xs
xsm
sm
md
lg

มห “โกง” กีฬา

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

ช่วงนี้ความสนใจของคนไทยโฟกัสไปที่การกีฬา คือมหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ที่เมืองอินชอน เกาหลีใต้ ซึ่งทัพนักกีฬาไทยทำผลงานได้น่าพอใจ และที่ปลุกกระแสเชียร์ไทยให้กระหึ่ม ก็มาจากฝีเท้าของทีมฟุตบอลชายไทยที่ผ่านเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายได้อีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การผ่านเข้ารอบเท่านั้นที่ทำให้ได้ใจแฟนบอลชาวไทยไป หากเพราะฟอร์มการเล่นของทีมชาตินั้นก็ด้วย เพราะในทุกนัดที่ทีมบอลไทยเอาชนะมาได้ ล้วนแสดงให้เห็นถึงรูปเกมที่พัฒนาไปอย่างมีชั้นเชิง สามารถคุมเกมรุกเกมรับได้ดีเหนือคู่แข่ง เรียกว่าไม่เสียประตูมาเลยจนกระทั่งถึงรอบรองชนะเลิศที่ต้องปราชัยเกาหลีใต้เจ้าถิ่นไปอย่างน่ากังขา 0-2

แต่สำหรับนัดอื่นนั้น ทีมชาติไทยเอาชนะแบบใสสะอาด สวยงาม และสบายๆ มาตลอด เช่น ในรอบแรกก็ถล่มอินโดนีเซียไป 6-0 รอบสองชนะจีน 2-0 รอบแปดทีมชนะจอร์แดน 2-0 โดยแต่ละนัดนั้นรูปเกมก็เหนือกว่าคู่แข่งมาก นี่ถ้าเป็นมวยก็เรียกได้ว่าชนะน็อก แบบนับคะแนนแต่ละยกก็ยังชนะหายห่วง

ที่แพ้เกาหลีใต้นั้น ส่วนหนึ่งก็ด้วยลูกโทษที่น่ากังขาในช่วงท้ายครึ่งแรกเมื่อทีมไทยทำฟาล์วก้ำกึ่งที่เส้นกรอบเขตโทษ แต่ผู้ตัดสินเป่าให้เป็นจุดโทษ ที่ทำให้เกาหลีใต้ได้ประตูนำไปเป็น 2-0 ซึ่งการได้ประตูเพิ่มนี้ทำให้การเล่นของฝ่ายที่นำนั้นสามารถผ่อนเบาได้มากขึ้น และแรงกดดันไปตกหนักและมีผลต่อขวัญและกำลังใจของฝ่ายที่ตามหลัง เพราะลำพังแค่นำ 1-0 นั้น ความรู้สึกยังบอกว่า เอาคืนได้ไม่ยากนัก แต่ 2-0 นี่เท่ากับว่าตกหลุมลงลึกไปอีก

และในช่วงท้ายครึ่งหลัง ก็มีปัญหาเรื่องที่ผู้เล่นเกาหลีนอนเล่นบอลบนพื้นในกรอบเขตโทษ และมีบางมุมเห็นว่าน่าจะเป็นแฮนด์บอล แต่กรรมการก็ไม่ได้ว่าอะไร

แม้ภาพรวมอาจจะเป็นเหมือนที่ “บิ๊กหอย” อดีตผู้จัดการทีมชาติไทยระดับตำนานกล่าวไว้ว่า รูปเกมนั้นต้องยอมรับว่า เกาหลีใต้เหนือกว่าไทยเราอย่างเห็นได้ชัด และเพราะทีมนี้เล่นได้ดีและทุ่มเทมาก จึงแพ้ชนะกันเท่าที่เห็น แต่แฟนบอลชาวไทยก็ยังอดคาใจไม่ได้ว่า ถ้าไม่เสียลูกโทษครหาตอนถูกนำ 2-0 แล้ว และได้จุดโทษเพราะแฮนด์บอลในกรอบเขตโทษในครึ่งหลัง ไทยเราก็อาจจะมีลุ้นยาวๆ กว่านี้

คือแพ้ไม่ว่า ขอให้มันแพ้จริงๆ แบบยอมรับได้หน่อยก็แล้วกัน นอกจากนี้ ก็ยังมีข่าวจากทางสตาฟของทีมชาติไทย ว่าก่อนแข่งขันนั้นมีการพบน้ำดื่มลึกลับ ที่มีกลิ่นและรสผิดปกติในห้องพักนักกีฬาไทยด้วย จึงได้ตรวจสอบและเททิ้งไปทั้งหมดห้ามไม่ให้นักกีฬากิน ซึ่งเรื่องนี้อาจจะยังพิสูจน์หรือกล่าวหาใครไม่ได้ ซึ่งอันนี้ถ้าจริงก็เหมือนเรื่องตลกที่ชอบเล่นกันให้เอาสลอดใส่น้ำให้คู่แข่งกินจะได้ถ่ายท้องหมดแรงจนแข่งต่อไม่ไหว

