**บทความนี้ ไม่ใช่การรีวิว ,ไกด์บุ๊ก หรือ กูรู เป็นเพียงการเล่าประสบการณ์ในสิ่งที่เห็นและสัมผัส หากท่านผู้อ่านมีข้อมูลเสริมสามารถร่วมกันแชร์ได้ผ่านช่องทางแสดงความคิดเห็นด้านล่าง และขอให้สนุกกับการเดินทางไปด้วยกัน **
ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน :
• Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ สถานีรถไฟโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ชีวิตมันต้องเดินต่อไปครับ ...
ผมปรับเปลี่ยนแผนการเดิมที่จะไปเที่ยวพระราชวังอิมพีเรียล เพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจ ไปเป็นเดินเล่นในย่านสถานีโตเกียวแทน แถวนี้มีห้างที่คนไทยน่าจะรู้จัก ชื่อ “ไดมารู” น่าแปลกคือภายในห้างกลับมีอากาศอบอุ่นชวนให้ไม่อยากออกจากห้างไปสู่โลกแห่งความจริงที่หนาวเหน็บ ต่างกับบ้านเราเวลาฝนตกหรือหน้าหนาวก็จะเปิดแอร์แข่งกับภูมิอากาศ ไม่รู้ทำไม ...
ชั้นใต้ดินของสถานีโตเกียวก็มีศูนย์การค้าชื่อ ยะเอะสุ (Yaesu shopping mall) มีร้านอาหาร ร้านของฝากเยอะแยะมากมาย ที่น่าสนใจสำหรับผมก็อย่างพวกสินค้าจากการ์ตูนของค่ายโตเอะ แอนิเมชั่น เช่น ดราก้อนบอล ,วันพีช มีตุ๊กตา พวงกุญแจ การ์ด ของที่ระลึกอื่นๆ ขาย แต่ราคาก็ไม่ใช่เบา ผมได้แต่ดูเล่นไปเรื่อยๆ ไม่ได้ซื้ออะไรมา
เดินเล่นไปวนเรื่อยๆ พลางดูแผนที่ที่ทำมา มีแต่เรื่องกินๆๆ ไหนๆ ก็มาแล้วขอสำรวจหน่อย ผมจึงออกมาทาง ถนนโซะโตะโบะริ (Sotobori dori) เข้าซอยที่มีต้นไม้เยอะๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามห้างไดมารู แถวนี้มีของกินเยอะมาก อาหารไทยก็มีนะ บรรยากาศตอนนี้หม่นๆ ปนสีของไบไม้ที่เปลี่ยนออกเป็นส้มๆ เหลืองๆ เขียวๆ บางช่วงมีลมพัดเอาน้ำฝนปลิวผ่านร่มเข้าสู่ตัวผม ทำเอาสั่นได้ เดินผ่านหลายร้านที่วางโปรแกรมไว้ ได้แต่มองให้รู้ว่า เออ มาถึงแล้ว และเดินจากไป ....
จุดมุ่งหมายของผมอยู่ที่สะพานนิฮมบาชิ หากทะลุซอยนี้ไปก็จะเจอถนนจุโอ (Chuo dori) ฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้างใหญ่ๆ แลดูเป็นอาคารโบราณชื่อทะคะชิมะยะ (Takashimaya) แต่สำหรับผมต้องเลี้ยวซ้ายแล้วตรงไป ตรงไป ตรงไปอีก (ไกลเหมือนแหะ) ก็มาถึงอีก ๑ จุดสำคัญของเมืองนี้
สะพานนิฮมบาชิ หรือสะพานญี่ปุ่น (Nihonbashi) เป็นสะพานข้ามแม่น้ำแห่งแรกของกรุงเอะโดะ แต่ก่อนเป็นสะพานไม้สร้างใน พ.ศ.๒๑๔๖ ปีที่เริ่มก่อตั้งเมือง ถ้าเทียบกับบ้านเราก็ตรงกับยุคปลายรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมัยนั้นนี่เป็นย่านการค้าขนาดใหญ่เลยล่ะ ทั้งตลาดปลา ร้านเสื้อผ้า โรงละคร และของกิน เพียบ จนกระทั่งในยุคจักรพรรดิ์เมจิ ได้เปลี่ยนมาเป็นสะพานปูนที่เราเห็นกันอยู่นี่ เมื่อปี ๒๔๕๔ แถวนี้จึงมีห้างใหญ่ๆ และธนาคารแห่งชาติ รวมถึงยังเป็นที่ตั้งของ มิตสุโคะชิ (Mitsukoshi) ห้างแห่งแรกของญี่ปุ่นด้วย ต่อมาใน พ.ศ.๒๕๐๗ รัฐบาลได้สร้างทางด่วนคร่อมแม่น้ำ ทำให้พาดผ่านสะพานบดบังทัศนียภาพไม่ดังเดิม แหม่...น่าเสียดาย
ตัวเสาด้านหัวสะพานทั้ง ๔ ต้นมีรูปปั้นสิงโตเหยียบพวงมาลัยเรือ ดูน่าเกรงขาม ส่วนกลางสะพานก็มีเสาฝั่งละต้น มีรูปปั้นมังกรคู่หันหลังดูสวยสง่าดี จุดสำคัญของที่นี่คือ ตรงกลางสะพานจะมี หมุดหลักกิโลเมตรที่ ๐ อยู่ เสมือนเป็นใจกลางประเทศ อย่างถ้าเป็นบ้านเราก็จะอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ฝั่งถัดไปจากโรงเรียนสตรีวิทยา ซึ่งหมุดจริงนี่ ผมไม่ได้วิ่งไปถ่ายรูปมานะครับ กลัวโดนจับ (ไม่ได้กลัวโดนรถชน) เขาก็มีหมุดจำลองให้ถ่ายอยู่ตรงหัวสะพานฝั่งห้างมิตสุโคะชิด้วย
พอข้ามมาถึงตรงนี้ให้เดินเข้าไปในสถานีรถไฟใต้ดิน มิตสุโคะชิเมะ (Mitsukoshimae) ข้างในนั้นจะมีภาพเขียนโบราณแบบจำลองอยู่ ที่ชื่อว่า “คิได โชรัน” (Kidai Shoran) ภาพนี้สำคัญเพราะเป็นรูปวาดถึงวิถีชีวิตของคนยุคเอะโดะได้ชัดเจนมาก ซึ่งถูกวาดมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๔๘ ของจริงมีความยาวกว่า ๑๗ เมตร แสดงวิถีพลเมืองตั้งแต่บริเวณสะพาน ไปจนถึงย่าน กันดะ อิมะงะวะบาชิ (Kanda Imagawabashi) ทั้งซามูไร พ่อค้า พระ ชาวบ้าน นักแสดงโชว์ ยานพาหนะ ซึ่งที่เห็นอยู่นี่มีขนาดเพียง ๑๒ เมตร ไม่ใช่ของจริงครับ ของจริงอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย (The museum of Asian art) ในกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี โน้น
ความสนุกอย่างหนึ่งเวลาชมภาพแบบนี้ หากได้มากับเพื่อน แฟน หรือครอบครัว ก็คงจะมีบทสนทนาร่วมกันในระหว่างชมมากขึ้น เพราะได้ตามหาสิ่งต่างๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในภาพ แต่น่าเสียดายสำหรับผมที่มาคนเดียว ไม่รู้จะเล่นกับใคร ....
เดินทางต่อดีกว่า...
*สึเคะเม็งบะหมี่จุ่มซุปที่...
