าความละเอียดต่ำ ตามสภาพอินเตอร์เน็ตในเวลานั้นที่ไม่ได้เร็วเหมือนในปัจจุบัน อีกทั้ง ยูทิวบ์ (YouTube) เพิ่งก่อตั้งในอเมริกาเมื่อปี 2548

แต่ก็ถือว่าในยุคนั้น โมเดิร์นไนน์ทีวี เป็นฟรีทีวีเพียงช่องเดียวที่มีรายการย้อนหลังให้ชมผ่านอินเตอร์เน็ต

กระทั่งปี 2551 กระทรวงวัฒนธรรม ว่าจ้างบริษัท ทรัยคาสท์ จำกัด ให้จัดทำ ระบบประเมินคุณภาพสื่อ (Media Evaluation System) หรือ ME System โดยนำรายการฟรีทีวี 6 ช่องในยุคนั้น ออกอากาศผ่านเว็บไซต์ www.me.in.th



โดยเปิดโอกาสให้ผู้ชมสามารถชมรายการย้อนหลังได้สูงสุด 3 เดือน พร้อมประเมินรายการ ทั้งสดและย้อนหลัง โดยมีรายการครบทุกช่อง ได้แก่ ช่อง 3, ททบ.5, ช่อง 7, โมเดิร์นไนน์ทีวี, NBT หรือช่อง 11 และ ไทยพีบีเอส

เว็บไซต์ดังกล่าวสามารถรับชมได้ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งพีซีและโน้ตบุ๊ก มีฐานผู้ชมที่เป็นสมาชิกกว่า 3.3 แสนคน มีผู้เข้าชมสูงสุดถึงวันละกว่า 8 หมื่นคน ในยุคนั้นถือได้ว่าเป็นทีวีออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

กลายเป็นช่องทางดูละครหลังข่าวจากฟรีมีวีอย่างช่อง 3, ช่อง 7 และช่อง 5 ของค่ายเอ็กซ์แซท

แต่เมื่อกระทรวงวัฒนธรรม และผู้ว่าจ้างได้ดำเนินโครงการโดยไม่ได้ขออนุญาตทางฟรีทีวีช่องต่างๆ มาก่อน ผลกระทบที่ตามมาคือ ฟรีทีวีช่องต่างๆ สูญเสียผลประโยชน์จากการที่ผู้ชมได้ใช้ประโยชน์ในการชมรายการย้อนหลัง

ในช่วงเดือนกันยายน 2552 ฟรีทีวีอย่าง ช่อง 7 สี ตัดสินใจร้องทุกข์กล่าวโทษกับกระทรวงวัฒนธรรม และทรัยคาสท์ ในฐานะผู้พัฒนาระบบ ว่าละเมิดลิขสิทธิ์นำเนื้อหารายการของช่อง 7 มาเผยแพร่

กระทรวงวัฒนธรรมจึงสั่งให้ทรัยคาสท์ ยุติการแพร่ภาพช่อง 7 ทั้งรายการสด และรายการย้อนหลัง

ขณะที่ทรัยคาสท์แบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านเครือข่ายแพร่ภาพทางอินเตอร์เน็ต (Stream Network) สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่พบว่ามีเว็บท่าบางแห่ง ไปคัดลอกโค้ตดูทีวีย้อนหลังแปะไว้ที่เว็บไซต์ตัวเอง

ส่งผลทำให้ผู้เข้าชมในเว็บไซต์ต้นทางอย่าง www.me.in.th ลดลง ทรัยคาสท์จึงต้องใช้วิธีการ Secure Steaming หรือการจำกัดการเผยแพร่รายการสด และรายการย้อนหลัง เฉพาะที่อนุญาตในระบบ

ขณะที่ทรัยคาสท์แบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านเครือข่ายแพร่ภาพทางอินเตอร์เน็ต (Stream Network) สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่พบว่ามีเว็บท่าแห่งหนึ่ง ไปคัดลอกโค้ตดูทีวีย้อนหลังแปะไว้ที่เว็บไซต์ตัวเอง

