ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีประเด็นถกเถียงกันถึงเรื่องการแบนหนังเรื่องหนึ่งที่มีชื่อหนังว่า อาบัติ ของค่ายสหมงคลฟิล์ม ที่ถูกแบนจากเหตุผลของกระทรวงวัฒธรรม ด้วยเหตุผล 4 ข้อ คือ ปรากฏภาพสามเณรเสพของมึนเมา มีภาพสามเณรใช้ความรุนแรง พูดถึงความสัมพันธ์และใช้คำพูดเชิงชู้สาวที่ไม่เหมาะสม มีการแสดงความไม่เคารพต่อพระพุทธรูป
นี่เป็นเหตุผลของ สำนักพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผมเข้าใจว่าพวกท่านกังวลใจเกี่ยวกับหนังเลยสั่งแบน แต่เท่าที่ทราบมาคณะกรรมการกองเซนเซอร์นี่มีกันประมาณ 7 คนในการพิจารณาหนังแต่ละเรื่อง ซึ่งพูดง่ายๆคือคน 7 คน ตัดสินใจแทนคน 60 กว่าล้านคน ว่าหนังจะได้ฉายหรือไม่
นอกจากนี้หลังจากมีข่าวแบนออกมา ก็มีข่าวกระแนะกระแหนตามมาอีกทำนองว่า ต้องให้ผู้กำกับเป็นหม่อมใช่ไหมถึงฉายได้ หรือต้องโชว์นม มีเซ็กส์กันทั้งเรื่องถึงจะได้เข้าโรงหนังได้ นี่แค่บางส่วนจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มีถึงกองเซนเซอร์
เมื่อเป็นเช่นนี้ ว่าแล้วมูลนิธิศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ร่วมกับสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์แห่งประเทศไทย และนิตยสาร Biocope จึงเปิดเสวนาในหัวข้อ “ อิสระและขอบเขตของการเสนองานของศิลปิน และการปฏิรูปคณะกรรมการเซนเซอร์”
แต่เนื่องจากกรณีอาบัติเป็นแผลสดใหม่ แผลล่าสุดที่เกิดขึ้น จึงมีการพูดถึงกรณีนี้ เป็นตัวอย่างหลักในการวิพากษ์วิจารณ์
จริงๆพระมีบทบาทในภาพยนตร์หลายเรื่อง ทั้งในบทบาทพระที่ดีอยู่ในศีลในธรรมและพระที่ไม่ดี อย่างพระในหนังบางระจันก็มี ในหนังตำนานสมเด็จพระนเรศวรก็มี สองเรื่องนี้ถือว่าพระอาจารย์ที่ดีสั่งสอนให้ความรู้ตักเตือนให้มีสติให้กำลังใจ และมีบทบาทค่อนข้างสำคัญเลยทีเดียวในยามบ้านเมืองวิกฤต
บทบาทพระในด้านลบ ที่เคยเป็นกรณีมาก่อนหน้านี้อย่างหนังเรื่องนาคปรก ล่าสุดที่เป็นข่าวคือหนังอาบัติที่เพิ่งถูกแบนไป จริงๆแล้วหนังทั้งสองเรื่องนี้เป็นหนังที่ให้แง่คิดแก่คนดูเหมือนกันอย่างน้อยๆก็แง่ของบาปบุญคุณโทษ เรื่องของผลกรรม
แต่ในขณะเดียวกันหนังที่เกี่ยวกับพระอีกหลายเรื่อง ที่ไม่ต้องถามประเด็นว่าเหมาะสมไหม ส่วนใหญ่เป็นประเด็นที่ถามกันว่าสนุกไหม ก็คงจะสนุกแบบถูกจริตคนไทย นั่นคือหนังเกี่ยวกับพระที่ทำออกมาในมุมตลกขำฮาบ้าง หนังผีบ้าง อย่างหนังชื่อโกยเถอะโยม พระกลัวผีจนบอกให้ชาวบ้านวิ่งหนีผี หนังอย่าหลวงพี่เท่งภาค 2 ที่มีโจอี้บอยเล่นบทพระ แล้วยังไงพระมีร้องแร็ป เทศน์เป็นแร็ปรัวเป็นปืนกลเลย หรือเท่งโหน่งจีวรบิน พระต้องมาขับเครื่องบิน ต้องมาผจญภัย เป็นหนังที่ให้พระเป็นพระเอกทำแผลงๆ หนังเหล่านี้ไม่เคยถูกตั้งคำถามว่าเหมาะสมไหม
จริงๆหนังเกี่ยวกับพระดีๆในบ้านเราก็ยังพอมีให้เห็นบ้างเช่นเรื่องหลวงตา หรือว่าจะเป็นหนังอย่างอรหันต์ซัมเมอร์ ที่เล่าเรื่องเด็กๆที่ไปบวชเณรฤดูร้อนที่วัด
ว่ากันตามตรงแบบชัดๆหนังเรื่องอาบัตินี้ถ้าดูจากหน้าหนัง ทรงหนังตัวอย่าง ใบปิด โดสถือเป็นหนังผีครับ ย้ำว่า หนังผี ขีดเส้นใต้เอาไว้ได้เลย ถึงจะยังไม่ได้ดูก็พอคาดเดาเรื่องได้บ้างว่าเรื่องนี้มันคือหนังผีเปรต เปเปอร์มาเซ่ อันนี้ดูจากเท้าเปรตที่เดินในหนังร่อนเป็นแผ่นๆกันเลยทีเดียว
