ช่วงสงกรานต์เป็นเหมือนช่วงที่ทุกคนพักร้อนอย่างพร้อมเพรียงกันทั้งประเทศ แม้แต่ข่าวการเมืองจริงๆ ก็น่าจะพักไปบ้าง อย่างตัวท่านนายกฯ เองที่ก่อนหน้านี้มาตลอด ก็ออกไปจากพื้นที่ข่าวตลอดช่วงเวลา โดยมีการเผยแพร่แถลงการณ์ผ่านทางสำนักงานโฆษกรัฐบาล ให้พรประชาชนเนื่องในโอกาสสงกรานต์มาเมื่อวันที่ 13 เมษายน ว่าขอให้ช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงเวลาแห่งความรื่นเริง เสริมสร้างความรัก ความสามัคคีปรองดองของคนไทยทุกคน และเล่นสงกรานต์กันโดยปลอดภัย เคารพกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมาไม่ขับ ไม่ขับเร็วเกินอัตรา ไม่ดื่มสุราเกินสมควร ไม่เล่นสงกรานต์แบบไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย เป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ฯลฯ
แต่กระนั้น ก็มีการ “เปิดหัว” เทศกาลด้วยความร้อนกันเสียแล้ว เมื่อปรากฏเหตุคาร์บอมบ์ที่ห้างเซ็นทรัลเกาะสมุย และเหตุไฟไหม้ที่อาคารโกดังสินค้าสหกรณ์โคออฟ สุราษฎร์ธานี ในคืนวันที่ 10 เมษายน 2558
หลังจากเกิดเหตุก็มีการจับกุมตัว “เอ็ม เสื้อแดง” แนวร่วมเสื้อแดงที่โพสต์ข้อความไว้ล่วงหน้าว่าจะจัดหนักที่สุราษฎร์ในคืนเกิดเหตุพอดี แต่พอสอบสวนแล้วก็ไม่ได้อะไร ก็ปล่อยตัวไป ตอนนี้กระแสข่าวยังไม่นิ่งว่าเป็นฝีมือของกลุ่มไหน อาจจะเป็นกองกำลังเสื้อแดง การขัดผลประโยชน์ในเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองเลย หรือแม้แต่กลุ่มแนวร่วมก่อความไม่สงบภาคใต้ก็ยังมีความเป็นไปได้
โดยจะเชื่อมโยงกับเหตุวางระเบิดหน้าสยามพารากอน และที่ศาลอาญาหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องสืบสวนหาข่าวกันต่อไป แต่กระนั้นก็ทำให้เกิดสภาพความรู้สึกไม่น่าปลอดภัยขึ้นมาทันที ว่าอยู่ตรงไหนก็อาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้ ตั้งแต่ใจกลางกรุงเทพฯ ไปจนถึงแหล่งท่องเที่ยวทางภาคใต้ ที่เป็นเขตฐานเสียงของพรรคฝ่ายตรงข้ามกับเครือข่ายทักษิณ
แม้จะถูกคุ้มครองอยู่ด้วยกฎอัยการศึก และคำสั่งหัวหน้า คสช.โดยการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ที่มาใช้แทนที่ก็ตาม
พร้อมกันนี้ ในวันจันทร์ที่จะถึง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด จะถือเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ 20 พุทธศักราช 2558 ก็จะเข้าสู่การอภิปรายและพิจารณาของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในช่วงระหว่างวันที่ 20 – 26 เมษายนนี้
ก็ปรากฏว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากฝ่ายการเมือง เรียกว่าตั้งเขียงรอสับกันเลยทีเดียว
ท่าทีของทางพรรคเพื่อไทย “เสด็จพี่” นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ได้ออกมาดักคอว่า ร่างรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณากันนี้ มีข้อท้วงติงจากสังคมในหลายประเด็น ทั้งเรื่องของการเปิดช่องให้มีนายกฯ คนนอก การมี ส.ว.สรรหาที่มีอำนาจมาก โดยที่ไม่ได้รับฉันทานุมัติยึดโยงกับประชาชน จึงขอฝากให้ สปช.พิจารณาอย่างตรงไปตรงมา อันไหนไม่ถูกต้องขัดต่อหลักการประชาธิปไตยก็ควรแปรญัตติขอแก้ไข
หรือด้านนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์และแกนนำพรรคเพื่อไทย ก็วิจารณ์ว่า รัฐธรรมนูญนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะจำกัดและควบคุมอำนาจฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ที่เป็นอำนาจของประชาชน โดยออกแบบให้เป็นรัฐบาลผสมเพื่อให้ได้ฝ่ายบริหารที่ไม่มีเสถียรภาพ ส่งเสริมให้มีก๊วนการเมือง นำไปสู่การต่อรองผลประโยชน์ของพรรคหรือกลุ่มการเมือง พรรคขนาดกลางชี้ไปทางไหนทางนั้นก็ได้เป็นรัฐบาล ทำให้รัฐบาลใช้นโยบายกลางบริหารประเทศไม่ได้ สร้างให้ประชาชนเกลียดประณามฝ่ายการเมือง เพื่อให้ยอมรับอำนาจองค์กรเทวดาต่างๆ ตามที่ กมธ.ยกร่างฯ เขียนกันไว้ และเป็นการสืบทอดอำนาจเผด็จการ
