ลัทธิธรรมกายเติบโตแบบก้าวกระโดดในระหว่างที่กลุ่มการเมืองชินวัตรมีอำนาจปกครองประเทศต่อเนื่องหลายรอบระหว่างปี 2544-2557 และดูจะหนักข้อขึ้นในยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเพราะการจัดงานพิลึกพิลั่นขัดสายตาชาวพุทธเถรวาทอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง บ่งบอกว่าธรรมกายไม่ได้มีเฉพาะอำนาจทุนหนุนหลังเท่านั้น หากยังมีอำนาจรัฐหนุนหลังอย่างอุ่นหนาวางใจได้
ธรรมกายเติบโตมาท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ มีชาวพุทธไม่น้อยที่ขัดใจกับพฤติกรรมและคำสอนผิดประหลาดแต่ทว่าธรรมกายก็เติบโตขยายใหญ่เรื่อยมาแบบไม่ต้องแคร์สายตาใคร ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไปโดยที่ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงแก้อะไรเชื่อแน่ว่าลัทธิธรรมกายจะครอบงำองค์กรสงฆ์หลักของประเทศ จะกลายเป็นผู้กำหนดแนวทางทิศทางพฤติกรรมแบบแผนของสถาบันสงฆ์ให้เป็นแบบตนได้เลยภายในไม่กี่ปีนับจากนี้
ซึ่งนั่นก็คือการพิชิตชัยเหนือศาสนจักรของประเทศให้ยอมตามแบบแผนแนวทางและความเชื่อแบบของตน อาทิเช่น ทำให้องค์กรสงฆ์ยอมรับว่าการธุดงค์บนพรมโปรยดาวรวยผ่ากลางเมืองเป็นวัตรปฏิบัติที่ถูกชอบตามหลักพุทธศาสนาที่ประเทศนี้ยอมรับ การขายอุปกรณ์เครื่องมือบุญมากมายเช่นค้อนไปตอกเสาเข็มบนสวรรค์อันละ 3 แสนห้าเป็นสิ่งชอบแล้ว หรือแม้แต่การบอกว่าทำบุญมากยิ่งได้บุญมากก็จะเป็นแบบแผนพุทธของไทยต่อไปแบบที่ทั้งองค์กรสงฆ์และหน่วยงานรัฐยอมรับโดยดุษณี ต่อไปนักเรียนไหว้พระตอนเช้าก็ต้องไหว้ต่อหน้าพระพุทธรูปแบบธรรมกาย ไปวัดก็ไปธรรมกาย ไปอบรมนั่งสมาธิก็ต้องไปธรรมกาย บ่ายๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปโปรยดาวรวยรับธุดงค์ ซัมเมอร์ก็ไปบวชเป็นเณรธรรมกาย เรียกว่าธรรมกายครบวงจรยึดอำนาจศาสนจักรไปเลย
ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ? ก็ในเมื่อพระสงฆ์ระดับทำหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชยังไปร่วมกิจกรรมธุดงค์ดาวรวยถ่ายรูปร่วมกันอย่างแช่มชื่นเป็นหมู่เป็นพวกเดียวกัน คนในวงการสงฆ์รับรู้กันทั่วแล้วว่าอิทธิพลของธรรมกายในมหาเถรสมาคมนั้นมีถึงขนาดไหนแม้กระทั่งในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทั้งนี้เพราะฝ่ายการเมืองค่ายเพื่อไทยแสดงตนอย่างโจ่งแจ้งว่าอยู่ข้างธรรมกาย ทักษิณ-พจมาน ชินวัตรแต่งขาวไปร่วม ยิ่งลักษณ์และทีมรัฐมนตรีก็แต่งขาวโชว์...หัวขบวนฝ่ายการเมืองเป็นแบบนี้ข้าราชการระดับปฏิบัติใครจะกล้าแหกโผ
มองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์โลกนับแต่ยุคที่ถือเทพเจ้าหลายองค์มาถึงยุคขงจื๊อ เต๋า พุทธ ฮินดู อิสลาม คริสต์ ยูดาย ฯลฯ เราจะพบความจริงว่า ลัทธิ/ศาสนา/ความเชื่อ ใดๆ จะเติบโตขยายตัวได้ก็ต่อเมื่อมีอำนาจรัฐหนุนหลัง เช่นในจีนหากฮ่องเต้นับถือลัทธิใดลัทธิอื่นก็จะตกต่ำลงขาดแรงสนับสนุน อิสลามเคยกวาดศาสนาพุทธและฮินดูแทบหมดไปจากอินเดีย ศาสนากับอำนาจการเมืองเป็นเนื้อเดียวกันสร้างระบบการปกครองแบบสังคมศาสนาขึ้นมา การเมืองกับการศาสนาที่แท้ก็คือปมประเด็นว่าด้วยอำนาจ เพียงแต่เป็นอำนาจคนละมิติที่เหมือนเหรียญคนละหน้าเท่านั้น ธรรมกายเติบโตมาด้วยอำนาจการเมืองมาหนุนไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่หากแต่ไม่มีใครสำเหนียกถึงระดับความความรุนแรงที่จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบพลิกฟ้า เปลี่ยนแปลงทั้งแบบแผน พิธีกรรม ชุดความเชื่อของศาสนาในภาพรวม
ในมิติการเมือง การขยายตัวเพิ่มอิทธิพลของลัทธิธรรมกายเป็นการเมืองอย่างแน่นอน ทั้งการเมืองภายในสถาบันสงฆ์เอง การเมืองในองค์กรกำกับสงฆ์ และการเมืองของทางโลก การเมืองในที่นี้คือการแสดง/ต่อรอง/เพิ่มอำนาจ/ขยายกลุ่มสนับสนุน
ตอนที่ยิ่งลักษณ์หาเสียงใหญ่ตากฝนแถลงนโยบายยังมีเนื้อหาส่วนที่เกี่ยวข้องประหวัดถึงลัทธิธรรมกายอย่างชัดเจน ซึ่งแสดงว่าธรรมกายผูกพันเป็นเนื้อเดียวกับกลุ่มการเมือง ต่างก็ใช้และเอื้อประโยชน์ระหว่างกัน ฝ่ายการเมืองได้ฐานเสียงของผู้ศรัทธาที่เป็นกลุ่มเป็นก้อนเทคะแนนให้ ส่วนฝ่ายศาสนาก็จะอาศัยอำนาจการเมืองขยายลัทธิแนวทางตัว ถ้าจำกันได้ยิ่งลักษณ์ประกาศนะคร้า..นะคร้าเปียกปอนกลางสายฝน (ตามโพย) ว่า เราจะเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก...เราจะสังคายนาหลักธรรมของสอนพระพุทธเจ้าร่วมกัน....และเราจะเชิญชวนชาวพุทธทั่วโลกมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและนั่งสมาธิร่วมกัน … แหม ธรรมกายล้วนๆ
จากนั้นเมื่อยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ธรรมกายและเครือข่ายซึ่งมีทั้งสงฆ์ระดับราชาคณะใหญ่น้อยและข้าราชการก็เดินหน้าขยายอิทธิพลและเปิดช่องทางกิจการใหม่ๆ โดยเฉพาะผ่านกระทรวงศึกษาธิการขนาดบังคับให้ครู-นักเรียนไปทำกิจกรรมที่วัด รากฐานที่ธรรมกายวางไว้ในกระทรวงศึกษาเล่นกับครูและเด็กในหลายปีมานี้ไปไกลถึงไหนไม่รู้ แต่จนบัดนี้ขนาดเปลี่ยนรัฐบาลแล้วกิจกรรมเกณฑ์เด็กนักเรียนไปธรรมกายก็ยังมีอยู่ แล้วก็ยังขยายออกไปบนท้องถนน ดอกดาวเรืองชื่อปู่ย่าตายายเรียกกันมาก็เปลี่ยนเป็นดาวรวย แค่ชื่อก็สะท้อนวิธีคิดแล้วว่ามุ่งหลอกล่อให้นึกถึงความรวย ประหวัดไปถึงทรัพย์สินเงินทองซึ่งไม่ใช่แนวทางแบบพุทธที่เน้นไปที่การเพียงพอ สมถะ ไม่สะสม ธุดงค์ดาวรวยยิ่งมายิ่งเอาใหญ่ จัดกันหัวปีท้ายปีไม่เว้น การพาเหรดออกมาบนถนนแบบนี้หากมองในแง่การตลาดก็คือการเอาสินค้ามาโชว์ให้ผู้บริโภคเห็นโดยตรง ไม่เคยมีใครเปิดเผยข้อมูลเรื่องเงินบริจาคระหว่างกิจกรรมแต่ก็ทราบจากภาพข่าวว่ามีอยู่
