xs
xsm
sm
md
lg

ท่องมาเลย์ ๑.๖ : ชิมข้าวแกงร้านดัง เที่ยวปีนังมรดกโลก

เผยแพร่:   โดย: ดรงค์ ฤทธิปัญญา

ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน :
ท่องมาเลย์ ๑: ได้เวลาออกเดินทาง!!
ท่องมาเลย์ ๑.๒ : โอ้ ลังกาวี...
ท่องมาเลย์ ๑.๓ : อลอร์สตาร์ บ้านมหาเธร์
ท่องมาเลย์ ๑.๔ : เมืองหลวงรัฐไทรบุรี
ท่องมาเลย์ ๑.๕: ชมวัดเก็กลกสี แล้วแลวิวที่เขาปีนัง

๑๓ กุุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

ข้อเสียของการเที่ยวแบบแบ็กแพคอย่างหนึ่งคือทุกอย่างมีความไม่แน่นอนสูง อาจจะเกิดสถานการณ์พิเศษจนต้องเปลี่ยนแผนได้ตลอดเวลา เช่นที่ผมมีความตั้งใจจะไปย่านร้านขายอาหารข้างทางชื่อดังของเมืองอย่างเกอร์นี่ย์ ไดร์ฟ (Gurney-drive) แต่ด้วยความไม่รู้ว่าเวลาของรถประจำทางบนเขาปีนังจึงทำให้อดไป หรือตอนที่ผมมาก็วางแผนว่าจะไปวัดงู (Snake Temple) คือวัดนี้เขาเลี้ยงงูเอาไว้มันก็เลื้อยไปมาทั่ววัด อันนี้ก็เวลาไม่พอ

ปัญหามีอยู่ว่า ...
ร้านขายโล หมี่
ผมยังไม่ได้กินข้าวเลยตั้งแต่เช้า มีแค่ขนมท้องถิ่นที่ซื้อมาจากตลาดเปกันราบู รองท้องเท่านั้น พอรถมาส่งที่คอมตาร์ ผมก็ลงมาพร้อมกับความหวังว่า แถวนี้น่าจะมีอะไรกินบ้าง ในเวลา ๓ ทุ่ม ... แต่ผิดถนัด ร้านค้าปิดเงียบ ผมเดินเจอร้านก๋วยเตี๋ยวรถเข็นอยู่ในซอยเล็กๆ ตั้งโต๊ะเรียงกันดูคล้ายกับบ้านเรา ด้อมๆ มองๆ เป็นบะหมี่ เออ น่ากินดีนะ ก็เลยลองดู อาหารชนิดนี้เขาเรียกว่า "โล หมี่" (เจ้าของร้านเขาบอกมางี้) เป็นบะหมี่เส้นกลมคล้ายราเมนผสมเส้นหมี่ ใส่น้ำซุปกุ้ง ที่รู้เพราะกลิ่นมันชัดมาก ใส่หมูย่าง กุ้งแห้ง กระเทียมเจียว พร้อมซอสสีแดงที่ดูเหมือนเย็นตาโฟ แต่มันคือพริกเคี่ยว ค่อนข้างเผ็ด แต่พอผสมกับน้ำซุปกลับทำให้รสมันอร่อยขึ้นและไม่เผ็ดเลย

กินจนหมดกะว่าจะสั่งอีกชาม ลุงแกก็ขายจนหมดเสียแล้ว จึงเดินออกมาพร้อมจ่ายค่าเสียหาย ๓.๕ ริงกิต กลับสู่ที่พักของเรา ...