จุดหมายสุดท้ายของผมในวันนี้คือแหล่งขายเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ ที่ชื่อ อากิฮาบาระ (Akihabara) เป็นอีกที่หนึ่งที่อยากมามากๆ เพราะมันคือแหล่งรวมสินค้าเกี่ยวกับการ์ตูน อนิเมะที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ว่าแต่จะไปอย่างไรล่ะ เพราะตรงนี้ถือว่านอกเส้นทางที่วางไว้ในแผนที่ ผมไปยืนจดๆ จ้องๆ บนแผนที่เส้นทางรถไฟใต้ดินปะติดปะต่อเส้นทางจนได้ว่า จะต้องนั่งจากสถานีนี้ สายกินซ่า สีส้ม ที่มันเขียนว่าไปอุเอะโนะ ก็ไปลงที่สถานีนั้นล่ะ แล้วก็เดินไปขึ้นรถไฟสายฮิบิยะ สีเทา ก็จะไปถึง ในราคา ๑๗๐ เยน
ความสุขของผมกำลังจะมาถึงแล้ว ... ??
แต่ทว่า ... เมื่อมาถึงที่หมาย เพียงแค่เดินออกมาจากสถานีรถไฟ ก็กลับเจอลมพร้อมเม็ดฝนพัดพามาปะทะสู่ร่างกายที่บอบบาง ทำเอาผมแทบจะไม่อยากขยับไปไหน ผนวกกับสภาพแปรปรวนของท้องนี่มันทรมานชีวิตจริงๆ ... แผนของผมจึงต้องพับลงอย่างสิ้นเชิง แล้วเดินสำรวจสุขาแทน..
ผมพลางคิดว่า หรือเป็นเพราะผมไม่ได้กินข้าว เพราะบุฟเฟ่ต์ที่กินเมื่อกลางวันก็มีแต่ปลา ไม่มีแป้งตกถึงท้องเลย คิดอยู่สักพักก็เดินมาเจอร้านบะหมี่ในลิสต์ที่ผมศึกษามาว่า เป็นร้านที่มีคนญี่ปุ่นนิยมพอสมควร อยู่แถวๆ สถานีรถไฟเจอาร์ ชื่อ ยะสุบี สึเคะเม็ง (Tsukemen-ya Yasubee) เป็นร้านแฟรนไชส์ พอเปิดประตูเข้าไปจะต้องเดินลงบันไดไปอีกชั้น ผมเห็นคนต่อคิวอยู่ก็คิดในใจ เฮ้ย สงสัยจะอร่อยเว้ย ก็เลยลงไปต่อคิวตามเขาแล้วสังเกตุในชามที่พ่อครัวนำเสิร์ฟ เขาให้บะหมี่เปล่าๆ มา ๑ จานดูขนาดแล้วน่าจะหลายก้อนมากๆ พร้อมกับน้ำซุป ในปริมาณที่ไม่มากนัก ... ผมสัมผัสได้ว่า ในสภาพนี้อาจจะกินไม่หมดแน่ จึงเปลี่ยนใจ หันหลังเดินขึ้นบันไดจะออกจากร้าน
แต่ทันใดนั้นเอง!!!
พ่อครัวแกวิ่งตามมาพร้อมเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่น ... ผมหยุดเดิน พลางคิดในใจ ซวยแล้วกู กูไปทำอะไรให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจหรือเปล่าเนี่ย ก่อนเดินลงมา เขาก็อธิบายจนเราอนุมานได้ว่า รอสักนิดเดี๋ยวก็ได้กินแล้ว รอหน่อยนะครับ ... แต่ คือ ไอ้ที่ผมเดินหนีนี่ไม่ใช่รอไม่ได้ แต่บะหมี่พี่เนี่ยแม่งโคตรเยอะเลยครับ ด้วยอาการท้องพังขนาดนี้คงจะยัดไม่ไหวแน่ๆ ... อันนี้คิดแต่ไม่ได้พูด เพราะตอบโต้กับเขาไม่เป็น จึงต้องจำยอมต่อคิวรอรับประทาน T-T
พอถึงคิวพ่อครัวแกก็มาบอกวิธีการสั่งอาหาร ร้านราเม็งส่วนใหญ่จะใช้การจ่ายเงินแบบหยอดตู้ครับ เป็นตู้คล้ายที่กดเครื่องดื่มแล้วก็มีปุ่มต่างๆ ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ บางปุ่มมีตัวเลขกำกับ พี่แกก็อธิบายเป็นภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ (อ้าว พูดได้ก็ไม่บอกฟ่ะ) ว่า จะกินอะไร ผมก็มองๆ ดูคนเขาสั่งแล้วก็ชี้ให้แกดู แกก็กดปุ่มให้ เขาถามว่า เพิ่มท๊อปปิ้งมั้ย มีหมูต้ม ไข่ ผัก ผมบอกไม่เอา ทีนี้ให้เลือกปริมาณบะหมี่ ... ห๊ะ เลือกปริมาณคืออะไร? เขาบอกว่า ที่นี่บะหมี่ราคาเดียว ๗๖๐ เยน แต่คุณสามารถเลือกปริมาณของบะหมี่ได้ตามที่คุณจะกินให้หมด มีตั้งแต่จานเล็ก ๒๒๐ กรัม ก็ประมาณบะหมี่ ๒ ก้อน ขนาดกลาง ๓๓๐ กรัม และใหญ่ ๔๔๐ กรัม เขาหันมาถามว่า ใหญ่เลยมั้ย? ผมก็หันไปมองหน้า แล้วคิดในใจ ... นี่ถ้าท้องไม่พังจะสั่งแน่ๆ เลยบอกเขา เอาแค่มีเดี่ยมพอ ... พอเลือกได้ก็หยอดเหรียญแล้วกดตามที่สั่ง ก็จะได้ใบเสร็จมา นำใบนั้นไปยื่นที่ครัว เพื่อให้เขาทำอาหารมาเสิร์ฟ
สักพักเขาก็พาเราไปนั่งที่โต๊ะ ร้านนี้ค่อนข้างแคบมาก ทุกคนจะนั่งกินหน้าบาร์ล้อมครัวได้มองพ่อครัวลวกบะหมี่กันสนุก นี่คือวัฒนธรรมการจัดการพื้นที่แคบที่น่าสนใจดี โดยรวมก็มีราวๆ ๑๐ ที่นั่ง เราเลือกที่นั่งไม่ได้เพราะเขาจะจัดสรรไว้เผื่อแล้ว มาเดี่ยวนั่งฝั่งนี้ มาคู่นั่งฝั่งโน้น พ่อครัวนำแผ่นกระดาษใบใหญ่มาให้เรา เผื่อห่อหุ้มกล้องไม่ให้เปื้อน (ตอนแรกก็นึกว่าให้ใส่ไว้กับตัวแบบผ้ากันเปื้อนฝรั่ง) อย่างแรกที่มาเสิร์ฟคือน้ำถ่าน เป็นน้ำเปล่าที่ใส่ถ่านก้อนลงไป ไม่รู้ทำไมผมก็ไม่ได้ถาม
และสิ่งที่ผมสั่ง มันก็มาถึง .. ที่เห็นตรงหน้าคือบะหมี่ก้อนใหญ่ๆ กองพะเนินอยู่ข้างหน้า พร้อมถ้วยน้ำซุปสีแดงข้น ข้างในมีหมูสามชั้นต้ม ต้นหอมญี่ปุ่น และสาหร่ายชิ้นเบ้อเริ่ม ก่อนกินเขาบอกอันนี้เผ็ดนะ ผมก็ลองชิม ... นี่เผ็ดของพี่แล้วเหรอครับ? แต่รสมันเค็มๆ หวานๆ น้ำต้มกระดูก บวกรสเผ็ดนิด วิธีกินก็เอาเส้นจุ่มลงไปในถ้วยแล้วสูดขึ้น โอ้... อร่อยว่ะ
ทานไปสักพักก็เริ่มเห็นคนข้างๆ ทยอยลุกไปเรื่อยๆ สังเกตุในจานแต่ละคนล้วนแทบไม่มีอะไรหลงเหลือ ผมคิดในใจ หรือว่า...เราก็ต้องกินให้หมดเหมือนเขาวะ หรือถ้ากินไม่หมดแล้วพ่อครัวจะด่าเรา หรือว่า??? พลางเหลือบไปดูด้านหน้าก็เห็นพ่อครัวมองมาเป็นระยะ ... เอิ่ม..นี่..ผมกดดันนะครับ!!! จนในที่สุดก็หมด เกลี้ยง พ่อครัวหันมายิ้ม แต่ข้าพเจ้านี่น้ำตาแทบไหล ...