ส่วนทางพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะยังไม่มีท่าทีออกมาโจมตีในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญชัดเจน แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาแบะท่าว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้ควรผ่านการทำประชามติ เพราะถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่านกระบวนการประชามติ โอกาสที่จะชี้แจงให้เกิดความเข้าใจ และยอมรับว่าเป็นประชาธิปไตยจะยากขึ้น และยังมีผู้กังวล โดยเฉพาะในสายตาประชาคมโลกที่ยังเกรงว่า จะเป็นการเขียนรัฐธรรมนูญไว้เพื่อการสืบทอดอำนาจหรือไม่ เพราะทุกกลไกที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญมีที่มาจาก คสช.ทั้งหมด
ท่าทีของทาง คสช.นั้น ทาง “โฆษกไก่อู” พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ก็ออกมาแบะท่ายอมรับว่า ทาง คสช.น่าจะไม่จัดให้มีการลงประชามติ เพราะเกรงจะวุ่นวาย เนื่องจากการขอความเห็นชอบจากประชาชนในเรื่องใหญ่ๆ โอกาสที่จะผ่านไปโดยไร้การเผชิญหน้ากันก็เป็นเรื่องยาก ซึ่งรัฐบาลไม่หวังให้เหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก จึงอยากให้สติสังคมว่าการทำประชามติเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ต้องมองผลดีผลเสียให้รอบด้าน
ไม่ว่าจะอย่างไร หลังจากวันที่ 20 เมษา ที่ถือว่าเป็นช่วงเปิดทำการหลังสงกรานต์อย่างเต็มตัวแล้ว ก็จะเริ่มเข้าสู่วาระสำคัญทางการเมือง คือการ “ถกรัฐธรรมนูญ” กันอีกรอบ ทั้งในสภา สปช. เอง และนอกสภาฯ โดยฝ่ายพรรคการเมือง และประชาชนที่ถือหางฝ่ายการเมืองแต่ละฝ่าย รวมถึงนักวิจารณ์ทุกสีทุกค่าย
จะเป็นอุณหภูมิร้อนหลังสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึงแน่ๆ
น่าสนใจว่า ทักษิณที่หายไปนานจากพื้นที่ข่าวเกือบปี ก็ได้มีการ “เคลื่อนไหว” ผ่านทางทวิตเตอร์ โดยโพสต์โจมตีพระสุเทพ และกระบวนยุติธรรมไทย
ทำให้ชวนคิดว่า เงียบมานานเพิ่งมาปล่อยของในตอนนี้ เพราะอะไร แม้ท่าทีแรกจะเป็นการโจมตี “ศัตรู” คู่แค้นเก่า หรือพระสุเทพ หรืออดีตกำนันสุเทพ ผู้สร้างตำนาน กปปส. ล้มรัฐบาลนอมินีปูแดงของน้องสาวตัวเองให้ล่มลงพินาศมาแล้ว
ทักษิณจะออกมาทำไม เราจะต้องติดตามความคืบหน้ากันต่อไปอย่างใกล้ชิด
และขอกระซิบหน่อยว่า ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือฉบับชั่วคราวพุทธศักราช 2557 นั้น บัญญัติไว้ในมาตรา 38 ว่า หากสภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จภายในเวลาที่กําหนด หรือไม่ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ จะถือว่า สภาปฏิรูปแห่งชาติและคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันสิ้นสุดลง และให้มีการดําเนินการเพื่อแต่งตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติและคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ขึ้น โดยห้าม สปช.และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดเก่ากลับมาดำรงตำแหน่งใหม่อีก
เรียกว่า ล้างไพ่ ล้มกระดาน กดปุ่มรีเซ็ตกันใหม่ และเท่ากับว่า กรอบเวลาของการทำงานของ คสช. และรัฐบาลก็จะอยู่ต่อไปอีกจนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ และมีการเลือกตั้งใหม่
ดังนั้นถ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่จะพิจารณากันนี้ “มีอันเป็นไป” ไม่ว่าจะด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดก็ดี ก็จะเท่ากับเป็นการต่ออายุให้ คสช.และรัฐบาลกันไปในตัว อีกไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
นั่นเท่ากับการจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดอีกครั้งหนึ่ง
นี่แหละคือข้อสำคัญที่เราควรจะจับตา และพิจารณาเรื่องการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญนี้ให้ดี!