การรุกขยายตัวของลัทธิแบบธรรมกายมีพลังและมีประสิทธิภาพสูงเพราะ “สังคมไทยแปรสภาพเป็นสังคมทุน” มากขึ้นเป็นลำดับ สังคมทุนแทรกซึมเป็นปัจจัยองค์ประกอบสำคัญของทุกวงการ อย่างวงการเมืองก็มีทุนใหญ่ที่กำกับพรรคการเมืองและนักการเมืองอีกชั้น ต่อให้รัฐบาลเปลี่ยนแต่นโยบายที่จะเอื้อต่อทุนกลุ่มนั้นๆ ต้องไม่เปลี่ยนแปลง สังคมทุนไม่ได้มีอิทธิพลแค่วงการเมืองเท่านั้น วงการศาสนาก็แปรเป็นพุทธทุนไปถึงไหนๆ แล้ว
ความคิดแบบทุนนิยม ลงทุนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ลงทุนมากก็ได้บุญมาก มีการตลาดดึงดูดให้ควักกระเป๋า เอาทุนไปต่อทุน ใช้ทุนสร้างอำนาจทางโลกและทางธรรม ครอบงำองค์กรกำกับสงฆ์ตามมาเป็นขั้นตอน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องมองไปที่ประชาชนคนไทยเองด้วยที่ละเลยไปจาก “แนวทางพุทธะ” ที่แท้จนแทบขาดจากรากปรัชญาพุทธะไปนานแล้ว ไหว้พระขอพรก็เพื่อให้รวย ต้องยอมรับว่าคำว่าพุทธแบบที่คนส่วนใหญ่ต้องการบางครั้งก็แค่ความสบายใจ ความสุขใจชั่วคราว ซึ่งพิธีกรรมอลังการนุ่งห่มขาวสบายตาแบบธรรมกายตอบสนองความสุขสงบของคนรุ่นใหม่ได้
โครงสร้างสถาบันสงฆ์และโครงสร้างอำนาจรัฐของไทยแบบที่เป็นอยู่เอื้อให้ธรรมกายเติบโตต่อไป เพราะมันเป็นโครงสร้างแบบรวมศูนย์ มหาเถรสมาคมคือองค์กรรวมศูนย์มีการสร้างชั้นบังคับบัญชาและก็มีขุนนางพระเป็นลำดับขึ้นไป ส่วนระบบราชการไทยก็คือโครงสร้างแบบรวมศูนย์ ใครมีอำนาจมาปกครองก็กินรวบสั่งการได้หมดทั้งโครงทั่วประเทศ หากคิดจะมีเติบใหญ่ แค่อยู่ข้างเดียวกับนักการเมืองฝ่ายมีอำนาจก็จะดลบันดาลอะไรๆ ได้เช่น ปลดพันธะคดีความไม่ให้อัยการฟ้องร้อง แต่งตั้งคนที่ตัวต้องการไปคุมการพระศาสนา ฯลฯ เป็นต้น
ในแง่ขององค์กรสงฆ์นั้นยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปแค่โครงสร้างยังคงเดิม เพราะในยุคโบราณอำนาจฝ่ายอาณาจักรอยู่ที่มหากษัตริย์และอำนาจศาสนจักรอยู่ที่สังฆราชที่แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับวัง ธรรมเนียมแบบเอเชียอาคเนย์ละแวกนี้วัดกับวังเกื้อหนุนอุ้มชูคู่กันมา แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองใหม่มาเป็นประชาธิปไตยเรายังคงโครงสร้างราชการรวมศูนย์ไว้ และยังคงมหาเถระแบบรวมศูนย์เช่นเดิม เมื่อก่อนพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจเต็มในการตั้งมหาเถระราชาคณะ แต่มายุคใหม่การเมืองและการทุนมีเสียงดัง ว่ากันว่าพระราชาคณะชั้นผู้น้อยต้องหาช่องเอาก้อนเงินยัดใส่ย่ามของสมเด็จราชาคณะเพื่อจะได้เลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่ง ยศช้างขุนนางพระกลายเป็นเรื่องเงินทองขึ้นมาในยุคทุน จึงมีช่องให้ฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายลัทธิแปลกๆ หนุนเสริมให้คนของตนมีอำนาจในองค์กรสงฆ์มากขึ้นๆ วิธีการซื้ออำนาจในองค์กรสงฆ์มีมากมายเช่น ให้เงินตั้งมูลนิธิขึ้นมาแล้วให้สมเด็จราชาคณะรูปนั้นบริหารอย่างสนุกสนาน ไปต่างประเทศ ไปเปิดวัดใหม่ในเครือของตน อุ้มชูแลกเปลี่ยนกัน