เหลือบดูเวลา นี่มันจะทุ่มนึงแล้ว เรายังไม่ได้เช็กอินเข้าที่พักเลย วันนี้จึงแทบจะไม่ได้เดินเที่ยวแหล่งสำคัญของผม เพราะมัวแต่ไปตามหาสุขา เรื่องเศร้าวันนี้ก็จบลง ด้วยการขึ้นรถไฟไปยังสถานีอะซะกุสะบาชิ กลับสู่ที่ซุกหัวนอนคืนนี้ และอีก ๒ คืนที่เหลือ ...
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ข้าวสารโตเกียวนินจาโฮสเทล กรุงโตเกียว
อาการป่วยของผมดีขึ้นมาก แทบจะไม่ปวดท้องแล้ว ร่างกายปรับตัวได้รู้สึกไม่หนาวเหมือนวันแรก อากาศวันนี้น่าจะไม่ถึง ๒๐ องศาได้ คงเป็นเพราะความเพลียทำให้ผมตื่นมาเกือบ ๙ โมง แต่นั่นก็ไม่ทำให้รู้สึกผิดแผนมากนัก เพราะโปรแกรมบางส่วนที่วางไว้มันล่มหลังจากที่จองตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฟุจิโกะ เอฟ ฟุจิโอะ ไม่ได้เมื่อช่วงเย็นวาน ... ไม่เป็นไรครับ
มองดูท้องฟ้าวันนี้เคลียร์แดดเปรี้ยง ตามที่พยากรณ์อากาศเขาได้บอกไว้ ต่างกับบรรยากาศเมื่อวานลิบลับ ทำไมบ้านเราไม่แม่นอย่างนี้บ้างวะ อาบน้ำแต่งตัวลงมายังล๊อบบี้เพื่อหยิบรองเท้าที่วางไว้บนชั้นวาง แต่... รองเท้าหาย!!! เฮ้ย อีแตะเหลืองกากๆ คู่นั้นหายไปได้ไงวะ? เดินเข้าไปถามในล๊อบบี้พนักงานก็ช่วยกันหาอย่างจ้าละหวั่น สุดท้ายไม่เจอ มันหายไป ผมมั่นใจว่าต้องมีใครสักคนหยิบผิดแน่ๆ แล้ว...จะออกไปไหนได้ยังไงเนี่ย ... พนักงานคนหนึ่งก็บอกว่า เอาอย่างนี้เดี๋ยวคุณเอาอีแตะของโฮสเทลไปใช้ ผมดูลักษณะเป็นรองเท้าที่คล้ายกัน ขนาดไม่ต่างกัน จึงขอบคุณเขาที่ให้หยิบยืม ก่อนจะเดินจากมาพร้อมกับอีแตะคู่ใหม่
*ไปดูฟูจิซังบนยอดเขากันเถอะ...
วันนี้เราจะไปเดินป่ากันครับ ... ก่อนออกมาพนักงานสาวยุ่น ก็ถามผมว่า จะไปไหน พอผมบอกสถานที่เขาถึงกับร้อง ห๊ะ! จริงหรือ? กับอีแตะเนี่ยนะ? ... เดี๋ยวก็รู้
ก่อนอื่นผมต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานีเจอาร์ อะซะกุสะบาชิ เพื่อลงที่สถานีชินจุกุ เขาว่าสถานีนี้นี่มีคนใช้บริการเยอะที่สุดในญี่ปุ่น เพราะเป็นจุดต่อรถขนาดใหญ่ มันก็ดูวุ่นวายจริงๆ ครับ เมื่อมาถึง ผมจะต้องไปที่สถานีรถไฟยี่ห้อเคย์โอะ เพื่อซื้อตั๋วไปยังจุดหมายของเรานั่นคือ “ทะคะโอะซัง” (Takaosan) ภูเขาที่อยู่ทางตะวันตกของกรุงโตเกียว เรียกได้ว่าขอบเมืองเลยล่ะ
ตั๋วที่ผมซื้อเป็นตั๋วเหมา Mt.Takao round trip ไปกลับ และนั่งแชร์ลิฟท์หรือกระเช้าได้ ๑ ครั้ง ในราคารวม ๑,๐๒๐ เยน ถ้าจะนั่งกระเช้าไปกลับก็ ๑,๓๘๐ เยน แต่ผมมีภารกิจที่นั่งได้แค่รอบเดียว เลยเลือกซื้อในราคาแรก ต้องหยอดตู้เหมือนเดิม งงเหมือนเดิม จนต้องให้พนักงานมาช่วยกด จะได้ตั๋วมา ๓ ใบ และการ์ดที่ผมแปลไม่ออกอีก ๑ ใบ
ระหว่างรอรถไฟเนี่ย ผมก็หาเครื่องดื่มรองท้องเจอตู้กดเครื่องดื่มกระป๋องแบบบ้านเรา วิธีใช้ก็เหมือนกัน หยอดเหรียญหรือใส่ธนบัตรแล้วกดปุ่มเลือกสินค้า ง่ายๆ ธรรมดา ใครๆ ก็เคย ... ผมมองจนเห็นสิ่งที่อยากดื่มแล้วจึงบรรจงหยอดตังค์ลงไป แต่ทีนี้ผมก็เห็นว่า มันมีปุ่มทั้งสีแดงและสีน้ำเงิน ผมก็ชะงัก ไอ้ปุ่มไฟสีแดงมันขึ้นตรงกระป๋องชาเขียวที่ผมอยากกิน .. เฮ้ยมันหมดเหรอวะ ด้วยความซนก็เลยลองกดเล่นๆ เผื่อว่ามันจะยังมีเหลือ พอนิ้วจิ้มปุ๊บ เครื่องก็ทำงาน แล้วมันก็ไหลลงมาสู่ช่องรับสินค้า ผมนี่งงเลย โอ้... เครื่องญี่ปุ่นรวนเว้ย มีหลอกด้วย ... ด้วยความดีใจก็รีบไปคว้าชาเขียวที่ผมกดมา พอเอามือไปจับผมนี่รีบชักมือกลับเลยครับ .... เพราะไอ้ไฟแดงๆ ที่ว่านี่ มันหมายถึงเครื่องดื่มร้อน!!! ไม่ได้หมายความว่าหมด โถ... โชว์โง่อีกแล้วสิเรา
รถไฟใช้เวลาเกือบชั่วโมงก็ถึงสถานี ทะคะโอะซังกุจิ (TAKAOSANGUCHI) ไกลเหมือนกันแหะ แค่ออกมาจากสถานีก็ยิ้มกริ่มกับบรรยากาศของสถานีที่ล้อมด้วยภูเขาใบไม้เปลี่ยนสีแดงส้มเหลืองสลับกัน คนมาเที่ยววันนี้เยอะมาก นี่ขนาดวันธรรมดานะ จากสถานีรถไฟเราต้องเดินไปอีกนิดนึงก็จะถึงทางเข้า แต่ก่อนหน้านั้นต้องหาอะไรกินสักหน่อย แถวนี้มีร้านขายของเบ็ดเตล็ด ผมเดินเข้าไปเลือกสิ่งที่ดูน่าจะทานง่ายที่สุด คือ ข้าวห่อสาหร่าย หรือ โอนิกิริ แต่...มันมีแต่ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ ... ต้องเสี่ยงดวงเอา และโชคก็เข้าข้างผม ไส้ในคือทูน่า เย้
ระหว่างทางเข้านี่มีสินค้าวางขายหลากหลายสิ่ง ผมไม่สน ไว้ขากลับค่อยว่ากัน เดินดุ่มๆ จนมาถึงหน้าสถานีรถราง คิโยะทะกิ (Kiyotaki) ตรงนี้ก็มีจุดใบไม้เปลี่ยนสีให้ได้แวะถ่ายรูปกัน ผมพอเห็นได้แต่ยิ้ม มันสวยมากเกินความสามารถที่ผมจะถ่ายภาพให้ได้เสมือนกับความรู้สึกที่ยืนอยู่ตอนนี้ มันยิ่งทำให้ผมอยากจะขึ้นไปถึงข้างบนให้เร็วที่สุด ว่าแต่ ... จะขึ้นไปยังไง
