xs
xsm
sm
md
lg

การรับมือคลื่นใต้น้ำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: พระบาท นามเมือง

แย่งชิงพื้นที่บนหน้าข่าวมาได้ในที่สุด สำหรับฝ่ายต่อต้านรัฐประหาร เมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นในการจัดกิจกรรมรำลึกการทำรัฐประหารเมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่หน้าหอศิลป์กรุงเทพมหานคร ตรงข้ามมาบุญครอง

มีนักศึกษาประชาชนเข้ามาร่วมกันจำนวนหนึ่ง แสดงตนด้วยการใส่ชุดขาว และไปทำพิธีต่อต้านเชิงสัญลักษณ์เพื่อรำลึกถึงวันเวลาดังกล่าวเมื่อปีที่แล้ว ที่เกิดการทำรัฐประหารขึ้นโดย คสช.ดังที่เราทราบกันอยู่

ทางฝ่ายความมั่นคงนำโดยตำรวจเข้าไปปราบปรามและให้เลิก จนกระทั่งเกิดการกระทบกระทั่งกลายเป็นเรื่องราวออกมาทางหน้าสื่อในที่สุด

โดยมีสื่อต่างประเทศก็รับลูกไปรายงานต่อ มีการเผยแพร่คลิปการใช้กำลังตำรวจเข้าควบคุมการทำกิจกรรม

เหตุการณ์ชุลมุนดังกล่าวมีนักศึกษากับนักกิจกรรมราวๆ 30 กว่าคนถูกจับ และนำตัวไปสอบสวนที่ สน.ปทุมวันตลอดคืน จนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวในเช้าวันต่อมา โดยไม่มีการตั้งข้อหา

เมื่อกลายเป็นข่าวขึ้นหน้าสื่อ ก็จึงเป็นเรื่องที่ฝ่าย คสช.และรัฐบาลเองก็ต้องชี้แจง เป็น “วัตถุดิบ” ให้ฝ่ายต่อต้านรัฐประหารนำไปใช้ต่อไฟไปได้ ก่อนเรื่องจะค่อยๆ เงียบไปตามวงจรของการข่าว

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนที่จะต้องถูกยุบไปหากร่างรัฐธรรมนูญผ่าน ก็รีบออกมาเชิญนักศึกษาไปสอบถาม และให้ข่าวกันใหญ่โต เพื่อแสดงให้เห็นว่ายังทำงานกันอยู่

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมองว่าเรื่องนี้ทางฝ่ายความมั่นคงนั้นเสียมากกว่าได้ เพราะภาพความรุนแรงและต่อสู้กันระหว่างฝ่ายตำรวจและนักศึกษา ก็ทำให้ได้เห็นภาพว่า ยังมีการต่อต้านรัฐประหารกันอยู่

ส่วนใครจะอยู่เบื้องหลังหรือไม่อย่างไรนั้นก็อาจจะต้องมีการสืบสวนหรือดำเนินการข่าวกันต่อไป อย่างไรก็ตาม ก็ต้องตั้งข้อสังเกตว่า เด็กนักศึกษาที่ออกมาประท้วงกันในครั้งนี้ แม้จะมีบางส่วนเป็นพวกชื่อคุ้นหน้าคุ้นตา แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประวัติ และยังไม่พบความเกี่ยวข้องชัดๆ ถึงฝ่ายป่วนหน้าเดิมที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายของคนเสื้อแดง หรือของพรรคการเมืองฝ่ายทักษิณ

นี่คือจุดแข็งของนักศึกษากลุ่มนี้ที่ทำให้ปฏิบัติการของทางเจ้าหน้าที่นั้นเสียรังวัดไปมาก ยิ่งประกอบกับคำให้การของฝ่ายนักศึกษาว่า กิจกรรมที่จะจัดนั้นไม่มีการปราศรัยหรือดำเนินกิจกรรมอะไร นอกจากการมายืนร่วมกันทำกิจกรรมแบบต่างคนต่างทำ โดยมีตีมร่วมกันว่า มา “ร่วมกันดูนาฬิกา” เพื่อรำลึกถึงโมงยามแห่งการทำรัฐประหาร ไม่เกิน 15 นาทีก็จะกลับบ้านกันไป

ดังนั้นในสายตาของบางฝ่ายก็มองว่า ปล่อยให้เด็กๆ แค่ 30 กว่าคนมายืนดูนาฬิกากันแล้วกลับบ้านแค่ 15-20 นาที โดยมีตำรวจรอรักษาความสงบอยู่ก็จบ เรื่องนี้ก็จะเป็นได้แค่ข่าวเล็กๆ ไม่เป็นประเด็นอะไร