เดินมาตาม ถ.ปีนัง เรื่อยๆ ผ่านซอยนั้น ซอยนี้ ดูเงียบสงัดดี แต่มาเห็นคอนเสิร์ตเล็กๆ ในซอยแห่งหนึ่ง ที่ชื่อ “โชวราสต้า” (Jalan Chowrasta) เห็นนักร้องสาวหมวยกำลังร้องเพลงจีนบนเวทีเล็กๆ ที่จัดเต็มด้วยแสงสีเสียง ให้ผู้ชมที่ยืนฟังได้เคลิ้มตาม จนผมต้องเดินเข้าไปดู พลางลืมสังเกตุว่า ด้านข้างมีการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันอยู่ ก็มานั่งนึก อ๋อ มันเป็นช่วง ๑๕ วันหลังเทศกาลตรุษจีนนี่เอง
งานฉลองของคนจีน
ว่าแต่ เรามาตามหาของกินใช่ไหม แถวนี้ไม่มีก็เดินต่อไป เข้าร้านสะดวกซื้อ ที่นี่เขาดีอย่างถ้าซื้อไม่กี่ชิ้นเขาไม่ใส่ถุงให้ ผมสอยน้ำขวดสีเขียว เขาบอกเป็นเบียร์อิสลามที่ไม่มีแอลกอฮอล์รสสตรอเบอรี่ ยี่ห้อ บาร์บิแคน ผลิตในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เออ แปลกดีคล้ายน้ำสตรอเบอรี่ใส่โซดา แต่มีกลิ่นมอลต์นิดๆ และเรื่องมันก็เกิดขึ้นกับไอ้ขวดนี้ล่ะครับ...

ผมเดินมาเจอร้านอาหารอินเดียที่ชื่อว่า “ไลน์เคลียร์” (Line Clear) เป็นร้านข้าวราดแกงที่เรียกกันว่า “นาสิ กานดาร์” (Nasi Kandar) อยู่ในซอยเล็กๆ ร้านนี้เปิด ๒๔ ชั่วโมง เพิ่งมาทราบภายหลังว่าเป็นร้านดังร้านหนึ่งเปิดขายมาแล้วไม่ต่ำกว่า ๕๐ ปี ซึ่งระหว่างผมเดินเข้าไปก็เจอเจ้าของร้านปรี่เข้ามาหาทันที พร้อมพูดเชิญให้ผมออกจากร้าน ... อ้าว!! ... คนในร้านก็มองจ้องเขม็งมา เขาบอกว่าผมถือเบียร์เข้าร้าน มันผิดหลักศาสนา ผมบอกไม่ใช่ อันนี้มันเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ พลางชูให้เขาดู เขาก็เอาไปพลิกซ้ายขวา แล้วก็อนุญาตให้ผมเข้าไปสั่งอาหารได้ ..... เกือบไปแล้ว
นาสิ กานดาร์ ร้านไลน์เคลียร์ ส่วนขวดเขียวคือเบียร์ไม่มีแอลกอฮอลล์
ยืนส่องๆ ที่แผงแกง มีข้าว ๒ แบบ คือข้าวขาว กับข้าวเหลือง (ข้าวหมกนั่นล่ะ) ส่วนกับก็มีไก่ทอด เนื้อตุ๋น แพะตุ๋น ผมเลยสั่งข้าวหมกไก่ทอดมา เขาถามว่าเผ็ดใหม่ หึหึ หน้าอย่างผม มาถึงถิ่นทั้งที ต้องมาเลย์สไตล์สิครับ ว่าแล้วพี่แกก็ตักข้าวด้วยจาน ย้ำว่าจาน ประกบลงไปในจานยักษ์ แล้วตามด้วยสับไก่ทอดช่วงอกและปีกโปะลงไป ตามด้วยน้ำแกงจากทุกถาด ต้องเทแบบยกสูงด้วย ไม่รู้ว่าเพื่อความเท่หรือว่าอะไร แล้วใส่ผักดอง ข้าวเกรียบปลา เป็นอันเสร็จพิธี

... ผมนี่อึ้งไปเลย

พอชิมรสชาติข้าวเข้มข้นเข้าเครื่องเทศหอมฉุนมาก ถ้าใครไม่ชอบของแรงขอให้ผ่าน ส่วนน้ำแกงที่มิกซ์กันมาพอกินรวมๆ ก็อร่อยดีครับ ไก่ทอดก็รสเค็มนิดๆ โดยรวมก็แอบติดใจจนกะว่า ถ้ามาอีกจะกลับมากินแน่ๆ