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นปัญหาระดับโครงสร้างและระดับแบบแผนพฤติกรรม นอกจากโครงสร้างใหญ่มีช่องโหว่แล้ว มิหนำซ้ำกระแสความคิดความเชื่อของพุทธบริษัทประชาชนเองก็แปรเปลี่ยนไป มองย้อนไปดูในประวัติศาสตร์ศาสนาต่างๆ มียุคที่เสื่อมโทรมลงด้วยกันทั้งนั้น ในยุคกลางคริสต์ศาสนาตกต่ำบาทหลวงเร่ขายใบไถ่บาป ไปมีอำนาจทางโลก ศาสนาเป็นเครื่องมือสะสมอำนาจและทุนจนต้องมีการปฏิรูปใหญ่เกิดขึ้น หรือแม้แต่ในพุทธศาสนาเองก็เคยมีเหตุที่ทำให้ตกต่ำหันไปเชื่อไสยศาสตร์เวทมนตร์อะไรขึ้นจนเป็นปัจจัยหนึ่งที่เสื่อมลงไปจากอินเดีย
ศาสนากับการเมืองดูเหมือนเป็นคนละขั้วที่ขาดจากกันแต่เนื้อแท้แล้ว ศาสนาไม่เคยขาดจากการเมืองมาทุกยุคสมัย หากแต่ในยุคสมัยที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจทั้งสองเป็นไปโดยแนบเนียน ไม่หวือหวา มีจังหวะจะโคน และไม่ได้ถูกขับเคลื่อนโดยทุนและการตลาดแบบหิวโหยมากเท่ายุคสมัยนี้
ยุคสมัยนี้การเมืองเรื่องอาณาจักรกับศาสนจักรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างชัดเจน อำนาจการเมืองและอำนาจทางศาสนาต่างก็มีจุดหมายเพื่ออำนาจและความร่ำรวยเหมือนกัน การเมืองของศาสนจักรกับอาณาจักรในยุคสมัยใหม่เป็นการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยทุน.
ธรรมกายเติบโตมาท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ มีชาวพุทธไม่น้อยที่ขัดใจกับพฤติกรรมและคำสอนผิดประหลาดแต่ทว่าธรรมกายก็เติบโตขยายใหญ่เรื่อยมาแบบไม่ต้องแคร์สายตาใคร ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไปโดยที่ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงแก้อะไรเชื่อแน่ว่าลัทธิธรรมกายจะครอบงำองค์กรสงฆ์หลักของประเทศ จะกลายเป็นผู้กำหนดแนวทางทิศทางพฤติกรรมแบบแผนของสถาบันสงฆ์ให้เป็นแบบตนได้เลยภายในไม่กี่ปีนับจากนี้
ซึ่งนั่นก็คือการพิชิตชัยเหนือศาสนจักรของประเทศให้ยอมตามแบบแผนแนวทางและความเชื่อแบบของตน อาทิเช่น ทำให้องค์กรสงฆ์ยอมรับว่าการธุดงค์บนพรมโปรยดาวรวยผ่ากลางเมืองเป็นวัตรปฏิบัติที่ถูกชอบตามหลักพุทธศาสนาที่ประเทศนี้ยอมรับ การขายอุปกรณ์เครื่องมือบุญมากมายเช่นค้อนไปตอกเสาเข็มบนสวรรค์อันละ 3 แสนห้าเป็นสิ่งชอบแล้ว หรือแม้แต่การบอกว่าทำบุญมากยิ่งได้บุญมากก็จะเป็นแบบแผนพุทธของไทยต่อไปแบบที่ทั้งองค์กรสงฆ์และหน่วยงานรัฐยอมรับโดยดุษณี ต่อไปนักเรียนไหว้พระตอนเช้าก็ต้องไหว้ต่อหน้าพระพุทธรูปแบบธรรมกาย ไปวัดก็ไปธรรมกาย ไปอบรมนั่งสมาธิก็ต้องไปธรรมกาย บ่ายๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปโปรยดาวรวยรับธุดงค์ ซัมเมอร์ก็ไปบวชเป็นเณรธรรมกาย เรียกว่าธรรมกายครบวงจรยึดอำนาจศาสนจักรไปเลย
ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ? ก็ในเมื่อพระสงฆ์ระดับทำหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชยังไปร่วมกิจกรรมธุดงค์ดาวรวยถ่ายรูปร่วมกันอย่างแช่มชื่นเป็นหมู่เป็นพวกเดียวกัน คนในวงการสงฆ์รับรู้กันทั่วแล้วว่าอิทธิพลของธรรมกายในมหาเถรสมาคมนั้นมีถึงขนาดไหนแม้กระทั่งในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทั้งนี้เพราะฝ่ายการเมืองค่ายเพื่อไทยแสดงตนอย่างโจ่งแจ้งว่าอยู่ข้างธรรมกาย ทักษิณ-พจมาน ชินวัตรแต่งขาวไปร่วม ยิ่งลักษณ์และทีมรัฐมนตรีก็แต่งขาวโชว์...หัวขบวนฝ่ายการเมืองเป็นแบบนี้ข้าราชการระดับปฏิบัติใครจะกล้าแหกโผ
มองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์โลกนับแต่ยุคที่ถือเทพเจ้าหลายองค์มาถึงยุคขงจื๊อ เต๋า พุทธ ฮินดู อิสลาม คริสต์ ยูดาย ฯลฯ เราจะพบความจริงว่า ลัทธิ/ศาสนา/ความเชื่อ ใดๆ จะเติบโตขยายตัวได้ก็ต่อเมื่อมีอำนาจรัฐหนุนหลัง เช่นในจีนหากฮ่องเต้นับถือลัทธิใดลัทธิอื่นก็จะตกต่ำลงขาดแรงสนับสนุน อิสลามเคยกวาดศาสนาพุทธและฮินดูแทบหมดไปจากอินเดีย ศาสนากับอำนาจการเมืองเป็นเนื้อเดียวกันสร้างระบบการปกครองแบบสังคมศาสนาขึ้นมา การเมืองกับการศาสนาที่แท้ก็คือปมประเด็นว่าด้วยอำนาจ เพียงแต่เป็นอำนาจคนละมิติที่เหมือนเหรียญคนละหน้าเท่านั้น ธรรมกายเติบโตมาด้วยอำนาจการเมืองมาหนุนไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่หากแต่ไม่มีใครสำเหนียกถึงระดับความความรุนแรงที่จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบพลิกฟ้า เปลี่ยนแปลงทั้งแบบแผน พิธีกรรม ชุดความเชื่อของศาสนาในภาพรวม
ในมิติการเมือง การขยายตัวเพิ่มอิทธิพลของลัทธิธรรมกายเป็นการเมืองอย่างแน่นอน ทั้งการเมืองภายในสถาบันสงฆ์เอง การเมืองในองค์กรกำกับสงฆ์ และการเมืองของทางโลก การเมืองในที่นี้คือการแสดง/ต่อรอง/เพิ่มอำนาจ/ขยายกลุ่มสนับสนุน
ตอนที่ยิ่งลักษณ์หาเสียงใหญ่ตากฝนแถลงนโยบายยังมีเนื้อหาส่วนที่เกี่ยวข้องประหวัดถึงลัทธิธรรมกายอย่างชัดเจน ซึ่งแสดงว่าธรรมกายผูกพันเป็นเนื้อเดียวกับกลุ่มการเมือง ต่างก็ใช้และเอื้อประโยชน์ระหว่างกัน ฝ่ายการเมืองได้ฐานเสียงของผู้ศรัทธาที่เป็นกลุ่มเป็นก้อนเทคะแนนให้ ส่วนฝ่ายศาสนาก็จะอาศัยอำนาจการเมืองขยายลัทธิแนวทางตัว ถ้าจำกันได้ยิ่งลักษณ์ประกาศนะคร้า..นะคร้าเปียกปอนกลางสายฝน (ตามโพย) ว่า เราจะเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก...เราจะสังคายนาหลักธรรมของสอนพระพุทธเจ้าร่วมกัน....และเราจะเชิญชวนชาวพุทธทั่วโลกมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและนั่งสมาธิร่วมกัน … แหม ธรรมกายล้วนๆ