ส่งผลทำให้ผู้เข้าชมในเว็บไซต์ต้นทางอย่าง www.me.in.th ลดลง ทรัยคาสท์จึงต้องใช้วิธีการ Secure Steaming หรือการจำกัดการเผยแพร่รายการสด และรายการย้อนหลัง เฉพาะที่อนุญาตในระบบ

อีกหนึ่งเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมในการชมรายการย้อนหลังก็คือ Ohozaa.com เจ้าของเดียวกับเว็บคลิกเบทในตำนาน ที่สามารถชมรายการย้อนหลังของฟรีทีวี และทีวีดาวเทียมหลายสิบช่อง



ปัจจุบัน เว็บไซต์ Ohozaa.com ที่มี ณัฐวุฒิ บำรุงสรณ์ เป็นเจ้าของ ถูกสถานีโทรทัศน์พีพีทีวี และสปริงนิวส์ฟ้องร่วมกับสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ หลังนำรายการของช่องไปเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์โดยไม่ได้ขออนุญาต

โดยพบว่านอกจากจะออกอากาศผ่านเว็บไซต์แล้ว ยังจัดทำแอปพลิเคชัน Ohozaa TV HD อีกด้วย



ต่อมาในยุคที่ทีวีดาวเทียมรุ่งเรือง สมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม (ประเทศไทย) ได้ว่าจ้างให้ทรัยคาสท์ทำเว็บไซต์แบบเดียวกันกับทีวีดาวเทียมกว่า 70 ช่อง ผ่าน www.stat.or.th สามารถชมรายการย้อนหลังได้สูงสุด 8 ชั่วโมง

แต่เมื่อหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการปกครอง และ กสทช. ได้จัดระเบียบโดยให้ทีวีดาวเทียมทุกช่องต้องเข้ารหัส มีใบอนุญาต และห้ามโฆษณาเกิน 6 นาทีต่อชั่วโมง ทำให้ทีวีดาวเทียมหลายช่องหายไป

ปัจจุบันเว็บไซต์สมาคมโทรทัศน์ดาวเทียมฯ ยังคงให้บริการชมรายการย้อนหลัง แต่มีหลายช่องที่ดูไม่ได้อีกต่อไป

นอกจากทรัยคาสท์ที่เคยรุ่งเรืองในการทำทีวีออนไลน์แล้ว สถานีข่าวผ่านดาวเทียม อาทิ เอเอสทีวี, เนชั่นแชนแนล และ มันนี่ แชนแนล ว่าจ้าง บริษัท ดาต้าโปร คอมพิวเตอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด (ดีซีเอส) ของกลุ่มพรีเมียร์ ทำระบบทีวีออนไลน์

โดยผู้เข้าชมเว็บไซต์สามารถชมรายการสด และเลื่อนแถบเวลาเพื่อชมรายการย้อนหลังได้ 2-3 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเว็บไซต์รวมคลิปวีดีโออย่างยูทิวบ์ได้รับความนิยม หลังส่วนใหญ่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแทบทุกครัวเรือน ก็มีการเผยแพร่รายการโทรทัศน์ทั้งละคร วาไรตี้ และรายการข่าว อัปโหลดลงยูทิวบ์มากขึ้น

แต่โดยส่วนมากเป็นผู้จัดทำที่ละเมิดลิขสิทธิ์เนื้อหา โดยไม่ได้ขออนุญาตจากทางสถานี

ฟรีทีวีบางช่องปล่อยให้ผู้จัดทำเผยแพร่ได้อย่างอิสระ เพราะถือว่าช่วยโปรโมตละครและช่อง แต่บางช่องได้ยื่นฟ้องร้องผ่านพยายามจัดการเรื่องลิขสิทธิ์เนื้อหารายการอย่างรัดกุม จนแทบจะไม่มีเล็ดรอดมาเลย



ขณะที่ช่อง 7 สี ได้ใช้วิธีก่อตั้งเว็บไซต์ www.bugaboo.tv เป็นช่องทางเผยแพร่รายการย้อนหลัง โดยเฉพาะละครหลังข่าว ผสมกับรายการที่ทาง Bugaboo ผลิตเอง และยังถ่ายทอดสดรายการกีฬาสำคัญของช่อง 7 สี ผ่านอินเตอร์เน็ตแต่เพียงผู้เดียว