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

เช้าวันนี้ผม มีแผนจะไปสำรวจย่านเก่าแก่ใน “จอร์จทาวน์” (George Town) เมืองหลวงแห่งรัฐและเป็น ๑ ในมรดกโลกที่องค์การยูเนสโกยกย่อง ซึ่งเมืองนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๙ โดยกัปตันฟรานซิส ไลท์ (Francis Light) ผู้แทนการค้าของบริษัทบริติช อีสท์ อินเดีย หลังจากสุลต่านแห่งรัฐไทรบุรีได้ให้ใช้เกาะหมาก ตัวเมืองถูกสร้างในพื้นที่แอ่งกระทะ เป็นแหล่งการค้าทั้งธุรกรรมทางธนาคาร และการแลกเปลี่ยนสินค้าที่สำคัญ และด้วยการที่ปกครองแบบอังกฤษก็ทำให้ที่นี่มีการปกครองแบบสภาท้องถิ่นแห่งแรกในมาลายู ใน พ.ศ.๒๓๔๔ และยังเป็นเทศบาลเมืองแห่งแรกที่มีการเลือกตั้งภายหลังได้รับเอกราชเป็นสหพันธรัฐมาลายู เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ส่วนชื่อมาจากพระนามของพระเจ้าจอร์จที่ ๓ กษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร

แต่สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของในย่านนี้กลับเป็นอาคารบ้านเรือนสถาปัตยกรรมจีน-โปรตุเกส หรือที่เรียกว่า ซิโน-โปรตุกีส ที่อยู่ตามตรอกซอกซอยเต็มไปหมด น่าจะมีเป็นพันหลังเลยล่ะ
ศาลเจ้าชาวไหหลำ
การเดินทางของผมเริ่มจากจุดที่ใกล้ที่พักที่สุด และ “คฤหาสน์เฉิงฟัตเจ๋อ” (Cheong Fatt Tze Mansion) ก็คือเป้าหมายแรกที่จะไปเยือน แต่ระหว่างทางกลับเห็นศาสนสถานจีนคนพลุกพล่านมากมาย แลดูดึงดูดน่าเข้าไปมาก ที่นี่ก็คือ “ศาลเจ้าของชาวไหหลำ” (Hainan Temple) ที่ประทับขององค์ม่าโจ้ว หรือ เจ้าแม่ทับทิม เทพแห่งท้องทะเล ก่อสร้างราว พ.ศ.๒๔๐๙ ด้วยแรงของชาวชุมชนไหหลำ และเสร็จสิ้นในอีก ๓๐ ปีต่อมา ตัวศาลเจ้าแกะสลักหินเป็นลวดลายสไตล์จีน ทั้งมังกร และตำนานเทพเจ้า ส่วนภายในศาลเจ้าค่อนข้างใหญ่ทาด้วยสีแดงสวยงาม มีพระพุทธรูปหยกสีขาวคล้ายศิลปกรรมพม่า ประทับบนแท่นบูชา ส่วนด้านหลังสุดจะเป็นที่ประทับของเจ้าแม่ทับทิม เป็นศาลเจ้าหนึ่งที่ผมว่า สวยงามไม่แพ้ใครเลยล่ะ