จะบอกว่า ทีมไทยแพ้แล้วพาลไม่มีน้ำใจนักกีฬา ก็ปรากฏว่าไม่ใช่เฉพาะของไทยที่โวยวาย แต่ชาติอื่นๆ ก็โดนกันคนละไม้สองไม้ทั้งนั้น โดยเฉพาะกับกีฬาที่ผลแพ้ชนะไม่เด็ดขาดจะแจ้ง ต้องใช้ “มนุษย์” เป็นผู้กดคะแนนให้คะแนน อย่างเช่นมวยสากลสมัครเล่น ก็มีเรื่องขำไม่ออกขึ้นหลายเวที เช่น มวยชายระหว่างนักชกเกาหลีใต้กับนักชกมองโกเลีย ปรากฏว่า นักชกเกาหลีใต้โดนชกจนหน้าตาแตกยับ แต่เป็นฝ่ายชนะคะแนนไปเสียอย่างนั้น หรืออย่างกรณีมวยหญิง ที่นักชกอินเดียที่ได้เหรียญทองแดงนั้นถึงกับประท้วงไม่ยอมรับเหรียญ เอาเหรียญไปคล้องให้นักชกเกาหลีใต้ผู้ได้เหรียญเงินที่ชนะเธออย่างน่ากังขาในรอบก่อนหน้าเสียอย่างนั้น

หรืออย่างการแข่งขันแบดมินตัน ก็มีข้อสังเกตมาจากหลายชาติ ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น ว่ามีสายลมปริศนาจากท่อแอร์มาเป่าลูกแบดช่วยภาพเหมือนกัน

ตอนนี้เว็บไซต์และเว็บเพจของเอเชียนเกมส์อินชอนก็ถูกระดมโพสต์ด่าทั้งจากนักท่องเน็ทชาวไทยและชาวเอเชียชาติอื่นจนเละตุ้มเป๊ะ ต้องปิดเพจกันไปเลย

เรื่องความ “ได้เปรียบ” ของเจ้าภาพเกาหลีใต้นั้นเป็นตำนานเล่าขานกันมาร่วม 30 ปีแล้ว ใครที่เกิดทันดูมวยโอลิมปิก 1986 ที่กรุงโซล คงจำได้ถึงการชิงเหรียญทองมวยที่อื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้ ระหว่าง Roy Jones Jr กับ Park Si-Hun ซึ่งการชกออกมาคล้ายๆ กับคู่เกาหลีใต้ มองโกเลีย นี่แหละ คือ รอย โจนส์ ต่อยเอาๆ ต้อนขาดทุกยก เรียกว่านักชกเกาหลีแทบว่าจะประคองไว้แค่รอดไม่ร่วงโดนน็อก พอหมดยกที่ 3 ประกาศคะแนน นักชกเกาหลียังยืนงงเมาหมัดพร้อมใบหน้าที่บวมปูด แต่กรรมการกลับชูมือให้ชนะได้เหรียญทองด้วยสีหน้าที่ผู้ชนะเองก็เชื่อไม่ลง ปัจจุบันนี้คลิปมวยฉาวคู่ดังกล่าวก็ยังมีให้รับชมกันอยู่ทาง Youtube ใครสนใจลองค้นหามาดูกันได้

หรืออย่างในฟุตบอลโลก 2002 ที่ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วมกัน ก็มิวายมีข้อครหาว่า เพราะเกาหลีทะลุไกลถึงรอบรองชนะเลิศ หรือ 4 ทีมสุดท้ายเป็นชาติแรกของเอเชีย ทั้งๆ ที่ฟุตบอลโลกก่อนหน้านั้นตกรอบแรกมาทุกครั้ง เกาหลีใต้ชนะตั้งแต่อิตาลี และสเปน เพราะอิทธิพลกรรมการที่เป่าให้เจ้าภาพได้เปรียบถึงขนาดบอลออกก็ไม่ออก บอลเข้าก็ไม่ให้เข้า ถูกเสียบล้มลงไปโดนใบแดงเสียเอง เอากันขนาดนั้น

มีผู้เสนอทฤษฎีว่า การแข่งขันกีฬาระดับชาติในสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโอลิมปิก เอเชียนเกมส์ ซีเกมส์ หรือฟุตบอลโลกนั้น เป็นเหมือน “สงครามเชิงสัญลักษณ์” ในโลกยุคใหม่ นั่นคือแทนที่ชาติต่างๆ จะประกาศศักดากันผ่านสงคราม ก็มาประกาศผ่านมหกรรมกีฬากันแทน

อย่างในยุคสงครามเย็น ชาติคอมมิวนิสต์นั้นจะฝึกนักกีฬาของตนอย่างหนัก สร้างนักกีฬาอาชีพโดยรัฐเป็นผู้เลี้ยงดูและให้เล่นกีฬาที่ถนัดอย่างเดียวเลยตั้งแต่เด็ก เพื่อให้ไปทำผลงานกวาดเหรียญทองในมหกรรมกีฬาต่างๆ เพราะหมายสร้างโฆษณาชวนเชื่อ หรือโพรพากันดา ว่า การปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์นั้นสร้างทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพสูง แสดงผ่านการกีฬา ซึ่งในสมัยนั้นจะเห็นว่าในมหกรรมกีฬาระดับโลก จะเป็นโซเวียตกับสหรัฐฯ คู่พี่เบิ้มของสงครามเย็นชิงชัยกันสองชาติ ส่วนระดับเอเชียนั้นก็เป็นจีนพี่ใหญ่ มาจนกระทั่งทุกวันนี้