เมื่อการเกิดขึ้นของทีวีดิจิตอล ทำให้มีผู้เล่นหน้าใหม่ ทั้งจากฟรีทีวีเดิมที่ยอมออกอากาศคู่ขนาน ก่อนยุติระบบอนาล็อกในอนาคต และทีวีดาวเทียมที่ทุ่มเงินหลักพันล้านบาทประมูลค่ายละช่อง - สองช่อง

จากฟรีทีวีจาก 6 ช่องในระบบอนาล็อก กลายเป็น 28 ช่องในระบบดิจิตอล ได้แก่ ฟรีทีวีสาธารณะ 4 ช่อง (รวมช่อง 10 รัฐสภา) และฟรีทีวีที่ประมูลใบอนุญาต ทั้งช่องรายการเด็ก, ช่องข่าว, ช่องวาไรตี้ และช่องเอชดี (HD) อีก 24 ช่อง

นอกจากการแข่งขันช่วงชิงเรตติ้งจากรายการสด โดยวัดจากผู้ชมโทรทัศน์ ณ เวลานั้นแล้ว ก็หันมาเผยแพร่รายการย้อนหลังเพื่อโปรโมตช่อง และโปรโมตรายการ รวมทั้งหารายได้เสริมจากโฆษณาของกูเกิลไปในตัว

ฟรีทีวีหลายช่องหันมาใช้วิธีอัปโหลดขึ้นยูทิวบ์ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย เนื่องจากมีผู้ชมทั้งผ่านคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ที่อย่างน้อยจะต้องรู้จักยูทิวบ์ หรือบนอุปกรณ์เคลื่อนที่จะต้องมีแอปพลิเคชัน Youtube ไว้ชมความบันเทิง

แต่ทีวีดิจิตอลบางช่อง ถึงกับลงทุนทำแอปพลิเคชันช่องรายการเป็นของตัวเอง โดยนำรายการย้อนหลังที่หั่นออกเป็นตอนมาเผยแพร่ในรูปแบบคลิปรายการย้อนหลัง แต่ก็เหมาะสำหรับคนที่เป็นผู้ชมช่องนั้นเป็นประจำจริงๆ

ความรู้สึกส่วนตัว การที่แต่ละช่องออกแอปพลิเคชันเป็นของตัวเอง กลายเป็นเบี้ยหัวแตกมากกว่า เพราะการติดตั้งแอปพลิเคชั่นอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องกินหน่วยความจำของเครื่องและทรัพยากรของเครื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แทนที่จะได้ชมวนเวียนหลายช่องเหมือนกดรีโมททีวี ก็ต้องเสียเวลาเปลี่ยนแอปพลิเคชันไปมา

ทีวีดิจิตอลหน้าใหม่บางช่อง ออกแอปพลิเคชันของตัวเอง ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ให้บริการอย่างจริงจัง เพราะไม่ได้อัปโหลดรายการครบทุกตอนตามที่ผู้ชมต้องการ จนต้องลบแอปพลิเคชันออกจากเครื่อง เพราะเสียเวลาและเปลืองทรัพยการ



ผู้ผลิตรายการบางช่อง เช่น จีเอ็มเอ็ม 25, ช่องวัน หรือ พีพีทีวี หันไปจับมือกับพาร์ทเนอร์อย่าง ไลน์ นำรายการวาไรตี้ ละคร ซิทคอม ซีรีส์ เข้าไปออกอากาศผ่าน ไลน์ทีวี (Line TV) บนแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ ร่วมกับคอนเทนต์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ จากผู้จัดต่างๆ

แต่สำหรับระบบชมรายการย้อนหลัง ทั้งทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน มีทั้งแบบถูกกฎหมาย คือ ขออนุญาตเผยแพร่ภาพกับทางช่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือแบบผิดกฎหมาย คือละเมิดลิขสิทธิ์นำเนื้อหารายการไปแพร่ภาพ