ที่ภูเขานี้มีทางให้ขึ้นไปได้หลายทางแต่ที่ฮิตๆ กันไม่เดินก็นั่งรถรางหรือแชร์ลิฟท์ครับ ถ้านั่งรถรางก็จะย่นเวลาไปได้มาก แต่จากนั้นก็ต้องเดินตามเส้นทางเดินธรรมชาติสายที่ ๑ ขึ้นไปอีกราวๆ ๒ กิโลเมตรได้ หรือจากจุดนี้ก็สามารถเดินไปชมวิวในเส้นทางเดินธรรมชาติสายที่ ๒ ,๓ และ ๔ ได้เช่นกัน แต่ถ้าทรหดหน่อยก็สามารถเดินตามเส้นทางสายที่ ๑ ตั้งแต่ต้นสถานีรถรางเลยก็ได้ ส่วนผมนั้นเป็นพวกประหลาด เลือกเส้นทางสายที่ ๖ เดินอ้อมไปอีกทางหนึ่ง รวมระยะประมาณ ๓.๓ กิโลเมตรได้ นี่คือแผนที่วางไว้
สภาพที่เจอจริงๆ ก็คือพื้นผิวแฉะๆ เพราะเพิ่งผ่านฝนเมื่อคืนนี้ แลดูไม่เหมาะกับอีแตะของผมมาก แต่!! ผมพร้อมสู้อยู่แล้ว พอเอาเข้าจริงมันก็ง่ายมากเลยครับ เจ้าหน้าที่มาถางทางให้เรียบตั้งแต่เช้า ทำให้เดินสะดวกขึ้น ระหว่างทางก็จะให้ผู้สูงวัยมาท่องธรรมชาติ เป็นคู่รักบ้าง เดี่ยวบ้าง นอกนั้นก็มีฝรั่ง แต่วัยรุ่นนี่ไม่เห็นเลย อากาศนี่ก็โหดใช่ย่อย ไม่ทราบว่าอุณหภูมิเท่าไหร่ แต่ผมนี่หนาวควันออกปากเลยครับ
เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเจอ น้ำตกบิว่ะ (Biwa) ๑ ในไฮไลท์ของเส้นทางนี้ เป็นน้ำตกเล็กๆ อยู่ในศาลเจ้า บริเวณน้ำตกนี่เขาขึงเชือกพร้อมกระดาษสีขาวสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเป็นพวงๆ แบบในการ์ตูนที่เคยดู ผมว่ามันน่าจะคล้ายๆ กับความเชื่อเรื่องสายสิญจน์ บ้านเรากระมัง ตรงศาลเจ้ามีกระพรวนห้อยอยู่ เราสามารถเขาไปเขย่าและหยอดเงินบริจาคใส่ตู้เพื่อความเป็นสิริมงคลได้ ผมก็ลอง... แต่ระหว่างเขย่าบังเอิญได้ยินเสียงสวดมนต์อยู่ภายในศาลเจ้าเล็กๆ นั่น .. เฮ้ย หรือว่า??? ฟังสักพักก็เริ่มสัมผัสได้ว่า น่าจะมีคนสวดอยู่ในนั้นแน่นอน ...
เส้นทางนี้พอเดินมาเรื่อยๆ จากป่าที่มืดทึบเริ่มเห็นแสงอาทิตย์ส่อง เห็นใบไม้ที่เปลี่ยนเป็นสีแดง ส้ม ร่วงหล่นบนพื้น ดูสุนทรีย์มาก ที่นี่จะมีป้ายบอกเป็นระยะว่าตอนนี้เดินมาได้เท่าไหร่ และมีเขียนกำกับความรู้ไว้ เช่น สัตว์ , พืช ,ต้นไม้ และก้อนหิน ในบริเวณนั้น ผมนี่นึกถึงสถานที่หนึ่งในเมืองไทยแล้วผมประทับใจมาก นั่นคือ เส้นทางเดินธรรมชาติ “กิ่วแม่ปาน ดอยอินทนนท์” ความรู้สึกของการเดินคล้ายกันค่อนข้างมาก
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับธรรมชาติไปเรื่อยๆ แต่สักพักก็ต้องมาหยุดงงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เมื่อผมเห็นป้ายภาษาญี่ปุ่น เขียนอะไรไม่ทราบได้ แต่มีเลข ๖ และลูกศรตรงเข้าไปในลำธารเล็กๆ ลึกเข้าไปในป่า แต่ทว่าด้านซ้ายมือก็เป็นทางเดินปกติ แต่ไม่ได้มีป้ายระบุไว้ว่าไปไหน ... แล้วผมควรจะเลือกอะไรดี? ซ้ายหรือตรง? ทันใดนั้นก็มีลุงคนหนึ่งเดินจ้ำๆ แล้วพุ่งเข้าไปตามลำธาร ... เฮ้ย หรือว่าจะเป็นทางนี้ที่ไปสู่จุดหมายได้? ก็เลยเดินเหยียบโขดหินเลาะริมธารตามเขาไป จนในที่สุดก็เห็นทางเชื่อมสู่ทางเดินปกติ .... (มารู้ในภายหลังว่า ไอ้ตรงนี้ก็เป็นอีก ๑ จุดไฮไลท์)
พอผ่านช่วงนั้นมาได้ ก็จะพบกับบันไดที่ใช้ไม้กั้นเป็นชั้นๆ ซึ่งเมื่อขึ้นมาจนสุดก็จะเห็นลานกว้างๆ มีม้านั่งให้พักเหนื่อย นี่คือจุดสิ้นสุดของเส้นทางที่ ๖ และเป็นจุดเชื่อมของเส้นทางธรรมชาติที่ ๕ เส้นทางนี้จะเดินวนรอบยอดเขา เราไม่ไป เราใช้มันเพียงแค่นำพาให้ไปบรรจบกับเส้นทางที่ ๑ เพื่อขึ้นสู่ยอดเขา ซึ่งไม่ไกลมากและจุดนี้ก็มีคนพลุกพล่านทยอยเดินขึ้นลงสลับกันอย่างต่อเนื่อง ภูเขานี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเล ๕๕๙ เมตร เป็นส่วนหนึ่งของวนอุทยานแห่งชาติ เมจิ โนะ โมะริ ทะคะโอะ ( Meiji no Mori Takao Quasi-National Park) ในเมือง ฮะจิโอะจิ (Hachioji)
สุดทางเดินของเส้นทางที่ ๑ ก็คือลานกว้างให้นักเดินทางพักผ่อน นั่งชมทิวทัศน์ที่สำคัญที่สุดของที่นี่ ... ภูเขาไฟฟูจิ แม้จะอยู่ไกลลิบตา แต่มันก็เด่นเป็นสง่าให้เรารู้สึกหายเหนื่อยได้เป็นปลิดทิ้ง
แถวนี้มีที่ให้ถ่ายรูปเยอะเหมือนกัน นอกจากวิวภูเขาไฟฟูจิแล้ว ด้านซอยข้างๆ ก็มีต้นเมเปิ้ลที่ยืนต้นเกาะกลุ่มเปลี่ยนสีแดงสวยงามให้ได้ยล มีโต๊ะเก้าอี้ไม้ให้นั่งพักผ่อนเปลี่ยนอิริยาบถใต้ต้นไม้ใหญ่ ส่วนตรงทางเดินหลักนี่ ผมเห็นวัยรุ่นคู่นึ่งเขาจัดหนัก นั่งริมบันไดแล้วเอาเตาเล็กๆ มาจุดไฟอุ่นเหล้า อาหาร นั่งตากแดดกินบรรยากาศ ตรงลานกว้างนี้ยังมีจุดชมท้องทุ่งอาคารคอนกรีตบนพื้นล่างด้วย ถือว่าคุ้มจริงๆ กับการมาเยือน
.... เมื่ออยู่พักจนพอใจแล้วก็เดินทางลงเขาดีกว่าครับ
(อ่านต่อฉบับหน้า...)
ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน :
• Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ สถานีรถไฟโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ชีวิตมันต้องเดินต่อไปครับ ...
ผมปรับเปลี่ยนแผนการเดิมที่จะไปเที่ยวพระราชวังอิมพีเรียล เพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจ ไปเป็นเดินเล่นในย่านสถานีโตเกียวแทน แถวนี้มีห้างที่คนไทยน่าจะรู้จัก ชื่อ “ไดมารู” น่าแปลกคือภายในห้างกลับมีอากาศอบอุ่นชวนให้ไม่อยากออกจากห้างไปสู่โลกแห่งความจริงที่หนาวเหน็บ ต่างกับบ้านเราเวลาฝนตกหรือหน้าหนาวก็จะเปิดแอร์แข่งกับภูมิอากาศ ไม่รู้ทำไม ...
ชั้นใต้ดินของสถานีโตเกียวก็มีศูนย์การค้าชื่อ ยะเอะสุ (Yaesu shopping mall) มีร้านอาหาร ร้านของฝากเยอะแยะมากมาย ที่น่าสนใจสำหรับผมก็อย่างพวกสินค้าจากการ์ตูนของค่ายโตเอะ แอนิเมชั่น เช่น ดราก้อนบอล ,วันพีช มีตุ๊กตา พวงกุญแจ การ์ด ของที่ระลึกอื่นๆ ขาย แต่ราคาก็ไม่ใช่เบา ผมได้แต่ดูเล่นไปเรื่อยๆ ไม่ได้ซื้ออะไรมา
เดินเล่นไปวนเรื่อยๆ พลางดูแผนที่ที่ทำมา มีแต่เรื่องกินๆๆ ไหนๆ ก็มาแล้วขอสำรวจหน่อย ผมจึงออกมาทาง ถนนโซะโตะโบะริ (Sotobori dori) เข้าซอยที่มีต้นไม้เยอะๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามห้างไดมารู แถวนี้มีของกินเยอะมาก อาหารไทยก็มีนะ บรรยากาศตอนนี้หม่นๆ ปนสีของไบไม้ที่เปลี่ยนออกเป็นส้มๆ เหลืองๆ เขียวๆ บางช่วงมีลมพัดเอาน้ำฝนปลิวผ่านร่มเข้าสู่ตัวผม ทำเอาสั่นได้ เดินผ่านหลายร้านที่วางโปรแกรมไว้ ได้แต่มองให้รู้ว่า เออ มาถึงแล้ว และเดินจากไป ....
จุดมุ่งหมายของผมอยู่ที่สะพานนิฮมบาชิ หากทะลุซอยนี้ไปก็จะเจอถนนจุโอ (Chuo dori) ฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้างใหญ่ๆ แลดูเป็นอาคารโบราณชื่อทะคะชิมะยะ (Takashimaya) แต่สำหรับผมต้องเลี้ยวซ้ายแล้วตรงไป ตรงไป ตรงไปอีก (ไกลเหมือนแหะ) ก็มาถึงอีก ๑ จุดสำคัญของเมืองนี้
สะพานนิฮมบาชิ หรือสะพานญี่ปุ่น (Nihonbashi) เป็นสะพานข้ามแม่น้ำแห่งแรกของกรุงเอะโดะ แต่ก่อนเป็นสะพานไม้สร้างใน พ.ศ.๒๑๔๖ ปีที่เริ่มก่อตั้งเมือง ถ้าเทียบกับบ้านเราก็ตรงกับยุคปลายรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมัยนั้นนี่เป็นย่านการค้าขนาดใหญ่เลยล่ะ ทั้งตลาดปลา ร้านเสื้อผ้า โรงละคร และของกิน เพียบ จนกระทั่งในยุคจักรพรรดิ์เมจิ ได้เปลี่ยนมาเป็นสะพานปูนที่เราเห็นกันอยู่นี่ เมื่อปี ๒๔๕๔ แถวนี้จึงมีห้างใหญ่ๆ และธนาคารแห่งชาติ รวมถึงยังเป็นที่ตั้งของ มิตสุโคะชิ (Mitsukoshi) ห้างแห่งแรกของญี่ปุ่นด้วย ต่อมาใน พ.ศ.๒๕๐๗ รัฐบาลได้สร้างทางด่วนคร่อมแม่น้ำ ทำให้พาดผ่านสะพานบดบังทัศนียภาพไม่ดังเดิม แหม่...น่าเสียดาย
ตัวเสาด้านหัวสะพานทั้ง ๔ ต้นมีรูปปั้นสิงโตเหยียบพวงมาลัยเรือ ดูน่าเกรงขาม ส่วนกลางสะพานก็มีเสาฝั่งละต้น มีรูปปั้นมังกรคู่หันหลังดูสวยสง่าดี จุดสำคัญของที่นี่คือ ตรงกลางสะพานจะมี หมุดหลักกิโลเมตรที่ ๐ อยู่ เสมือนเป็นใจกลางประเทศ อย่างถ้าเป็นบ้านเราก็จะอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ฝั่งถัดไปจากโรงเรียนสตรีวิทยา ซึ่งหมุดจริงนี่ ผมไม่ได้วิ่งไปถ่ายรูปมานะครับ กลัวโดนจับ (ไม่ได้กลัวโดนรถชน) เขาก็มีหมุดจำลองให้ถ่ายอยู่ตรงหัวสะพานฝั่งห้างมิตสุโคะชิด้วย
พอข้ามมาถึงตรงนี้ให้เดินเข้าไปในสถานีรถไฟใต้ดิน มิตสุโคะชิเมะ (Mitsukoshimae) ข้างในนั้นจะมีภาพเขียนโบราณแบบจำลองอยู่ ที่ชื่อว่า “คิได โชรัน” (Kidai Shoran) ภาพนี้สำคัญเพราะเป็นรูปวาดถึงวิถีชีวิตของคนยุคเอะโดะได้ชัดเจนมาก ซึ่งถูกวาดมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๔๘ ของจริงมีความยาวกว่า ๑๗ เมตร แสดงวิถีพลเมืองตั้งแต่บริเวณสะพาน ไปจนถึงย่าน กันดะ อิมะงะวะบาชิ (Kanda Imagawabashi) ทั้งซามูไร พ่อค้า พระ ชาวบ้าน นักแสดงโชว์ ยานพาหนะ ซึ่งที่เห็นอยู่นี่มีขนาดเพียง ๑๒ เมตร ไม่ใช่ของจริงครับ ของจริงอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย (The museum of Asian art) ในกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี โน้น
ความสนุกอย่างหนึ่งเวลาชมภาพแบบนี้ หากได้มากับเพื่อน แฟน หรือครอบครัว ก็คงจะมีบทสนทนาร่วมกันในระหว่างชมมากขึ้น เพราะได้ตามหาสิ่งต่างๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในภาพ แต่น่าเสียดายสำหรับผมที่มาคนเดียว ไม่รู้จะเล่นกับใคร ....
เดินทางต่อดีกว่า...
*สึเคะเม็งบะหมี่จุ่มซุปที่...
จุดหมายสุดท้ายของผมในวันนี้คือแหล่งขายเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ ที่ชื่อ อากิฮาบาระ (Akihabara) เป็นอีกที่หนึ่งที่อยากมามากๆ เพราะมันคือแหล่งรวมสินค้าเกี่ยวกับการ์ตูน อนิเมะที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ว่าแต่จะไปอย่างไรล่ะ เพราะตรงนี้ถือว่านอกเส้นทางที่วางไว้ในแผนที่ ผมไปยืนจดๆ จ้องๆ บนแผนที่เส้นทางรถไฟใต้ดินปะติดปะต่อเส้นทางจนได้ว่า จะต้องนั่งจากสถานีนี้ สายกินซ่า สีส้ม ที่มันเขียนว่าไปอุเอะโนะ ก็ไปลงที่สถานีนั้นล่ะ แล้วก็เดินไปขึ้นรถไฟสายฮิบิยะ สีเทา ก็จะไปถึง ในราคา ๑๗๐ เยน
ความสุขของผมกำลังจะมาถึงแล้ว ... ??