ในทางกลับกัน หากนักกีฬาของชาติตนนั้นไปทำผลงานไม่ดี หรือไปทำให้ขายหน้า ชาติคอมมิวนิสต์เหล่านั้นก็จะมีการลงโทษด้วย แม้ในปัจจุบันก็ยังมีข่าวลือว่า ทีมเกาหลีเหนือ ที่เคยได้ไปแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปี 2010 ที่แอฟริกาใต้นั้น หลังจากแพ้โปรตุเกสยับเยิน 0-7 ก็มีข่าวลือว่าพอจบบอลโลกกลับไป นักเตะและสตาฟโค้ชก็ถูกส่งไปทำงานเหมือนแร่ด้วย ซึ่งนัดเจอกับโปรตุเกสนั้นโชคร้ายว่าท่านผู้นำ คิม จอง อิล เปิดให้ถ่ายทอดสดกลับไปยังเกาหลีเหนือได้ด้วย เพราะว่านัดแรกทำผลงานอย่างดี แพ้บราซิลเพียง 1-2 แบบเฉียดฉิว

เพราะเหตุว่า การแข่งขันกีฬาระดับชาตินี้แสดงถึงภาพแทนของ “ความรุ่งเรืองแห่งชาติ” นั้นอยู่แม้ปัจจุบัน การเล่นตุกติกเพื่อชัยชนะ เพื่อคว้าเหรียญทองให้ขึ้นอันดับบนที่สุดของตารางให้ได้ของแต่ละประเทศนั้นเป็นสาระสำคัญ โดยเฉพาะการแข่งขันในประเทศเอเชีย เราก็ยังได้บ่นกันอีกทุกครั้งไปว่าด้วย “มหกรรม - มหโกง” การกีฬาเช่นนี้ต่อไปอีกหลายครั้งแน่ๆ อันนี้ที่ว่าแต่เอเชีย แต่ใช่ว่าฝรั่งยุโรปหรืออเมริกาจะไม่มี เพียงแต่ของเขาจะใช้วิธีแบบ “ช่วยกันนิดๆ หน่อยๆ” สร้างความได้เปรียบแต่พองาม บวกกับความชินสนามและแรงกดดันกองเชียร์มากกว่า แต่ไม่เล่นกันดื้อๆ โจ่งแจ้งแบบทวีปเรา

ส่วนในกีฬาระดับอาชีพก็ใช่ว่าจะไม่มีการโกงหรือการเล่นตุกติก ยิ่งกีฬาอาชีพที่ทำรายได้สำคัญส่วนหนึ่งจากยอดผู้ชมและการถ่ายทอดโทรทัศน์ การแข่งขันบางประเภทที่มีมูลค่าลิขสิทธิ์แพงๆ ก็เหมือนถูกกำหนดผลแพ้ชนะให้ “ดรามา” หรือเพื่อให้ “ดารา” สำคัญของวงการยังอยู่ได้ เหมือนครั้งหนึ่งช่วงปลายปี 2554 ที่ แมนนี่ ปาเกียว ชกป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกรุ่นเวลเตอร์เวตของ WTO กับ ฮวน มานูเอล มาร์เกซ ซึ่งปาเกียวโดนไล่ต้อนถลุงตลอดทั้ง 12 ยก พอระฆังหมดเวลายกสุดท้ายดังขึ้น ภรรยาของเขาถึงกับร้องไห้สวดมนต์ แต่กลายเป็นว่าปาเกียวเป็นฝ่ายชนะคะแนนท่ามกลางเสียงโห่ของผู้ชมทั้งสนาม นั่นก็มีผู้วิเคราะห์ว่า เป็นเพราะชื่อและเรื่องราวของปาเกียวยังมีมูลค่าขายได้ในวงการถ่ายทอดสดมวยโลก จึงปล่อยให้แพ้เสียตำแหน่งไปไม่ได้ เป็นอีกหนึ่งในเรื่องครหาในวงการมวยโลกระดับอาชีพ

เพราะการแข่งกีฬานั้น ในระดับสมัครเล่นทีมชาติเป็นเรื่องของการเป็นตัวแทนสงครามเชิงสัญลักษณ์ของแต่ละชาติ ส่วนในกีฬาอาชีพก็มีผลประโยชน์มหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นนี้ต่อไปการชมกีฬา อาจจะเหมือนดูการแสดงขำๆ ที่มีบทเขียนไว้คร่าวๆ แล้วว่าใครจะชนะใครจะแพ้ ให้คนดูลุ้นกันพอขำๆ เหมือนมวยปล้ำทางโทรทัศน์ดีๆ นี่เอง.
กำลังโหลดความคิดเห็น