เราจะพูดถึงระบบชมรายการย้อนหลัง เฉพาะผู้ให้บริการที่ทำออกมาเป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้น



หากจะกล่าวถึงระบบชมรายการย้อนหลัง เกิดขึ้นในไทยประมาณปี 2556 โดยมีสองเจ้าหลักๆ ที่ออกมาแข่งขัน ได้แก่ ผู้ให้บริการไฮสปีดอินเตอร์เน็ตอย่าง “ทีโอที” และผู้ให้บริการเคเบิลทีวี “ทรูวิชั่นส์”

เริ่มจาก “ทีโอที ไอพีทีวี” (TOT IPTV) ที่ทีโอทีได้ร่วมกับ บริษัท มี เทเลวิชั่น จำกัด ให้บริการกล่องทีวีแอนดรอยด์เชื่อมต่อกับโทรทัศน์ภายในบ้านขึ้น เฉพาะลูกค้า ทีโอที ไฮสปีด อินเตอร์เน็ต ความเร็วตั้งแต่ 6 เมกะบิตขึ้นไป

โดยได้ทดลองให้บริการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2555 ด้วยการแจกกล่องทีวีแก่ลูกค้าเดิม โดยยกเว้นค่าประกันกล่องทีวี และรับชมช่องรายการแบบฟรีทูแอร์ได้ 74 ช่อง ก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมกราคม 2556





โดยนอกจากลูกค้าจะได้รับกล่องแอนดรอยด์ไว้ติดตั้งรับชมกับทีวีฟรีแล้ว ยังสามารถรับชมผ่านทางเว็บไซต์ www.totiptv.com รวมทั้งแอปพลิเคชัน TOT IPTV ที่สามารถรับชมรายการย้อนหลังได้สูงสุด 72 ชั่วโมง (3 วัน)

ปัจจุบันนอกจากจะเริ่มจำหน่ายกล่องทีวีแบบขายขาดแล้ว ลูกค้าทั่วไปที่ไม่ได้ติดตั้งไฮสปีดอินเตอร์เน็ตของทีโอที สามารถลงทะเบียนเพื่อชมช่องรายการได้แล้ว โดยชำระค่าบริการผ่านบัตร TOT Prepaid เริ่มต้นสัปดาห์ละ 40 บาท

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีให้ชมย้อนหลัง แต่พบว่าปัจจุบันทีวีดิจิตอลบางช่อง ไม่สามารถรับชมรายการย้อนหลังได้ แต่ชมได้เฉพาะรายการสดอย่างเดียว เช่น ช่องทรูโฟร์ยู (เพราะมีแอปพลิเคชัน ทรูวิชั่นส์ เอนิแวร์) และช่องพีพีทีวี

ตามมาด้วย “ทรูวิชั่นส์ เอนิแวร์” (TrueVisions Anywhere) ของผู้ให้บริการเคเบิลทีวี ทรูวิชั่นส์ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2556



คุณสมบัติหลัก คือ ชมรายการย้อนหลังของบางช่องในแต่ละแพ็คเกจได้สูงสุด 2 วัน โดยสามารถรับชมได้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueVisions Anywhere และเว็บไซต์ anywhere.truevisions.tv

ปัจจุบัน สมาชิกทรูวิชั่นส์สามารถรับชมได้ตามแพ็คเกจที่สมัคร ส่วนลูกค้าทรูออนไลน์รับชมได้สูงสุด 90 ช่อง ขณะที่ลูกค้าทรูไอดี รับชมรายการสด และรายการย้อนหลังได้บางช่องที่เป็นฟรีทูแอร์ รวม 23 ช่องเท่านั้น

ส่วนใหญ่เป็นช่องรายการทรูวิชั่นส์ เช่น ทรูอินไซด์, ทรูมิวสิค, ทรูปลูกปัญญา, ช่องสยามสปอร์ต ส่วนฟรีทีวีมีช่อง 3 เอชดี, ช่อง 5, ช่อง 9 เอ็มคอท เอชดี, เอ็นบีที, ไทยพีบีเอส, ทีเอ็นเอ็น 24 และ ทรูโฟร์ยู เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในแอปพลิเคชั่นทรูวิชั่นส์ เอนิแวร์ มีข้อจำกัดคือเชื่อมต่อได้เฉพาะอินเตอร์เน็ตไร้สาย (ไว-ไฟ) และเครือข่าย 3G หรือ 4G ของทรูมูฟ เอชเท่านั้น เครือข่ายอื่นใช้งานไม่ได้ โดยระบบจะแจ้งว่าให้ใส่ซิมทรูมูฟ เอชก่อน