กลับเข้ามาสู่เส้นทางของเรา เมื่อเดินวกเข้าซอยเลอบัวฮ์ ลีธ ไปสักพักก็จะเจอตึกสีน้ำเงินทรงจีนดูเด่นมากๆ นั่นล่ะครับ คฤหาสน์ที่ผมว่า สร้างขึ้นใน พ.ศ.๒๔๓๙ โดย เฉิงฟัตเจ๋อ พ่อค้าและเสนาบดีในราชวงศ์ชิง ปัจจุบันเป็นโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบบรรยากาศแบบอดีต ราคาก็สูงพอสมควร (แต่ผมว่า ที่ๆ ผมอยู่ก็ได้บรรยากาศพอๆ กันนะ ฮ่าๆๆ) ผมมองอยู่ห่างๆ ไม่ขอเข้าไปดีกว่า เช่นเดียวกับชาวต่างชาติอีกหลายคนที่ไปยืนเมียงมองที่ป้ายแล้วก็เดินจากไป
คฤหาสน์เฉิงฟัตเจ๋อ
ข้อดีของปีนังคือมันมีแผนที่เส้นทางต่างๆ ทั้่งตามรอยยูเนสโก และแหล่งอาหาร ดูง่ายไม่ซับซ้อน ตัวเมืองเองก็เดินไม่ยากด้วย ซึ่งตรงนี้ผมก็ต้องขอขอบคุณเว็บไซต์แฟนเพจ ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวเมืองปีนัง ที่ให้ข้อมูลหลายๆ ส่วนมา

พอออกจากซอยของคฤหาสน์ ก็จะเจอถนนใหญ่ เดินไปเรื่อยๆ จะเริ่มเห็นตึกทรงยุโรป แถวนี้ก็มีสถานที่ราชการ พิพิธภัณฑ์ ศาสนสถานของชาวคริสต์ ทั้ง “โบสถ์อัสสัมชัญ” (Cathedral of the Assumption) ที่สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๒๙ ก่อนจะมีการปรับปรุงให้มีขนาดใหญ่ขึ้นในช่วงปี ๒๔๐๓ ใกล้กันนักมีอีกโบสถ์ที่น่าสนใจคือ “โบสถ์ เซนต์ จอร์จ'ส์” สร้างใน พ.ศ.๒๓๕๙ ทรงสีขาว พร้อมศาลาทรงโดมอยู่ด้านหน้า ตรงจุดนี้มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเดินเล่นกันเยอะเลยแหะ แต่ผมไม่ได้เข้าไปหรอก
โบสถ์ เซนต์ จอร์จส์
จุดต่อไปที่เรามาถึงก็คือตึกสีเหลืองครีม ๒ ชั้นดูคล้ายกับกระทรวงกลาโหมบ้านเรา นั่นคือ “ปีนัง ทาวน์ ฮอลล์” อาคารที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของเมือง สร้างมาตั้งแต่ปี ๒๔๒๒ มีห้องโถงใหญ่อยู่ภายใน แต่ก่อนถูกใช้งานจัดกิจกรรมของพวกไฮโซชาวยุโรปที่อยู่ในเมืองนี้ ส่วนตึกข้างๆ สีขาวถือเป็นแลนด์มาร์กของเมืองก็ว่าได้ นั่นคือ “ปีนัง ซิตี้ ฮอลล์” ดูสวยงามสมคำร่ำลือ แม้ตอนนี้จะปิดซ่อมอยู่ก็ตาม ที่นี่สร้างต่อจากตึกสีเหลืองเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๖ แบบสถาปัตยกรรมสไตล์บาร๊อค เอ็ดเวิร์ดเดี่ยน เพื่อใช้เป็นสำนักงานเทศบาลเมืองปีนัง ต่อมาได้กลายเป็นซิตี้ฮอลล์ หลังจากที่จอร์จทาวน์ถูกสถาปนาเป็นเทศบาลเมืองแห่งแรก และภายหลังถูกใช้เป็นสภาเทศบาลเมืองปีนัง
ปีนัง ทาวน์ ฮอลล์
ปีนัง ซิตี้ ฮอลล์