แต่กระนั้น ก็มีการ “เปิดหัว” เทศกาลด้วยความร้อนกันเสียแล้ว เมื่อปรากฏเหตุคาร์บอมบ์ที่ห้างเซ็นทรัลเกาะสมุย และเหตุไฟไหม้ที่อาคารโกดังสินค้าสหกรณ์โคออฟ สุราษฎร์ธานี ในคืนวันที่ 10 เมษายน 2558
หลังจากเกิดเหตุก็มีการจับกุมตัว “เอ็ม เสื้อแดง” แนวร่วมเสื้อแดงที่โพสต์ข้อความไว้ล่วงหน้าว่าจะจัดหนักที่สุราษฎร์ในคืนเกิดเหตุพอดี แต่พอสอบสวนแล้วก็ไม่ได้อะไร ก็ปล่อยตัวไป ตอนนี้กระแสข่าวยังไม่นิ่งว่าเป็นฝีมือของกลุ่มไหน อาจจะเป็นกองกำลังเสื้อแดง การขัดผลประโยชน์ในเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองเลย หรือแม้แต่กลุ่มแนวร่วมก่อความไม่สงบภาคใต้ก็ยังมีความเป็นไปได้
โดยจะเชื่อมโยงกับเหตุวางระเบิดหน้าสยามพารากอน และที่ศาลอาญาหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องสืบสวนหาข่าวกันต่อไป แต่กระนั้นก็ทำให้เกิดสภาพความรู้สึกไม่น่าปลอดภัยขึ้นมาทันที ว่าอยู่ตรงไหนก็อาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้ ตั้งแต่ใจกลางกรุงเทพฯ ไปจนถึงแหล่งท่องเที่ยวทางภาคใต้ ที่เป็นเขตฐานเสียงของพรรคฝ่ายตรงข้ามกับเครือข่ายทักษิณ
แม้จะถูกคุ้มครองอยู่ด้วยกฎอัยการศึก และคำสั่งหัวหน้า คสช.โดยการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ที่มาใช้แทนที่ก็ตาม
พร้อมกันนี้ ในวันจันทร์ที่จะถึง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด จะถือเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ 20 พุทธศักราช 2558 ก็จะเข้าสู่การอภิปรายและพิจารณาของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในช่วงระหว่างวันที่ 20 – 26 เมษายนนี้
ก็ปรากฏว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากฝ่ายการเมือง เรียกว่าตั้งเขียงรอสับกันเลยทีเดียว
ท่าทีของทางพรรคเพื่อไทย “เสด็จพี่” นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ได้ออกมาดักคอว่า ร่างรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณากันนี้ มีข้อท้วงติงจากสังคมในหลายประเด็น ทั้งเรื่องของการเปิดช่องให้มีนายกฯ คนนอก การมี ส.ว.สรรหาที่มีอำนาจมาก โดยที่ไม่ได้รับฉันทานุมัติยึดโยงกับประชาชน จึงขอฝากให้ สปช.พิจารณาอย่างตรงไปตรงมา อันไหนไม่ถูกต้องขัดต่อหลักการประชาธิปไตยก็ควรแปรญัตติขอแก้ไข
หรือด้านนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์และแกนนำพรรคเพื่อไทย ก็วิจารณ์ว่า รัฐธรรมนูญนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะจำกัดและควบคุมอำนาจฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ที่เป็นอำนาจของประชาชน โดยออกแบบให้เป็นรัฐบาลผสมเพื่อให้ได้ฝ่ายบริหารที่ไม่มีเสถียรภาพ ส่งเสริมให้มีก๊วนการเมือง นำไปสู่การต่อรองผลประโยชน์ของพรรคหรือกลุ่มการเมือง พรรคขนาดกลางชี้ไปทางไหนทางนั้นก็ได้เป็นรัฐบาล ทำให้รัฐบาลใช้นโยบายกลางบริหารประเทศไม่ได้ สร้างให้ประชาชนเกลียดประณามฝ่ายการเมือง เพื่อให้ยอมรับอำนาจองค์กรเทวดาต่างๆ ตามที่ กมธ.ยกร่างฯ เขียนกันไว้ และเป็นการสืบทอดอำนาจเผด็จการ