ในขณะที่พอฝ่ายตำรวจไป “จัดใหญ่” เข้า เรื่องเล็กๆ ที่ว่าก็เลยลุกลามบานปลายขึ้นเป็นเรื่องราวให้ไปต่อขยายขายออกสื่อ และมีการโต้ตอบโต้กันไปกันมา ทาง คสช.และรัฐบาลเองก็ต้องออกมาชี้แจง

บางคนมองในแง่กลยุทธ์ก็อาจจะบอกว่า ทางฝ่ายตำรวจและฝ่ายความมั่นคงนั้นไปพลาด “งับเหยื่อ” ของฝ่ายต่อต้านเข้าให้ แล้วเรื่องก็เลยกลายเป็นไปตามความวัตถุประสงค์รวบยอดของพวกนั้น

นั่นคือการมี “พื้นที่ข่าว” ได้สื่อสารออกไปว่า ยังมีขบวนการต่อต้านรัฐประหารอยู่ในประเทศไทย ในหมู่นักศึกษาที่มีภาพลักษณ์เป็นคนหนุ่มสาวและปัญญาชน มิใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยแต่ถูกปราบปรามแกล้งตายกันหมด เหมือนฝ่ายแกนนำทางการเมืองก็หาไม่

การที่นักศึกษาไม่ค่อยมีประวัติเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองและกลุ่มเสื้อแดง ก็เป็นอีกจุดแข็งหนึ่งของพวกเขา

แต่อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของฝ่ายความมั่นคงนั้นก็ยอมรับว่าน่าเห็นใจอยู่ในแง่ว่า ไม่รู้ว่าเอาเข้าจริงแล้วหากใช้มาตรการ “ปล่อย” แล้วจับตาดู มันจะจบลงแค่ 15 นาทีเท่านั้นจริงหรือ?

จะไม่มีคนมาเพิ่ม เพราะเห็นว่าจัดได้ไม่มีใครห้าม หรือจะไม่มีการ “ทดสอบความอดทน” เพิ่มเติมในชั้นต่อๆ ไปหรือ

เพื่อตัดไฟไว้ตั้งแต่ต้นลม เลยต้องจัดการ แต่พอจัดการผิดพลาดกลายเป็นไฟลุกลามเข้าไป แทนที่จะแค่ระดับเทียนเล่มเดียว เลยกลายเป็นกองไฟและมีควันไป

หลังจากนี้ทางตำรวจและฝ่ายความมั่นคง คงจะต้องประเมินเรื่องการเคลื่อนไหวของฝ่ายต่อต้านออกให้ละเอียดและวางแผนการรับมือให้รัดกุมยิ่งขึ้น ด้วยการหาข่าวล่วงหน้า พยายามสืบทราบให้ได้ว่า กลุ่มที่จะไปทำกิจกรรมนี้ มีแนวทางอย่างไร มีความสัมพันธ์กับฝ่ายไหน มีประวัติหรือไม่

เพื่อประโยชน์ในการรับมือต่อไปให้เหมาะสมและไม่ลุกลาม กลายเป็นที่สมประโยชน์ของฝ่ายต่อต้านรัฐประหาร สื่อต่างชาติ และเครือข่ายการเมืองเก่าที่พยายามจะขับเน้นฉายภาพ “ความเป็นเผด็จการ” ให้ยังคงชัดเจนอยู่ต่อไป

และก็น่าเป็นห่วงต่อไปในชั้นการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่ร่างนี้ผ่าน สปช. มาได้ว่าจะสามารถดำเนินการได้โดยสงบแค่ไหนหรือไม่

เพราะหากจะให้มีการทำประชามติแล้ว จะทำเพียงแค่แจกรัฐธรรมนูญให้ชาวบ้านไปคนละเล่ม ไปอ่านเงียบๆ บ้านใครบ้านมัน ถึงเวลากำหนดลงประชามติก็เดินมาหย่อนบัตร ก็คงไม่ได้

มีความจำเป็นอยู่นั่นเอง ที่อาจจะต้องมีการจัดเวทีอภิปราย แถลง แสดงข้อดีข้อเสียของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

แน่นอนว่าถ้ามีเวทีอะไรแบบนั้น “แขก” ที่หวังจะมาต่อต้านระบอบ คสช. และกระบวนการปฏิรูป ก็คงถือโอกาสมาร่วมจัดเต็มแน่นอน

จึงเป็นการบ้านให้ทางฝ่าย คสช. ตำรวจ ทหาร และผู้ที่ต้องดูแลงานด้านความมั่นคง เอาไปคิดกันล่วงหน้าว่า จะทำอย่างไรในขั้นตอนก่อนการลงประชามตินี้ ให้มีการเปิดโอกาสให้อภิปรายถกเถียงกันได้อย่างชอบธรรม หากต้องมีกระบวนการป้องกันมิให้มีพวกป่วนมาถือโอกาสหาเศษหาเลยผสมโรง “เรียกราคา”.
กำลังโหลดความคิดเห็น