ตรงนี้จะอยู่ติดชายฝั่งเลยครับ เห็นท้องทะเลที่ไกลลิบตา มีแท่งอนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่ ๑ อยู่รูปทรงก็คล้ายกับที่เจอในฮ่องกงนั้นแล หันกลับมามองดูสนามหญ้าฝั่งตรงข้ามก็เห็นมีหุ่นสัตว์ต่างๆ ตั้งอยู่ สงสัยจะมีงานอะไรแน่ๆ แต่ก็ไม่รู้จะถามใคร เดินเลาะริมฝั่งต่อดีกว่า ไปจนพ้นสนามก็พบกับ “ป้อมปราการ คอร์นวอลลิส” (Fort Cornwallis) สถานที่เก่าแก่อีกแห่ง ตามประวัติเล่าว่ากัปตัน ฟรานซิส ได้ใช้ตรงนี้สร้างเป็นค่ายป้อมที่ทำจากลำต้นปาล์ม เพื่อป้องกันโจรสลัด และพวกไทรบุรีที่จะมายึดเอาเมืองคืน แต่ต่อมาในปี ๒๓๔๗ ได้เริ่มใช้หินและอิฐก่อสร้างให้แข็งแรงขึ้น พร้อมขุดคูเมืองให้มีความกว้าง ๙ เมตร ลึก ๒ เมตรล้อมรอบด้วย แต่ปัจจุบันถูกถมไปหมดแล้ว

ซึ่งป้อมนี้แต่เดิมสร้างเพื่อเป็นค่ายทหารอังกฤษ แต่ก็มีผู้บริหารระดับสูงบางคนมาใช้เป็นที่พักบ้าง จนกระทั่งในช่วงปี ๒๔๖๐ ตำรวจชาวซิกซ์ก็เข้ามาครอบครอง ก่อนจะกลายเป็นโบราณสถานในปัจจุบัน ส่วนชื่อของป้อมนั้นตั้งให้เป็นเกียรติแก่ มาร์ควิส ชาร์ลส์ คอร์นวอลลิส (Charles Cornwallis) ผู้ว่าการเมืองเบงกอล แห่งอินเดีย ในขณะนั้น เมื่อมาถึงป้อมจะเห็นสิ่งที่โดดเด่นมากๆ คือปืนใหญ่ตั้งตระหง่า อยู่มุมด้านบนของป้อม อันนี้ชื่อว่า “เสรี รำไพ” (Seri Rambai) ถูกหล่อขึ้นมาตั้งแต่พ.ศ. ๒๑๔๖ โดยชาวดัตช์ เพื่อมอบเป็นบรรณาการแก่ สุลต่านรัฐยะโฮร์ ก่อนจะถูกยึดคืนและนำไปมอบให้กับเมืองชวา จนกระทั่ง พ.ศ.๒๓๓๘ ก็ถูกส่งมอบให้พวกอาเจะฮ์ ไปยังกัวลา สลังงอร์ ก่อนที่พวกอังกฤษจะยึดและขนนำมาตั้งไว้ที่นี่ เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๔
ป้อมปราการ คอร์นวอลลิส
ภายในมีค่าเข้าชมด้วย ไหนๆ ก็มาแล้วเข้าเลยดีกว่า ภายในสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแบบค่ายทหาร มีห้องชั้นเดียวเป็นล๊อคๆ ภายในมีนิทรรศการเรื่องราวการเข้ามาสู่ปีนังของอังกฤษ มีห้องแยกเดี่ยว ไม่มั่นใจว่าเป็นคุกหรือเปล่า แต่ดูลึกลับดี ตรงด้านที่ติดชายฝั่งทะเลจะมีเนินสูงๆ ให้ขึ้นไปบนป้อม ซึ่งเป็นที่วางของปืนใหญ่เสรี รำไพ สำรวจดูมีลวดลายที่สวยงาม ทั้งสลักรูปคน,สิงโต และดอกไม้ แถวนี้ก็จะมีห้องนอนของเวรยามทหารด้วย