ล่าสุด หลังจากที่ เอไอเอส ประกาศการให้บริการเครือข่าย 4G อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2559 ได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน “เอไอเอส เพลย์” (AIS PLAY) บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ รับชมรายการได้ทั้งทีวีดิจิตอลและทีวีดาวเทียม





รวมไปถึงเมนู Catch-up TV ที่รับชมรายการย้อนหลังได้สูงสุด 7 วัน โดยเลือกตามรายการ ส่วนใหญ่จะเป็นทีวีดิจิตอล แต่เมื่อทดสอบดูแล้ว บางช่องไม่สามารถรับชมย้อนหลังได้ อาทิ ช่องนิวทีวี, ช่อง 7 สี และ ช่องโมโน 29

เพราะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ โหลดทั้ง 3 แอปพลิเคชั่นไว้กับเครื่อง ช่องไหนหาดูย้อนหลังไม่ได้ ก็ไม่ต้องดู



คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจ “พฤติกรรมการรับชมรายการโทรทัศน์และการรับรู้ตราสินค้าสถานีโทรทัศน์ดิจิตอล ของกลุ่มผู้ชมวัยรุ่น” จากกลุ่มตัวอย่างอายุ 15-22 ปีในกรุงเทพฯ จำนวน 800 คน

พบว่า แม้ผู้ชมกลุ่มวัยรุ่น รับชมรายการโทรทัศน์ผ่านเครื่องรับโทรทัศน์ระบบดิจิตอลมากที่สุดถึง 59% แต่ในขณะเดียวกัน ยังรับชมผ่านอุปกรณ์พกพา อาทิ สมาร์ทโฟนมากถึง 41.8% โน้ตบุ๊ก 29% และแท็บเล็ต 24%

นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมรับชมรายการย้อนหลังมากถึง 86% โดยเข้าชมผ่านยูทิวบ์สูงถึง 73% ไลน์ทีวี 36% และเว็บไซต์ของสถานีโทรทัศน์ 22% โดยประเภทรายการที่ชื่นชอบมากที่สุดคือละครไทย 47% ภาพยนตร์ 39% และการ์ตูน 38%

มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจนี้ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมในการเสพสื่อของคนรุ่นใหม่ มีทางเลือก มีอิสระในการกำหนดวิธีการและช่องทางรับชมสื่อต่างๆ มากยิ่งขึ้น

โดยแนะว่า สถานีโทรทัศน์ที่มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มคนรุ่นนี้ ต้องพัฒนาทั้งเนื้อหารายการ รูปแบบการเข้าถึงสื่อ และสร้างความสะดวกในการรับชมผ่านทางออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น

“ถึงแม้เขายังจำเลขช่องไม่ได้ แต่มันก็ไม่จำเป็น เพราะเขาเลือกรายการที่จะดูย้อนหลัง”

ที่น่าสนใจคือข่าวและวิเคราะห์ข่าว หากผู้ผลิตปรับปรุงให้น่าสนใจ มีความสนุกกึ่งวาไรตี้ ก็สามารถดึงกลุ่มวัยรุ่นได้ เพราะอันที่จริงวัยรุ่นสนใจ แต่ไม่ใช่ข่าวแบบผู้ใหญ่ดู หรือการนำเสนอยังไม่โดนใจเขา ต้องย่อยให้เข้าใจง่ายขึ้น

สำหรับทิศทางการแข่งขันทีวีดิจิตอลในปีนี้ ยังมีเหมือนเดิมในเรื่องของละคร วาไรตี้ ส่วนข่าวก็ยังแข่งกันอยู่ แต่ไม่มีความแตกต่างโดดเด่น เนื้อหายังเจาะกลุ่มเป้าหมายยังไม่ชัด เปิดข่าวช่องไหนดูได้เหมือนกันหมด