ส่วนทางพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะยังไม่มีท่าทีออกมาโจมตีในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญชัดเจน แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาแบะท่าว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้ควรผ่านการทำประชามติ เพราะถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่านกระบวนการประชามติ โอกาสที่จะชี้แจงให้เกิดความเข้าใจ และยอมรับว่าเป็นประชาธิปไตยจะยากขึ้น และยังมีผู้กังวล โดยเฉพาะในสายตาประชาคมโลกที่ยังเกรงว่า จะเป็นการเขียนรัฐธรรมนูญไว้เพื่อการสืบทอดอำนาจหรือไม่ เพราะทุกกลไกที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญมีที่มาจาก คสช.ทั้งหมด
ท่าทีของทาง คสช.นั้น ทาง “โฆษกไก่อู” พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ก็ออกมาแบะท่ายอมรับว่า ทาง คสช.น่าจะไม่จัดให้มีการลงประชามติ เพราะเกรงจะวุ่นวาย เนื่องจากการขอความเห็นชอบจากประชาชนในเรื่องใหญ่ๆ โอกาสที่จะผ่านไปโดยไร้การเผชิญหน้ากันก็เป็นเรื่องยาก ซึ่งรัฐบาลไม่หวังให้เหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก จึงอยากให้สติสังคมว่าการทำประชามติเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ต้องมองผลดีผลเสียให้รอบด้าน
ไม่ว่าจะอย่างไร หลังจากวันที่ 20 เมษา ที่ถือว่าเป็นช่วงเปิดทำการหลังสงกรานต์อย่างเต็มตัวแล้ว ก็จะเริ่มเข้าสู่วาระสำคัญทางการเมือง คือการ “ถกรัฐธรรมนูญ” กันอีกรอบ ทั้งในสภา สปช. เอง และนอกสภาฯ โดยฝ่ายพรรคการเมือง และประชาชนที่ถือหางฝ่ายการเมืองแต่ละฝ่าย รวมถึงนักวิจารณ์ทุกสีทุกค่าย
จะเป็นอุณหภูมิร้อนหลังสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึงแน่ๆ
น่าสนใจว่า ทักษิณที่หายไปนานจากพื้นที่ข่าวเกือบปี ก็ได้มีการ “เคลื่อนไหว” ผ่านทางทวิตเตอร์ โดยโพสต์โจมตีพระสุเทพ และกระบวนยุติธรรมไทย
ทำให้ชวนคิดว่า เงียบมานานเพิ่งมาปล่อยของในตอนนี้ เพราะอะไร แม้ท่าทีแรกจะเป็นการโจมตี “ศัตรู” คู่แค้นเก่า หรือพระสุเทพ หรืออดีตกำนันสุเทพ ผู้สร้างตำนาน กปปส. ล้มรัฐบาลนอมินีปูแดงของน้องสาวตัวเองให้ล่มลงพินาศมาแล้ว
ทักษิณจะออกมาทำไม เราจะต้องติดตามความคืบหน้ากันต่อไปอย่างใกล้ชิด
และขอกระซิบหน่อยว่า ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือฉบับชั่วคราวพุทธศักราช 2557 นั้น บัญญัติไว้ในมาตรา 38 ว่า หากสภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จภายในเวลาที่กําหนด หรือไม่ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ จะถือว่า สภาปฏิรูปแห่งชาติและคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันสิ้นสุดลง และให้มีการดําเนินการเพื่อแต่งตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติและคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ขึ้น โดยห้าม สปช.และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดเก่ากลับมาดำรงตำแหน่งใหม่อีก
เรียกว่า ล้างไพ่ ล้มกระดาน กดปุ่มรีเซ็ตกันใหม่ และเท่ากับว่า กรอบเวลาของการทำงานของ คสช. และรัฐบาลก็จะอยู่ต่อไปอีกจนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ และมีการเลือกตั้งใหม่
ดังนั้นถ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่จะพิจารณากันนี้ “มีอันเป็นไป” ไม่ว่าจะด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดก็ดี ก็จะเท่ากับเป็นการต่ออายุให้ คสช.และรัฐบาลกันไปในตัว อีกไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
นั่นเท่ากับการจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดอีกครั้งหนึ่ง
นี่แหละคือข้อสำคัญที่เราควรจะจับตา และพิจารณาเรื่องการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญนี้ให้ดี!