จากนั้นเมื่อยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ธรรมกายและเครือข่ายซึ่งมีทั้งสงฆ์ระดับราชาคณะใหญ่น้อยและข้าราชการก็เดินหน้าขยายอิทธิพลและเปิดช่องทางกิจการใหม่ๆ โดยเฉพาะผ่านกระทรวงศึกษาธิการขนาดบังคับให้ครู-นักเรียนไปทำกิจกรรมที่วัด รากฐานที่ธรรมกายวางไว้ในกระทรวงศึกษาเล่นกับครูและเด็กในหลายปีมานี้ไปไกลถึงไหนไม่รู้ แต่จนบัดนี้ขนาดเปลี่ยนรัฐบาลแล้วกิจกรรมเกณฑ์เด็กนักเรียนไปธรรมกายก็ยังมีอยู่ แล้วก็ยังขยายออกไปบนท้องถนน ดอกดาวเรืองชื่อปู่ย่าตายายเรียกกันมาก็เปลี่ยนเป็นดาวรวย แค่ชื่อก็สะท้อนวิธีคิดแล้วว่ามุ่งหลอกล่อให้นึกถึงความรวย ประหวัดไปถึงทรัพย์สินเงินทองซึ่งไม่ใช่แนวทางแบบพุทธที่เน้นไปที่การเพียงพอ สมถะ ไม่สะสม ธุดงค์ดาวรวยยิ่งมายิ่งเอาใหญ่ จัดกันหัวปีท้ายปีไม่เว้น การพาเหรดออกมาบนถนนแบบนี้หากมองในแง่การตลาดก็คือการเอาสินค้ามาโชว์ให้ผู้บริโภคเห็นโดยตรง ไม่เคยมีใครเปิดเผยข้อมูลเรื่องเงินบริจาคระหว่างกิจกรรมแต่ก็ทราบจากภาพข่าวว่ามีอยู่
การรุกขยายตัวของลัทธิแบบธรรมกายมีพลังและมีประสิทธิภาพสูงเพราะ “สังคมไทยแปรสภาพเป็นสังคมทุน” มากขึ้นเป็นลำดับ สังคมทุนแทรกซึมเป็นปัจจัยองค์ประกอบสำคัญของทุกวงการ อย่างวงการเมืองก็มีทุนใหญ่ที่กำกับพรรคการเมืองและนักการเมืองอีกชั้น ต่อให้รัฐบาลเปลี่ยนแต่นโยบายที่จะเอื้อต่อทุนกลุ่มนั้นๆ ต้องไม่เปลี่ยนแปลง สังคมทุนไม่ได้มีอิทธิพลแค่วงการเมืองเท่านั้น วงการศาสนาก็แปรเป็นพุทธทุนไปถึงไหนๆ แล้ว
ความคิดแบบทุนนิยม ลงทุนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ลงทุนมากก็ได้บุญมาก มีการตลาดดึงดูดให้ควักกระเป๋า เอาทุนไปต่อทุน ใช้ทุนสร้างอำนาจทางโลกและทางธรรม ครอบงำองค์กรกำกับสงฆ์ตามมาเป็นขั้นตอน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องมองไปที่ประชาชนคนไทยเองด้วยที่ละเลยไปจาก “แนวทางพุทธะ” ที่แท้จนแทบขาดจากรากปรัชญาพุทธะไปนานแล้ว ไหว้พระขอพรก็เพื่อให้รวย ต้องยอมรับว่าคำว่าพุทธแบบที่คนส่วนใหญ่ต้องการบางครั้งก็แค่ความสบายใจ ความสุขใจชั่วคราว ซึ่งพิธีกรรมอลังการนุ่งห่มขาวสบายตาแบบธรรมกายตอบสนองความสุขสงบของคนรุ่นใหม่ได้
โครงสร้างสถาบันสงฆ์และโครงสร้างอำนาจรัฐของไทยแบบที่เป็นอยู่เอื้อให้ธรรมกายเติบโตต่อไป เพราะมันเป็นโครงสร้างแบบรวมศูนย์ มหาเถรสมาคมคือองค์กรรวมศูนย์มีการสร้างชั้นบังคับบัญชาและก็มีขุนนางพระเป็นลำดับขึ้นไป ส่วนระบบราชการไทยก็คือโครงสร้างแบบรวมศูนย์ ใครมีอำนาจมาปกครองก็กินรวบสั่งการได้หมดทั้งโครงทั่วประเทศ หากคิดจะมีเติบใหญ่ แค่อยู่ข้างเดียวกับนักการเมืองฝ่ายมีอำนาจก็จะดลบันดาลอะไรๆ ได้เช่น ปลดพันธะคดีความไม่ให้อัยการฟ้องร้อง แต่งตั้งคนที่ตัวต้องการไปคุมการพระศาสนา ฯลฯ เป็นต้น