อย่างไรก็ตาม ความเห็นจาก กนกกาญจน์ บัญชาบุษบง อาจารย์ประจำสาขาวิชาการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ มองว่า นอกจากการพัฒนาเนื้อหาและรูปแบบในการรับชมรายการแล้ว แบรนด์ของสถานีโทรทัศน์ก็ต้องให้ความสำคัญ

สถานีที่ผู้ชมจดจำเลขช่องได้ จะมีเรตติ้งที่สูงกว่าสถานีช่องอื่นๆ

หลัง กสทช. บังคับให้เรียงช่องรายการทีวีดิจิตอลทุกกล่อง ทุกจาน ในระยะหลัง แต่ละช่องต่างพยายามนำเลขช่องของตัวเอง ไปใส่ในโลโก้สถานีระหว่างออกอากาศ เพื่อสร้างการจดจำว่าเวลาอยากจะดูช่องไหน ให้กดรีโมทไปที่ช่องนั้น

แต่เมื่อคนดูทีวี หันมาชมรายการโทรทัศน์ผ่านอุปกรณ์พกพามากขึ้น และการชมย้อนหลัง กลายเป็นส่วนหนึ่งของการชมรายการในยุคนี้ ทีวีดิจิตอลต้องปรับตัวแข่งขันกันหลายทาง ทั้งทางเรตติ้งหน้าจอ และทางหน้าจอที่สอง (Second Screen)

ครั้งหนึ่ง ยูทิวบ์เคยเปิดเผยสถิติว่า ในแต่ละวันคนไทยใช้เวลากับคลิปยูทิวบ์รวมกันมากถึง 1 ล้านชั่วโมงต่อวัน และมากกว่า 1,000 ล้านครั้งต่อเดือน ถือเป็นสื่อแรกเมื่อต้องการหาวีดีโอ 1 ใน 3 ของผู้ชมชาวไทยเปิดดูจากอุปกรณ์สื่อสารไร้สาย

เมื่อเร็วๆ นี้ เฟซบุ๊กเปิดเผยสถิติว่า ผู้ใช้งานมากถึง 51.7% เข้าสู่ระบบผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่เพียงอย่างเดียว โดย 1.44 พันล้านรายเป็นกลุ่มผู้ใช้งานบนอุปกรณ์พกพา และเน้นว่ามีผู้ใช้งานบนอุปกรณ์พกพาเพียงอย่างเดียว 823 ล้านราย

และเมื่อไม่นานมานี้ การเข้ามาทำการตลาด 4G ของค่ายมือถือใหญ่ที่สุดในไทยอย่างเอไอเอส ถือเป็นการลั่นกลองรบครบทั้ง 3 ค่าย สงครามราคาทั้งอุปกรณ์ 4G และแพ็คเกจรายเดือนจะทำให้ผู้บริโภคได้ใช้อินเตอร์เน็ตมากขึ้นในราคาเดิม

และเมื่อแพ็คเกจได้รับปริมาณอินเตอร์เน็ตรายเดือนที่มากกว่าในยุค 3G ยิ่งจูงใจให้ผู้ใช้หันมาเสพความบันเทิงผ่านอุปกรณ์พกพามากขึ้น ผู้ชมกล้าที่จะชมวีดีโอคลิป หรือรายการย้อนหลังความคมชัดสูง (HD) เพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับชม

เมื่อสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ในชีวิตประจำวัน การรับชมรายการโทรทัศน์เปลี่ยนไปเป็นการรับชมบนมือถือ แล้วหากต้องพบกับรายการที่ออกอากาศเฉพาะผ่านออนไลน์ จึงเป็นการแข่งขันด้านเนื้อหาที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง

แม้การรู้เท่าทันสื่อยังคงเป็นเรื่องรอง แต่อย่างน้อยการเสพความบันเทิงในยุคนี้ ชัดเจนว่าง่ายกว่าเมื่อก่อน.
กำลังโหลดความคิดเห็น