แต่ทว่า ... เมื่อมาถึงที่หมาย เพียงแค่เดินออกมาจากสถานีรถไฟ ก็กลับเจอลมพร้อมเม็ดฝนพัดพามาปะทะสู่ร่างกายที่บอบบาง ทำเอาผมแทบจะไม่อยากขยับไปไหน ผนวกกับสภาพแปรปรวนของท้องนี่มันทรมานชีวิตจริงๆ ... แผนของผมจึงต้องพับลงอย่างสิ้นเชิง แล้วเดินสำรวจสุขาแทน..
ผมพลางคิดว่า หรือเป็นเพราะผมไม่ได้กินข้าว เพราะบุฟเฟ่ต์ที่กินเมื่อกลางวันก็มีแต่ปลา ไม่มีแป้งตกถึงท้องเลย คิดอยู่สักพักก็เดินมาเจอร้านบะหมี่ในลิสต์ที่ผมศึกษามาว่า เป็นร้านที่มีคนญี่ปุ่นนิยมพอสมควร อยู่แถวๆ สถานีรถไฟเจอาร์ ชื่อ ยะสุบี สึเคะเม็ง (Tsukemen-ya Yasubee) เป็นร้านแฟรนไชส์ พอเปิดประตูเข้าไปจะต้องเดินลงบันไดไปอีกชั้น ผมเห็นคนต่อคิวอยู่ก็คิดในใจ เฮ้ย สงสัยจะอร่อยเว้ย ก็เลยลงไปต่อคิวตามเขาแล้วสังเกตุในชามที่พ่อครัวนำเสิร์ฟ เขาให้บะหมี่เปล่าๆ มา ๑ จานดูขนาดแล้วน่าจะหลายก้อนมากๆ พร้อมกับน้ำซุป ในปริมาณที่ไม่มากนัก ... ผมสัมผัสได้ว่า ในสภาพนี้อาจจะกินไม่หมดแน่ จึงเปลี่ยนใจ หันหลังเดินขึ้นบันไดจะออกจากร้าน
แต่ทันใดนั้นเอง!!!
พ่อครัวแกวิ่งตามมาพร้อมเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่น ... ผมหยุดเดิน พลางคิดในใจ ซวยแล้วกู กูไปทำอะไรให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจหรือเปล่าเนี่ย ก่อนเดินลงมา เขาก็อธิบายจนเราอนุมานได้ว่า รอสักนิดเดี๋ยวก็ได้กินแล้ว รอหน่อยนะครับ ... แต่ คือ ไอ้ที่ผมเดินหนีนี่ไม่ใช่รอไม่ได้ แต่บะหมี่พี่เนี่ยแม่งโคตรเยอะเลยครับ ด้วยอาการท้องพังขนาดนี้คงจะยัดไม่ไหวแน่ๆ ... อันนี้คิดแต่ไม่ได้พูด เพราะตอบโต้กับเขาไม่เป็น จึงต้องจำยอมต่อคิวรอรับประทาน T-T
พอถึงคิวพ่อครัวแกก็มาบอกวิธีการสั่งอาหาร ร้านราเม็งส่วนใหญ่จะใช้การจ่ายเงินแบบหยอดตู้ครับ เป็นตู้คล้ายที่กดเครื่องดื่มแล้วก็มีปุ่มต่างๆ ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ บางปุ่มมีตัวเลขกำกับ พี่แกก็อธิบายเป็นภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ (อ้าว พูดได้ก็ไม่บอกฟ่ะ) ว่า จะกินอะไร ผมก็มองๆ ดูคนเขาสั่งแล้วก็ชี้ให้แกดู แกก็กดปุ่มให้ เขาถามว่า เพิ่มท๊อปปิ้งมั้ย มีหมูต้ม ไข่ ผัก ผมบอกไม่เอา ทีนี้ให้เลือกปริมาณบะหมี่ ... ห๊ะ เลือกปริมาณคืออะไร? เขาบอกว่า ที่นี่บะหมี่ราคาเดียว ๗๖๐ เยน แต่คุณสามารถเลือกปริมาณของบะหมี่ได้ตามที่คุณจะกินให้หมด มีตั้งแต่จานเล็ก ๒๒๐ กรัม ก็ประมาณบะหมี่ ๒ ก้อน ขนาดกลาง ๓๓๐ กรัม และใหญ่ ๔๔๐ กรัม เขาหันมาถามว่า ใหญ่เลยมั้ย? ผมก็หันไปมองหน้า แล้วคิดในใจ ... นี่ถ้าท้องไม่พังจะสั่งแน่ๆ เลยบอกเขา เอาแค่มีเดี่ยมพอ ... พอเลือกได้ก็หยอดเหรียญแล้วกดตามที่สั่ง ก็จะได้ใบเสร็จมา นำใบนั้นไปยื่นที่ครัว เพื่อให้เขาทำอาหารมาเสิร์ฟ
สักพักเขาก็พาเราไปนั่งที่โต๊ะ ร้านนี้ค่อนข้างแคบมาก ทุกคนจะนั่งกินหน้าบาร์ล้อมครัวได้มองพ่อครัวลวกบะหมี่กันสนุก นี่คือวัฒนธรรมการจัดการพื้นที่แคบที่น่าสนใจดี โดยรวมก็มีราวๆ ๑๐ ที่นั่ง เราเลือกที่นั่งไม่ได้เพราะเขาจะจัดสรรไว้เผื่อแล้ว มาเดี่ยวนั่งฝั่งนี้ มาคู่นั่งฝั่งโน้น พ่อครัวนำแผ่นกระดาษใบใหญ่มาให้เรา เผื่อห่อหุ้มกล้องไม่ให้เปื้อน (ตอนแรกก็นึกว่าให้ใส่ไว้กับตัวแบบผ้ากันเปื้อนฝรั่ง) อย่างแรกที่มาเสิร์ฟคือน้ำถ่าน เป็นน้ำเปล่าที่ใส่ถ่านก้อนลงไป ไม่รู้ทำไมผมก็ไม่ได้ถาม
และสิ่งที่ผมสั่ง มันก็มาถึง .. ที่เห็นตรงหน้าคือบะหมี่ก้อนใหญ่ๆ กองพะเนินอยู่ข้างหน้า พร้อมถ้วยน้ำซุปสีแดงข้น ข้างในมีหมูสามชั้นต้ม ต้นหอมญี่ปุ่น และสาหร่ายชิ้นเบ้อเริ่ม ก่อนกินเขาบอกอันนี้เผ็ดนะ ผมก็ลองชิม ... นี่เผ็ดของพี่แล้วเหรอครับ? แต่รสมันเค็มๆ หวานๆ น้ำต้มกระดูก บวกรสเผ็ดนิด วิธีกินก็เอาเส้นจุ่มลงไปในถ้วยแล้วสูดขึ้น โอ้... อร่อยว่ะ
ทานไปสักพักก็เริ่มเห็นคนข้างๆ ทยอยลุกไปเรื่อยๆ สังเกตุในจานแต่ละคนล้วนแทบไม่มีอะไรหลงเหลือ ผมคิดในใจ หรือว่า...เราก็ต้องกินให้หมดเหมือนเขาวะ หรือถ้ากินไม่หมดแล้วพ่อครัวจะด่าเรา หรือว่า??? พลางเหลือบไปดูด้านหน้าก็เห็นพ่อครัวมองมาเป็นระยะ ... เอิ่ม..นี่..ผมกดดันนะครับ!!! จนในที่สุดก็หมด เกลี้ยง พ่อครัวหันมายิ้ม แต่ข้าพเจ้านี่น้ำตาแทบไหล ...
เหลือบดูเวลา นี่มันจะทุ่มนึงแล้ว เรายังไม่ได้เช็กอินเข้าที่พักเลย วันนี้จึงแทบจะไม่ได้เดินเที่ยวแหล่งสำคัญของผม เพราะมัวแต่ไปตามหาสุขา เรื่องเศร้าวันนี้ก็จบลง ด้วยการขึ้นรถไฟไปยังสถานีอะซะกุสะบาชิ กลับสู่ที่ซุกหัวนอนคืนนี้ และอีก ๒ คืนที่เหลือ ...
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ข้าวสารโตเกียวนินจาโฮสเทล กรุงโตเกียว
อาการป่วยของผมดีขึ้นมาก แทบจะไม่ปวดท้องแล้ว ร่างกายปรับตัวได้รู้สึกไม่หนาวเหมือนวันแรก อากาศวันนี้น่าจะไม่ถึง ๒๐ องศาได้ คงเป็นเพราะความเพลียทำให้ผมตื่นมาเกือบ ๙ โมง แต่นั่นก็ไม่ทำให้รู้สึกผิดแผนมากนัก เพราะโปรแกรมบางส่วนที่วางไว้มันล่มหลังจากที่จองตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฟุจิโกะ เอฟ ฟุจิโอะ ไม่ได้เมื่อช่วงเย็นวาน ... ไม่เป็นไรครับ
มองดูท้องฟ้าวันนี้เคลียร์แดดเปรี้ยง ตามที่พยากรณ์อากาศเขาได้บอกไว้ ต่างกับบรรยากาศเมื่อวานลิบลับ ทำไมบ้านเราไม่แม่นอย่างนี้บ้างวะ อาบน้ำแต่งตัวลงมายังล๊อบบี้เพื่อหยิบรองเท้าที่วางไว้บนชั้นวาง แต่... รองเท้าหาย!!! เฮ้ย อีแตะเหลืองกากๆ คู่นั้นหายไปได้ไงวะ? เดินเข้าไปถามในล๊อบบี้พนักงานก็ช่วยกันหาอย่างจ้าละหวั่น สุดท้ายไม่เจอ มันหายไป ผมมั่นใจว่าต้องมีใครสักคนหยิบผิดแน่ๆ แล้ว...จะออกไปไหนได้ยังไงเนี่ย ... พนักงานคนหนึ่งก็บอกว่า เอาอย่างนี้เดี๋ยวคุณเอาอีแตะของโฮสเทลไปใช้ ผมดูลักษณะเป็นรองเท้าที่คล้ายกัน ขนาดไม่ต่างกัน จึงขอบคุณเขาที่ให้หยิบยืม ก่อนจะเดินจากมาพร้อมกับอีแตะคู่ใหม่
*ไปดูฟูจิซังบนยอดเขากันเถอะ...
วันนี้เราจะไปเดินป่ากันครับ ... ก่อนออกมาพนักงานสาวยุ่น ก็ถามผมว่า จะไปไหน พอผมบอกสถานที่เขาถึงกับร้อง ห๊ะ! จริงหรือ? กับอีแตะเนี่ยนะ? ... เดี๋ยวก็รู้
ก่อนอื่นผมต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานีเจอาร์ อะซะกุสะบาชิ เพื่อลงที่สถานีชินจุกุ เขาว่าสถานีนี้นี่มีคนใช้บริการเยอะที่สุดในญี่ปุ่น เพราะเป็นจุดต่อรถขนาดใหญ่ มันก็ดูวุ่นวายจริงๆ ครับ เมื่อมาถึง ผมจะต้องไปที่สถานีรถไฟยี่ห้อเคย์โอะ เพื่อซื้อตั๋วไปยังจุดหมายของเรานั่นคือ “ทะคะโอะซัง” (Takaosan) ภูเขาที่อยู่ทางตะวันตกของกรุงโตเกียว เรียกได้ว่าขอบเมืองเลยล่ะ
ตั๋วที่ผมซื้อเป็นตั๋วเหมา Mt.Takao round trip ไปกลับ และนั่งแชร์ลิฟท์หรือกระเช้าได้ ๑ ครั้ง ในราคารวม ๑,๐๒๐ เยน ถ้าจะนั่งกระเช้าไปกลับก็ ๑,๓๘๐ เยน แต่ผมมีภารกิจที่นั่งได้แค่รอบเดียว เลยเลือกซื้อในราคาแรก ต้องหยอดตู้เหมือนเดิม งงเหมือนเดิม จนต้องให้พนักงานมาช่วยกด จะได้ตั๋วมา ๓ ใบ และการ์ดที่ผมแปลไม่ออกอีก ๑ ใบ
ระหว่างรอรถไฟเนี่ย ผมก็หาเครื่องดื่มรองท้องเจอตู้กดเครื่องดื่มกระป๋องแบบบ้านเรา วิธีใช้ก็เหมือนกัน หยอดเหรียญหรือใส่ธนบัตรแล้วกดปุ่มเลือกสินค้า ง่ายๆ ธรรมดา ใครๆ ก็เคย ... ผมมองจนเห็นสิ่งที่อยากดื่มแล้วจึงบรรจงหยอดตังค์ลงไป แต่ทีนี้ผมก็เห็นว่า มันมีปุ่มทั้งสีแดงและสีน้ำเงิน ผมก็ชะงัก ไอ้ปุ่มไฟสีแดงมันขึ้นตรงกระป๋องชาเขียวที่ผมอยากกิน .. เฮ้ยมันหมดเหรอวะ ด้วยความซนก็เลยลองกดเล่นๆ เผื่อว่ามันจะยังมีเหลือ พอนิ้วจิ้มปุ๊บ เครื่องก็ทำงาน แล้วมันก็ไหลลงมาสู่ช่องรับสินค้า ผมนี่งงเลย โอ้... เครื่องญี่ปุ่นรวนเว้ย มีหลอกด้วย ... ด้วยความดีใจก็รีบไปคว้าชาเขียวที่ผมกดมา พอเอามือไปจับผมนี่รีบชักมือกลับเลยครับ .... เพราะไอ้ไฟแดงๆ ที่ว่านี่ มันหมายถึงเครื่องดื่มร้อน!!! ไม่ได้หมายความว่าหมด โถ... โชว์โง่อีกแล้วสิเรา
รถไฟใช้เวลาเกือบชั่วโมงก็ถึงสถานี ทะคะโอะซังกุจิ (TAKAOSANGUCHI) ไกลเหมือนกันแหะ แค่ออกมาจากสถานีก็ยิ้มกริ่มกับบรรยากาศของสถานีที่ล้อมด้วยภูเขาใบไม้เปลี่ยนสีแดงส้มเหลืองสลับกัน คนมาเที่ยววันนี้เยอะมาก นี่ขนาดวันธรรมดานะ จากสถานีรถไฟเราต้องเดินไปอีกนิดนึงก็จะถึงทางเข้า แต่ก่อนหน้านั้นต้องหาอะไรกินสักหน่อย แถวนี้มีร้านขายของเบ็ดเตล็ด ผมเดินเข้าไปเลือกสิ่งที่ดูน่าจะทานง่ายที่สุด คือ ข้าวห่อสาหร่าย หรือ โอนิกิริ แต่...มันมีแต่ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ ... ต้องเสี่ยงดวงเอา และโชคก็เข้าข้างผม ไส้ในคือทูน่า เย้
ระหว่างทางเข้านี่มีสินค้าวางขายหลากหลายสิ่ง ผมไม่สน ไว้ขากลับค่อยว่ากัน เดินดุ่มๆ จนมาถึงหน้าสถานีรถราง คิโยะทะกิ (Kiyotaki) ตรงนี้ก็มีจุดใบไม้เปลี่ยนสีให้ได้แวะถ่ายรูปกัน ผมพอเห็นได้แต่ยิ้ม มันสวยมากเกินความสามารถที่ผมจะถ่ายภาพให้ได้เสมือนกับความรู้สึกที่ยืนอยู่ตอนนี้ มันยิ่งทำให้ผมอยากจะขึ้นไปถึงข้างบนให้เร็วที่สุด ว่าแต่ ... จะขึ้นไปยังไง
ที่ภูเขานี้มีทางให้ขึ้นไปได้หลายทางแต่ที่ฮิตๆ กันไม่เดินก็นั่งรถรางหรือแชร์ลิฟท์ครับ ถ้านั่งรถรางก็จะย่นเวลาไปได้มาก แต่จากนั้นก็ต้องเดินตามเส้นทางเดินธรรมชาติสายที่ ๑ ขึ้นไปอีกราวๆ ๒ กิโลเมตรได้ หรือจากจุดนี้ก็สามารถเดินไปชมวิวในเส้นทางเดินธรรมชาติสายที่ ๒ ,๓ และ ๔ ได้เช่นกัน แต่ถ้าทรหดหน่อยก็สามารถเดินตามเส้นทางสายที่ ๑ ตั้งแต่ต้นสถานีรถรางเลยก็ได้ ส่วนผมนั้นเป็นพวกประหลาด เลือกเส้นทางสายที่ ๖ เดินอ้อมไปอีกทางหนึ่ง รวมระยะประมาณ ๓.๓ กิโลเมตรได้ นี่คือแผนที่วางไว้
สภาพที่เจอจริงๆ ก็คือพื้นผิวแฉะๆ เพราะเพิ่งผ่านฝนเมื่อคืนนี้ แลดูไม่เหมาะกับอีแตะของผมมาก แต่!! ผมพร้อมสู้อยู่แล้ว พอเอาเข้าจริงมันก็ง่ายมากเลยครับ เจ้าหน้าที่มาถางทางให้เรียบตั้งแต่เช้า ทำให้เดินสะดวกขึ้น ระหว่างทางก็จะให้ผู้สูงวัยมาท่องธรรมชาติ เป็นคู่รักบ้าง เดี่ยวบ้าง นอกนั้นก็มีฝรั่ง แต่วัยรุ่นนี่ไม่เห็นเลย อากาศนี่ก็โหดใช่ย่อย ไม่ทราบว่าอุณหภูมิเท่าไหร่ แต่ผมนี่หนาวควันออกปากเลยครับ
เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเจอ น้ำตกบิว่ะ (Biwa) ๑ ในไฮไลท์ของเส้นทางนี้ เป็นน้ำตกเล็กๆ อยู่ในศาลเจ้า บริเวณน้ำตกนี่เขาขึงเชือกพร้อมกระดาษสีขาวสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเป็นพวงๆ แบบในการ์ตูนที่เคยดู ผมว่ามันน่าจะคล้ายๆ กับความเชื่อเรื่องสายสิญจน์ บ้านเรากระมัง ตรงศาลเจ้ามีกระพรวนห้อยอยู่ เราสามารถเขาไปเขย่าและหยอดเงินบริจาคใส่ตู้เพื่อความเป็นสิริมงคลได้ ผมก็ลอง... แต่ระหว่างเขย่าบังเอิญได้ยินเสียงสวดมนต์อยู่ภายในศาลเจ้าเล็กๆ นั่น .. เฮ้ย หรือว่า??? ฟังสักพักก็เริ่มสัมผัสได้ว่า น่าจะมีคนสวดอยู่ในนั้นแน่นอน ...
เส้นทางนี้พอเดินมาเรื่อยๆ จากป่าที่มืดทึบเริ่มเห็นแสงอาทิตย์ส่อง เห็นใบไม้ที่เปลี่ยนเป็นสีแดง ส้ม ร่วงหล่นบนพื้น ดูสุนทรีย์มาก ที่นี่จะมีป้ายบอกเป็นระยะว่าตอนนี้เดินมาได้เท่าไหร่ และมีเขียนกำกับความรู้ไว้ เช่น สัตว์ , พืช ,ต้นไม้ และก้อนหิน ในบริเวณนั้น ผมนี่นึกถึงสถานที่หนึ่งในเมืองไทยแล้วผมประทับใจมาก นั่นคือ เส้นทางเดินธรรมชาติ “กิ่วแม่ปาน ดอยอินทนนท์” ความรู้สึกของการเดินคล้ายกันค่อนข้างมาก
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับธรรมชาติไปเรื่อยๆ แต่สักพักก็ต้องมาหยุดงงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เมื่อผมเห็นป้ายภาษาญี่ปุ่น เขียนอะไรไม่ทราบได้ แต่มีเลข ๖ และลูกศรตรงเข้าไปในลำธารเล็กๆ ลึกเข้าไปในป่า แต่ทว่าด้านซ้ายมือก็เป็นทางเดินปกติ แต่ไม่ได้มีป้ายระบุไว้ว่าไปไหน ... แล้วผมควรจะเลือกอะไรดี? ซ้ายหรือตรง? ทันใดนั้นก็มีลุงคนหนึ่งเดินจ้ำๆ แล้วพุ่งเข้าไปตามลำธาร ... เฮ้ย หรือว่าจะเป็นทางนี้ที่ไปสู่จุดหมายได้? ก็เลยเดินเหยียบโขดหินเลาะริมธารตามเขาไป จนในที่สุดก็เห็นทางเชื่อมสู่ทางเดินปกติ .... (มารู้ในภายหลังว่า ไอ้ตรงนี้ก็เป็นอีก ๑ จุดไฮไลท์)
พอผ่านช่วงนั้นมาได้ ก็จะพบกับบันไดที่ใช้ไม้กั้นเป็นชั้นๆ ซึ่งเมื่อขึ้นมาจนสุดก็จะเห็นลานกว้างๆ มีม้านั่งให้พักเหนื่อย นี่คือจุดสิ้นสุดของเส้นทางที่ ๖ และเป็นจุดเชื่อมของเส้นทางธรรมชาติที่ ๕ เส้นทางนี้จะเดินวนรอบยอดเขา เราไม่ไป เราใช้มันเพียงแค่นำพาให้ไปบรรจบกับเส้นทางที่ ๑ เพื่อขึ้นสู่ยอดเขา ซึ่งไม่ไกลมากและจุดนี้ก็มีคนพลุกพล่านทยอยเดินขึ้นลงสลับกันอย่างต่อเนื่อง ภูเขานี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเล ๕๕๙ เมตร เป็นส่วนหนึ่งของวนอุทยานแห่งชาติ เมจิ โนะ โมะริ ทะคะโอะ ( Meiji no Mori Takao Quasi-National Park) ในเมือง ฮะจิโอะจิ (Hachioji)
สุดทางเดินของเส้นทางที่ ๑ ก็คือลานกว้างให้นักเดินทางพักผ่อน นั่งชมทิวทัศน์ที่สำคัญที่สุดของที่นี่ ... ภูเขาไฟฟูจิ แม้จะอยู่ไกลลิบตา แต่มันก็เด่นเป็นสง่าให้เรารู้สึกหายเหนื่อยได้เป็นปลิดทิ้ง
แถวนี้มีที่ให้ถ่ายรูปเยอะเหมือนกัน นอกจากวิวภูเขาไฟฟูจิแล้ว ด้านซอยข้างๆ ก็มีต้นเมเปิ้ลที่ยืนต้นเกาะกลุ่มเปลี่ยนสีแดงสวยงามให้ได้ยล มีโต๊ะเก้าอี้ไม้ให้นั่งพักผ่อนเปลี่ยนอิริยาบถใต้ต้นไม้ใหญ่ ส่วนตรงทางเดินหลักนี่ ผมเห็นวัยรุ่นคู่นึ่งเขาจัดหนัก นั่งริมบันไดแล้วเอาเตาเล็กๆ มาจุดไฟอุ่นเหล้า อาหาร นั่งตากแดดกินบรรยากาศ ตรงลานกว้างนี้ยังมีจุดชมท้องทุ่งอาคารคอนกรีตบนพื้นล่างด้วย ถือว่าคุ้มจริงๆ กับการมาเยือน
.... เมื่ออยู่พักจนพอใจแล้วก็เดินทางลงเขาดีกว่าครับ
(อ่านต่อฉบับหน้า...)