สำหรับอาบัติ พระหลายๆรูปร้อนอกร้อนใจกันยกใหญ่ มีหลายรูปที่ออกมาพูดในเชิงที่ว่าหนังไม่ก่อประโยชน์สร้างความเสียหายให้ศาสนา ผมว่าพระยุคนี้มีพฤติกรรมไม่เหมาะมีให้เห็นเยอะแยะ ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว หลายคนไม่ควรเรียกว่าพระด้วยซ้ำ
เหตุผลสี่ข้อที่หนังอาบัติถูกแบน สามเณรเสพของมึนเมา ใช้ความรุนแรง มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว ไม่เคารพพระพุทธรูป เป็นแค่เรื่องเบาะๆ ความเป็นจริงหนักกว่านี้เยอะ ประเภทมารศาสนา บิดเบือนคำสอน หลอกลวง คดโกง หากินจากชาวบ้าน มั่งคั่งร่ำรวย สะสมรถหรูราคาแพง เสพยาค้ายาเสพติด เสพเมถุน มั่วสีกา ฯลฯ
จริงๆเมื่อหนังเรื่องนี้เข้าฉาย ดูกันแล้วมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแง่มุมไหน น่าจะเป็นโอกาสที่วงการสงฆ์จะได้พิจารณาผิดชอบชั่วดี ควรให้ความรู้ประชาชน อาบัติอะไร ทำอย่างไรถึงต้องอาบัติ วินัยสงฆ์ อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ไม่ใช่บอกว่ามันเป็นแง่ลบไม่ควรดู
เมื่อหนังไม่ได้รับการอนุญาตให้เข้าฉาย คนส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ดู ความจริงแล้วควรดูก่อนมาวิพากษ์วิจารณ์กัน เวลานี้จึงอยู่ที่ประเด็นหลักการและเหตุผลของคณะกรรมการเซนเซอร์และรูปธรรมเพียงบางส่วน ยังไม่ทันได้ดูหรือเห็นแต่ตัวอย่างแล้วมาฟันธงเลยว่าหนังดีหรือไม่ดี สมควรถูกแบน หรือไม่ ซึ่งมันไม่ควรเป็นเช่นนี้
หลังจากหนังถูกแบน การไม่ยื่นอุธรณ์ แต่ทางค่ายหนังกลับใช้วิธีเปลี่ยนชื่อและตัดต่อใหม่ เปลี่ยนชื่อเรื่องจากอาบัติเป็นอาปัต เปลี่ยนตัวสะกดจาก บ เป็น ป เท่าที่ทราบจากวงสนทนาคือมีการตัดต่อใหม่ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการส่งหนังเรื่องใหม่เข้าไปตรวจและเซนเซอร์
หลังจากนั้นก็มีข่าวอย่างที่เราทราบๆกันก็ คือผ่านครับฉายได้ ด้วยความไวระดับสปีดแรงในการตัดต่อใหม่ หลายคนอาจจะเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า เฮ้ยๆ ทำไมพี่ตัดต่อใหม่ไวขนาดนี้ วันเดียวเนี่ยนะ เข้าใจแหละว่าไฟล์อาจจะเป็นระบบดิจิตอล ตัดไม่นานแต่ไวมากนะถ้าเทียบเป็นวินานทีในหนังหรือในเฟรมของหนัง
งานนี้ น่าฉงน หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการตลาดของค่ายหนังอย่างสหมงคลฟิล์มเองหรือเปล่านี่ จากวงเสวนาอีกนั่นแหละ คุณผู้กำกับหลุดปากมาว่าเสี่ยเจียงมีการเตือนแล้ว และเมื่อไม่ผ่านเสี่ยบอกว่าเสี่ยจะจัดการเอง เสี่ยจัดการได้ฉับไวเด็ดขาดเลยครับ บางคนบอกว่าค่ายหนังดูไม่มีอาการตกใจอะไรเลยกับเรื่องการแบนหนังอีกด้วย เพราะเป็นไปตามคาดและจัดการได้นี่เอง
เอาเป็นว่า หนังถูกแบน มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เป็นข่าวเป็นกระแส พูดถึงกัน ปากต่อปาก จนมีการออกมาเรียกร้องในโลกออนไลน์ ในเว็บ change.org ล่ารายชื่อได้หลักแสน มากกว่าการล่ารายชื่อเพื่อทวงคืนสัมปทานบ่อน้ำมันในอ่าวไทยเสียอีก งานนี้อาจจะไม่ใช่แค่การแบนธรรมดาอย่างที่เราคิดก็เป็นได้