ในแง่ขององค์กรสงฆ์นั้นยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปแค่โครงสร้างยังคงเดิม เพราะในยุคโบราณอำนาจฝ่ายอาณาจักรอยู่ที่มหากษัตริย์และอำนาจศาสนจักรอยู่ที่สังฆราชที่แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับวัง ธรรมเนียมแบบเอเชียอาคเนย์ละแวกนี้วัดกับวังเกื้อหนุนอุ้มชูคู่กันมา แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองใหม่มาเป็นประชาธิปไตยเรายังคงโครงสร้างราชการรวมศูนย์ไว้ และยังคงมหาเถระแบบรวมศูนย์เช่นเดิม เมื่อก่อนพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจเต็มในการตั้งมหาเถระราชาคณะ แต่มายุคใหม่การเมืองและการทุนมีเสียงดัง ว่ากันว่าพระราชาคณะชั้นผู้น้อยต้องหาช่องเอาก้อนเงินยัดใส่ย่ามของสมเด็จราชาคณะเพื่อจะได้เลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่ง ยศช้างขุนนางพระกลายเป็นเรื่องเงินทองขึ้นมาในยุคทุน จึงมีช่องให้ฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายลัทธิแปลกๆ หนุนเสริมให้คนของตนมีอำนาจในองค์กรสงฆ์มากขึ้นๆ วิธีการซื้ออำนาจในองค์กรสงฆ์มีมากมายเช่น ให้เงินตั้งมูลนิธิขึ้นมาแล้วให้สมเด็จราชาคณะรูปนั้นบริหารอย่างสนุกสนาน ไปต่างประเทศ ไปเปิดวัดใหม่ในเครือของตน อุ้มชูแลกเปลี่ยนกัน
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นปัญหาระดับโครงสร้างและระดับแบบแผนพฤติกรรม นอกจากโครงสร้างใหญ่มีช่องโหว่แล้ว มิหนำซ้ำกระแสความคิดความเชื่อของพุทธบริษัทประชาชนเองก็แปรเปลี่ยนไป มองย้อนไปดูในประวัติศาสตร์ศาสนาต่างๆ มียุคที่เสื่อมโทรมลงด้วยกันทั้งนั้น ในยุคกลางคริสต์ศาสนาตกต่ำบาทหลวงเร่ขายใบไถ่บาป ไปมีอำนาจทางโลก ศาสนาเป็นเครื่องมือสะสมอำนาจและทุนจนต้องมีการปฏิรูปใหญ่เกิดขึ้น หรือแม้แต่ในพุทธศาสนาเองก็เคยมีเหตุที่ทำให้ตกต่ำหันไปเชื่อไสยศาสตร์เวทมนตร์อะไรขึ้นจนเป็นปัจจัยหนึ่งที่เสื่อมลงไปจากอินเดีย
ศาสนากับการเมืองดูเหมือนเป็นคนละขั้วที่ขาดจากกันแต่เนื้อแท้แล้ว ศาสนาไม่เคยขาดจากการเมืองมาทุกยุคสมัย หากแต่ในยุคสมัยที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจทั้งสองเป็นไปโดยแนบเนียน ไม่หวือหวา มีจังหวะจะโคน และไม่ได้ถูกขับเคลื่อนโดยทุนและการตลาดแบบหิวโหยมากเท่ายุคสมัยนี้
ยุคสมัยนี้การเมืองเรื่องอาณาจักรกับศาสนจักรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างชัดเจน อำนาจการเมืองและอำนาจทางศาสนาต่างก็มีจุดหมายเพื่ออำนาจและความร่ำรวยเหมือนกัน การเมืองของศาสนจักรกับอาณาจักรในยุคสมัยใหม่เป็นการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยทุน.