เมื่อวันจันทร์ที่ 2 พฤจิกายน 2558 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปติดตามชีวิตของคุณป้า อดีตพยาบาลท่านหนึ่งที่โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งจริงๆแล้วคุณป้าเกษียณอายุราชการไปแล้วหลายปี แต่ทว่า ยังคงมาโรงพยาบาลราชวิถีเกือบทุกวัน
คุณป้ามีอายุ 69 ปีแล้ว ป้ามาที่นี่ทำไม แถมไม่ได้มามือเปล่า บางวันก็มาพร้อมน้ำสมุนไพร หรือข้าวต้มมาคอยแจกจ่ายให้ชาวบ้านหรือคนป่วยที่ต้องมาคอยคิวกันตั้งแต่เช้าได้รับประทานรองท้อง หรือคลายร้อนกันระหว่างรอ ท่านมีชื่อว่า ยุพยง ทีปประสาน หรือคนในโรงพยาบาลราชวิถีเรียกกันว่า ป้ายุพ
ก่อนเกษียณ คุณป้าเป็นข้าราชการดีเด่นของโรงพยาบาลราชวิถี ประจำปี 2549 เป็นหัวหน้างานพยาบาลวิสัญญี ศัลยกรรมหัวใจทรวงอกและหลอดเลือด โรงพยาบาลราชวิถี และเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ รุ่น 20/1 ที่ได้รับการยกย่องประกาศเกียรติคุณ ในฐานะศิษย์เก่าดีเด่นของสมาคมศิษย์วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพฯสาขาผู้ปฏิบัติการพยาบาล ประจำปี 2552
คุณป้าเป็นพยาบาลที่พัฒนาความรู้ด้วยการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมด้วยตนเอง ร่วมประชุมวิชาการกับแพทย์เฉพาะทางในประเทศทุกเดือน และในระดับนานาประเทศทุกปี เพื่อก้าวทันวิชาการทางการแพทย์และพยาบาล มีวิสัยทัศน์ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการพัฒนาวิชาชีพ คิดค้นวิธีผูกท่อช่วยหายใจในเด็กและทารกป้องกันการเลื่อนหลุด เป็นวิทยากรในการสอน”ช่วยฟื้นคืนชีพชั้นสูง” ให้แก่แพทย์พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์
นอกจากนี้ คุณป้ายังอุทิศเวลาในการทำงาน ทั้งในสถานการณ์ปกติและฉุกเฉินทั้งในหน่วยงานและองค์กรอื่น รักษามาตรฐานวิชาชีพในการปฏิบัติงาน คำนึงถึงสิทธิประโยชน์และความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้ร่วมงานไม่จำกัดสถานที่ ถ่ายทอดวิชาความรู้ในการปฏิบัติงานแก่ผู้ร่วมงานและผู้ปฏิบัติงานทางการแพทย์ เขียนคู่มือการปฏิบัติงานด้านวิสัญญีพยาบาล การผ่าตัดหัวใจทั่วไป การผ่าตัตดหัวใจเด็ก คู่มือพ่นยาขยายหลอดเลือดในปอดขณะผ่าตัดหัวใจ
ผมมีประสบการณ์ตรงทั้งด้านบวกและลบจากการไปโรงพยาบาลรับการบริการทางการแพทย์จากหมอและพยาบาล ผมเคยเขียนถึงระบบการทำงานของโรงพยาบาลรัฐบาลว่า เป็นที่ซึ่งสะท้อนภาพคำขวัญของเหล่าข้าราชการที่ชอบทำสติ๊กเกอร์ติดท้ายรถว่า “ข้าราชการไทย ประชาชนต้องมาก่อน” ผมเคยเขียนแซวว่า จริงแฮะ ยิ่งตามโรงพยาบาลรัฐบาลด้วยแล้ว ประชาชนมาก่อนจริงๆ ต้องมายื่นบัตรนั่งคอยคิวตั้งแต่ตีห้า กว่าจะได้พบหมอราวเก้าโมงเช้าเข้าไปแล้ว นี่ยังไม่นับการรอคิวอื่นๆไม่ว่าเจาะเลือด เอกซเรย์ การจ่ายยาและอื่น เอาเป็นว่ากว่าจะเสร็จกระบวนการทุกสิ่งอย่าง ลางานไปเลยครับหนึ่งวันเต็มๆ เป็นวันที่ผู้ป่วยเหนื่อยล้าอย่างหนักทั้งร่างกายและจิตใจ
ผมยังเอาเรื่องนี้มาแซวป้ายุพด้วยครับว่าทำไมเป็นแบบนี้ คุณป้ายุพก็บอกว่าประชาชนนะทำแบบนี้แค่ไม่กี่วัน ถ้าไม่ได้ป่วยอะไรหนักหนาจริงๆ แต่หมอสิเราต้องเห็นใจหมอบ้าง หมอต้องตรวจคนไข้วันละกี่สิบกี่ร้อยคน และต้องทำแบบนี้ทุกวัน ตลอดทั้งปี
ฟังป้ายุพพูดแล้วเอาจริงๆ ผมก็เห็นด้วยบ้างส่วนนะครับว่าหมอก็เหนื่อยเช่นกัน แถมหมอที่ทำงานโรงพยาบาลของรัฐ ก็เสียสละระดับนึงแล้วเพราะงานหนัก บริการรักษาคนไข้จำนวนมาก เงินเดือนหรือเงินค่าจ้างที่ได้รับก็ยังน้อยกว่าโรงพยาบาลเอกชน
ระหว่างนั่งคุยกับป้ายุพได้แป็บนึง คุณป้าก็พาผมเดินทักทายคนนั้นคนนี้ตลอดทาง เดินไปไหนมาไหนก็มีคนไหว้ป้าตลอด อารมณ์เหมือนเดินตามนักการเมืองยังไงก็ไม่รู้ คุณป้ายุพยังพาแวะทักทายตามร้านค้าต่างๆตลอดทาง มีผมสะพายกล้องเดินตามคุณป้าไปด้วย มีคนแซวว่าวันนี้ป้ามีตากล้องส่วนตัวเลยทีเดียว พี่ๆที่ทักป้าบางคนแซวว่า รู้ไหมว่าคนที่นี่นะแซวกันว่าป้ายุพนี่แหละเจ้าของโรงพยาบาลตัวจริงเลยละ
เดินไปคุยไปคุณป้ายุพก็เล่าว่าเป็นพยาบาลมาตลอดทั้งชีวิตแล้ว ทำตั้งแต่สาวยันแก่ จนตอนนี้ก็ยังไม่ไปไหน ยังคอยมาช่วยที่โรงพยาบาลราชวิถี ป้ายุพยังบอกอีกว่าเมื่อก่อนตอนขึ้นมาเป็นหัวหน้าพยาบาลป้าเกร็งมากไม่ชอบเลยวันๆ มีแต่คนคอยเดินตามตลอด
หลายๆคนอาจจะงงว่าทำไมอยู่ๆผมมาเดินตามป้ายุพ ของแบบนี้มันมีเหตุผลครับ เพราะว่าวันนี้ป้ายุพและชาวคณะอีกสามสี่ท่านจะมาเป็นตัวแทนในการบริจาครถเข็นสำหรับคนป่วยหรือคนพิการให้ทางโรงพยาบาลราชวิถี ผมมาติดตามการทำความดีของคุณป้ากลุ่มนี้ครับ
ป้ายุพเล่าว่าโครงการนี้เริ่มต้นขึ้นจากการที่ป้าอยากบริจาครถเข็น แล้วต่อมาคนอื่นๆ รู้ถึงสิ่งที่ป้ากำลังจะทำ หลายคนก็ร่วมมือร่วมใจช่วยกันบริจาคเงินคนละนิดคนละหน่อย จนไปๆมาๆเงินก็มีมากกว่าที่คิด และสามารถซื้อรถเข็นเพื่อบริจาคได้ถึง 20 คันเลยทีเดียว
เมื่อถึงเวลาที่นัดหมายกับผู้บริหารโรงพยาบาล เราก็ได้ขึ้นลิฟท์ไปนั่งรอคุณหมอ มานัส โพธาภรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาลราชวิถีขึ้นมารับมอบรถเข็นด้วยตัวเอง และมีการถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันเล็กน้อย
การได้รู้จักกับป้ายุพทำให้ผมได้เรียนรู้คำว่าเสียสละมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้เห็นคนที่เป็นพยาบาลด้วยหัวใจ ไม่ใช่แค่เพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น และเมื่อคนเราทำอะไรด้วยหัวใจ ความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ เราก็จะทำมันด้วยความสุข ตลอดเวลาที่ได้พูดคุยกับป้ายุพนั้น ผมเห็นป้ามีรอยยิ้มบนใบหน้ามีแววตาอ่อนโยน เมื่อมีความรัก มีรอยยิ้มมาพร้อมๆกันอะไรมันก็จะดูดีไปซะหมด มีความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับครับ