ชาวเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร เมืองที่รถติดอันดับต้นๆ ของโลก เมืองที่มีรถยนต์อยู่มากเกินกว่าถนนจะรองรับไหว และยังเป็นเมืองที่มีแท็กซี่เยอะมากๆ เมืองหนึ่งของโลก
ปัญหาใหญ่ของกรุงเทพฯคือระบบการขนส่งสาธารณะ หรือขนส่งมวลชนล้าหลังไม่เพียงพอ ประชาชนส่วนใหญ่จำต้องเดินทางโดยรถเมล์ที่บริการห่วยมาก มีรถเก่าโทรมสกปรก นานๆ จะมาสักคันคนแน่นห้อยโหน คนขับดุดันขับรถเหมือนบ้าคลั่ง ผิดกฎจราจร พูดจาไม่สุภาพฯลฯ
คนที่มีทางเลือกอื่นอย่างรถไฟฟ้า ก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนกับราคาค่าโดยสารแสนโหด ค่าใช้จ่ายในแต่ละวันหมดไปกับค่าเดินทาง บางคนต้องหันไปพึ่งรถตู้ ซึ่งมีข่าวข่มขืนทำร้ายและอุบัติเหตุร้ายแรงบ่อยมากเพราะขับรถเร็ว บรรทุกผู้โดยสารเกินกำหนดฯลฯ
การจราจรที่ติดขัดอย่างหนัก น้ำมันราคาแพง ที่จอดรถหายาก หรือมีสัมภาระติดตัวทำให้บางคนจำเป็นต้องอาศัยแท็กซี่ ก็ต้องเสี่ยงกับอันตรายโดยเฉพาะยามค่ำคืนและผ่านที่เปลี่ยว ต้องเจอกับการปฏิเสธไม่รับผู้โดยสารด้วยข้ออ้างสารพัด พฤติกรรมหยาบคายอีกสารพัดของคนขับ ฯลฯ
คนกรุงเทพฯไม่มีทางเลือก จำต้องทนกับการเดินทางที่ไม่ปลอดภัย ไม่สะดวก ค่าโดยสารโหด มาวันนี้ รัฐบาลปากว่าจะคืนความสุขให้ประชาชน กลับสร้างความทุกข์ให้ประชาชนเพิ่มขึ้น อนุญาตให้มีการขึ้นค่าโดยสารแท็กซี่มิเตอร์ราคาใหม่
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 131 ตอนพิเศษ 251 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2557 มีประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดอัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสาร สำหรับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (TAXI-METER) ที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานคร
อัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสาร ระยะทาง 1 กม.แรกเริ่มที่ 35 บาทเท่าเดิม เมื่อเกิน 1-10 กม.คิด กม.ละ 5.50 บาท ส่วนที่เกิน 10-20 กม.คิดที่ กม.ละ 6.50 บาท ระยะทางเกินกว่า กม.ละ 20-40 กม.คิดที่ กม.ละ 7.50 บาท ระยะทางเกิน 40-60 กม.คิด กม.ละ 8 บาท ระยะทางเกิน 60-80 คิด กม.ละ 9 บาท และสุดท้ายถ้าหากเกินกว่า 80 กม.ขึ้นไปคิด กม. ละ 10.50 บาท
ในกรณีที่รถไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ หรือเคลื่อนที่หรือเดินรถต่อเนื่องไม่เกิน 6 กม.ต่อ ชม.ให้คิดนาทีละ 2 บาท อัตราใหม่นี้จะมีผลใช้บังคับในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือ 13 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป
ในทางปฏิบัติ ต้องใช้เวลาอีกราวสี่เดือน ให้ผู้ขับแท็กซี่ต้องนำรถไปตรวจสภาพรถและจูนมิเตอร์ก่อนถึงจะสามารถปรับขึ้นราคาได้ ขณะนี้มีรถแท็กซี่เข้ามาตรวจสภาพแล้ว 30,000 คัน จากทั้งหมดราว 70,000-80,000 คัน คาดว่าอัตราใหม่จะทำได้ในปีหน้า
การขึ้นค่าโดยสารระยะแรกจะขึ้นในอัตรา 1-20 เปอร์เซ็นต์ หากใช้เดินทางระยะใกล้ ไม่เกิน 10 กม.แรก จะกระทบผู้โดยสาร 6-8 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าใช้เดินทางไกลอาจจะแพงขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์
อีกไม่กี่วันก็ใกล้จะถึงวันขึ้นปีใหม่แล้ว แทนที่จะทำเรื่องดีๆเป็นของขวัญปีใหม่มอบให้ประชาชน แทนที่รัฐบาลจะส่งความสุข เรื่องนี้กลายเป็นส่งความทุกข์แน่นอนครับ ข้ออ้างการขึ้นค่าโดยสารรถแท็กซี่เพื่อให้แท็กซี่บริการดีขึ้น ก็ฟังไม่ขึ้น ไม่มีใครเชื่อว่า เก็บค่าโดยสารแพงขึ้น แล้วจะทำให้แท็กซี่บริการดีขึ้นหรอกครับ
ความจริงที่เป็นอยู่ แท็กซี่บางรายจ้องจะรับแต่ชาวต่างชาติ ต้องขอพูดเลยว่าพวกพี่คนขับแท็กซี่บางคนยังโกงหลายรูปแบบ จ้องจะขูดเลือดขูดเนื้อนักท่องเที่ยวด้วยการไม่กดมิเตอร์ เหมาจ่ายราคาแพงเกินจริง เล่นซะฝรั่งคงเจ็บเข็ดแทกซี ประเทศไทยกันเลยทีเดียว
แท็กซี่บางส่วนก็ขับได้น่ากลัวมาก เช่นขับปาดไปมา แทรกเลน ขับจนคนนั่งบางคนต้องสวดมนต์ขอให้พระคุ้มครอง บางทีก็เหยียบเบรคซะคนนั่งหัวขมำไปเลยก็มี
เรื่องปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เราได้เห็นข่าวแท็กซี่ทำร้ายผู้โดยสาร จี้ชิงทรัพย์ หรือแม้แต่การข่มชืน ลวนลามผู้โดยสารโดยเฉพาะสาวๆ การขึ้นราคาค่าโดยสารคงไม่ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ แต่เป็นเรื่องที่ก็ควรได้รับการดูแลและแก้ไขปรับปรุงด้วยเช่นเดียวกัน
ที่พูดมานี้พี่แท็กซี่ดีๆก็มีครับ แต่สังคมพี่แท็กซี่ก็ไม่ต่างจากสังคมอาชีพอื่นๆที่มีทั้งคนดีคนไม่ดีปะปนกันไป ผมก็คงได้แต่หวังอีกแล้วว่าราคาแท็กซี่ขึ้นหนนี้ พวกพี่จะปรับปรุงเรื่องอื่นๆกันด้วยนะครับ ทำให้สมกับราคาหน่อย จะได้มีคนใช้บริการมากๆครับ จะได้เข้าคอนเซ็ปท่านผู้นำที่ว่า”คืนความสุข”จริงไหมครับพ่อแม่พี่น้องชาวกรุงเทพฯ
การให้บริการแย่ๆของรถแท็กซี่และพฤติกรรมของคนขับ ยังมีเหตุปัจจัยอื่นๆอีกมาก การปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร ด้วยข้ออ้างกลัวส่งรถไม่ทัน ต้องไปเติมแก๊ส และอีกหลากหลายเหตุผลต้องแก้ที่ต้นเหตุ และต้องแก้ปัญหาแท็กซี่ทั้งระบบ
ผู้โดยสารที่จำเป็นต้องใช้แท็กซี่ เป็นผู้ที่ต้องแบกรับค่าครองชีพที่มากขึ้น เป็นค่าเดินทางที่ต้องจำยอมเพราะไม่มีทางเลือก ผมว่าราคาแก๊สเป็นตัวการสำคัญมีผลที่ทำให้ต้นทุนของแท็กซี่สูงขึ้น นี่ยังไม่นับราคาอาหารที่แพงขึ้นเพราะค่าแก๊สหุงต้มที่ราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้สามารถพูดได้เลยว่ามีเงิน 100 บาทจะทานข้าวให้อิ่มยังยากเลย ค่าเดินทางไปเรียนหรือมาทำงานไปกลับ ถ้าหลายต่อนี่ เงิน 100 บาทไม่พอ จะเดินทางไปไหนมาไหนก็ต้องเสียเงินค่าเดินทางที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม
ต้นทุนสำคัญของรถแท็กซี่และอาหาร คือราคาแก๊ส น่าเศร้าใจที่คนไทยเจ้าของทรัพยากร อย่างแก๊สธรรมชาติในอ่าวไทยที่เจาะขายกันโครมๆ ไม่ได้ใช้แก๊สกันอย่างทั่วถึงในราคาถูก แต่คนไทยเจ้าของทรัพยากรกลับต้องใช้แก๊สในราคาแพง ไม่ได้ใช้กันอย่างทั่วถึง
นโยบายพลังงาน ควรจะต้องคิดถึงผลประโยชน์ของประชาชาชนคนไทยเจ้าของทรัพยากรแก๊สได้ใช้อย่างทั่วถึงในราคาที่ถูกลง ไม่ใช่เกื้อหนุนให้กับนายทุนทั้งทุนไทยหรือทุนต่างชาติ เพื่อลดค่าครองชีพ ให้มีคุณถาพชีวิตดีขึ้น ชีวิตที่ย่ำแย่ลงทุกวันของคนไทยอยู่ที่รายได้ต่ำ แต่ค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะค่าใช่จ่ายประจำวันที่จำเป็น ที่สำคัญสุดคือ ค่าอาหารแพง ค่าเดินทางแพง สินค้าราคาแพงเพราะค่าขนส่งแพง
ในขณะที่ตอนนี้ราคาน้ำมันทุกประเภทลดลงแล้ว และลดลงได้มากเป็นประวัติการในรอบหลายปีที่ผ่านมา ราคาแก๊สซึ่งเป็นพลังงานที่คนส่วนใหญ่ต้องใช้ ผมว่ารถคนจนส่วนใหญ่ใช้แก๊ส รถที่ใช้สำหรับการขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารใช้แก๊ส คนทั้งประเทศตต้องใช้แก๊สในการหุงต้มในครัวเรือน แม่ค้ารถเข็นข้างถนน และร้านอาหารทั่วไป เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของคนทั้งประเทศ เพื่อช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ เพื่อช่วยเหลือคนจน รัฐบาลต้องทำให้ราคาแก๊สถูกลง
ไหนว่าจะคืนความสุขให้คนไทย แต่เรื่องขึ้นราคาค่าโดยสารแท็กซี่ และขึ้นราคาแก๊สนี่ มันสร้างความทุกข์ให้ประชาชนแท้ๆเลยนะครับ