เวลามาเยือนเมืองต่างๆ จะมีสิ่งหนึ่งที่เราต้องเจอเหมือนๆ กัน แม้กระทั่งในบ้านเรา ราวกับเป็นสถานที่ให้คนไว้นัดหมาย นั่นคือ หอนาฬิกา ที่นี่ก็เช่นกัน อาคารทรงสูงมียอดคล้ายมงกุฎทรงโดมสีเหลืองนี้มีชื่อว่า "ควีน วิคตอเรีย เมโมเรียล" (QUEEN VICTORIA MEMORIAL CLOCK TOWER) อยู่ทางด้านหลังของป้อมปราการ สร้างขึ้นโดยเศรษฐีชาวจีนเมื่อปี ๒๔๔๐ เพื่อถวายแด่สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย แห่งอังกฤษ เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่พระองค์ทรงครองราชย์ครบ ๖๐ ปี ก็ดูสวยดีครับ แต่อากาศร้อนเหลือเกินเวลานี้
หอนาฬิกา ควีน วิคตอเรีย เมโมเรียล
ด้านหลังของป้อมจะมีอาคารโบราณสถานสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษอยู่หลายตึกเลยครับ ส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งของธนาคาร ห้างร้าน แลดูบางมุมก็มโนไปได้ว่ากำลังอยู่เมืองนอก (อ้าว แล้วปีนังไม่เมืองนอกสำหรับคุณดรงค์ เหรอวะ ฮ่าๆๆ) เดินมากๆ ชักหิวเหลือบไปเห็นร้านกาแฟ ชื่อ โกปิตัน คอฟฟี่ ก็เลยแวะพักสักหน่อย ภายในก็เหมือนร้านในห้างบ้านเรา มองดูราคาก็ไม่แพงมาก แต่ด้วยความอยากกินอาหารท้องถิ่นจริงๆ จึงสั่งแค่กาแฟเย็น แต่... ผมเหลือบไปเห็นในเมนูมันเขียนคำว่า “โกปิ๊” (Kopi) อยู่ในหมวดนี้เลยเดาว่ามันต้องเป็นกาแฟแน่ๆ เลยสั่งมาครับ ... ซึ่ง มันคือโอเลี้ยงนี่เอง ที่นี่หวานน้อยกว่าบ้านเรานิดนึง แต่เปรี้ยวพอๆ กัน

นั่งเล่นให้แอร์เย็นๆ ได้ชะโลมร่างกายให้คลายความร้อนลดลงสักพัก พร้อมกับดูดน้ำเย็นๆ ให้ชื่นใจ พอโอเลี้ยงหมดลงก็เหมือนสัญญาณบอกเวลาว่า ต้องเดินทางต่อแล้วนะ คุณดรงค์

อ่านต่อฉบับหน้า....
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 7
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 7
มีความเบิกบานในสีหน้าของภูผา หลังจากที่พาตัวเองมาอยู่ที่ร้านประจำ ในตลาดค้าปลาสวยงามริมถนน ละแวกสวนจตุจักรสักพักหนึ่งแล้ว เขาก้มๆ เงยๆ ดูปลาสวยงามอยู่อย่างเพลิดเพลิน กระทั่งมีเสียงใครคนหนึ่งร้องทัก ดังขึ้นจากด้านหลัง “เจอกันอีกแล้วนะ” ภูผาหันมอง เห็นชบายิ้มทักอย่างเป็นมิตรมาให้ ภูผายิ้มทักตอบอย่างยินดีเช่นกัน “คุณนั่นเอง” “เรียกฉันชบาก็ไดค่ะ” ภูผาหัวเราะขำ ชบางง ถามเสียงแข็ง “ขำอะไร” “ก็ขำชื่อคุณไง ชื่อไท้ไทย” “อ้าว! ก็คนไทย จะให้ชื่ออะไร เชอรี่ แอนนี่ เอมมี่ ลูซี่ น้องวาย หรือว่า แม็กกี้ดี” ภูผาส่ายหน้าบอกขึ้นว่า “ชบานี่แหละเหมาะแล้ว ไม่เหมือนใครดี”
กำลังโหลดความคิดเห็น