xs
xsm
sm
md
lg

ท่องมาเลย์ ๑.๕: ชมวัดเก็กลกสี แล้วแลวิวที่เขาปีนัง

เผยแพร่:   โดย: ดรงค์ ฤทธิปัญญา

ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน :
ท่องมาเลย์ ๑: ได้เวลาออกเดินทาง!!
ท่องมาเลย์ ๑.๒ : โอ้ ลังกาวี...
ท่องมาเลย์ ๑.๓ : อลอร์สตาร์ บ้านมหาเธร์
ท่องมาเลย์ ๑.๔ : เมืองหลวงรัฐไทรบุรี

๑๓ กุุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

จุดหมายต่อไปของผมคือ “ปีนัง” เมืองที่คนไทยน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ก่อนอื่น ผมต้องออกไปจากเมืองนี้เสียก่อน..... ผมกลับมายังโรงแรมเพื่อเช็กเอาท์พร้อมกับถามพนักงานถึงรถโดยสารสาธารณะที่ผมจะสามารถไปถึงสถานีขนส่งซาฮับ เปอร์ดาน่า ที่อยู่ไกลราว ๓ กิโลเมตรได้ ซึ่งเขาบอกว่า ถ้าจากตรงนี้มีรถแท็กซี่อย่างเดียว แต่หากจะไปขึ้นรถเมล์ ก็ต้องเดินย้อนกลับไปที่ตลาดเปกันราบู ผมคิดในใจ เอายังไงดีวะ เพราะตอนมามีผู้ใจบุญขับมาส่ง ... คิดได้ไม่นานก็ตัดสินใจ เดินไปก่อน เผื่อเจอแท็กซี่ก็โบกเอา น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด ....

แต่มันก็ไม่จริงเสมอไปหรอกครับ!!!

ผมใช้เวลา ๓๐ นาทีในการเดินจากโรงแรมไปยังท่ารถพร้อมกับเป้หนักมากกว่า ๗ กิโลแบกบนหลัง มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ แม้จะเหนื่อยท่ามกลางอากาศร้อนจนอยากจะพักขนาดไหน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะถ้าพลาดรอบนี้เท่ากับตั๋วในมือที่เรามีคือศูนย์เปล่า ระหว่างทางก็มองดูแท็กซี่ แต่ไม่มีสักคัน ผมเร่งสปีดเท้าพลางวิ่งบ้างในบางระยะ จนในที่สุดก็มาถึงตามเวลา ๑๐ โมง

รถโดยสารปรับอากาศที่ผมนั่งยี่ห้อ พลัสลิเนอร์ (Plusliner) ราคา ๑๔.๓ ริงกิต มีที่นั่ง ๒ แบบ คือธรรมดานั่งคู่ กับวีไอพีนั่งเดี่ยว และที่ของผมดูจะวีไอพีกว่าชาวบ้าน เพราะนั่งตรงกลางคันรถเลย แล้วข้างหน้าเราก็มีแท่นที่วางของ ก็ทำให้แอบจินตนาการว่าตัวเองกำลังอยู่ในยานอวกาศพวกหนังไซไฟ.... รถคันนี้วิ่งจากเมืองอลอร์สตาร์ ขึ้นทางด่วนไปยังรัฐปีนังใช้เวลา ๒ ชั่วโมง วันนึงมีไม่กี่รอบเท่านั้น จริงๆ ก็มียี่ห้ออื่นที่ถูกกว่าด้วยแต่ดูเวลาแล้วคันนี้โอเคสุด

ราวๆ เกือบบ่ายโมงรถก็พาเรามาถึงท่าโดยสารสุไหงนิบง (Terminal Bus Sungai Nibong) ซึ่งอยู่ไกลจากศูนย์กลางเมืองพอสมควร ต้องนั่งรถเมล์เข้าไป ในมือผมมีแผนที่ซึ่งระบุสายรถเมล์ไว้แล้วว่ามีอะไรบ้าง แต่เอาเข้าจริงมันเงียบสงัด รถที่มีระบุไว้ไม่มาสักคัน รอไปนานกว่าครึ่งชั่วโมงเลยเดินไปถามยาม ซึ่งแกก็บอกให้ผมยืนรอที่เดิมและต้องนั่งสายอะไร จนในที่สุดมันก็มา

รถเมล์ที่นี่ยี่ห้อ “ราปิด ปีนัง” ลักษณะคล้ายกับรถ ปอ.เอกชนสีเหลืองบ้านเรา แต่ไม่มีพนักงานเก็บสตางค์ ทางขึ้นมีแค่ประตูหน้า เมื่อมาก็บอกเส้นทางกับคนขับ เขาจะบอกราคาให้เราหยอดเหรียญแล้วจะได้ตั๋วฉีกจากคนขับ อย่างคันนี้ที่ผมขึ้นเสียค่าโดยสาร ๒ ริงกิต มันจะผ่านหน้า "คอมตาร์" (Komtar - Kompleks Tun Abdul Razak) ตึกที่สูงที่สุดในปีนัง และเหมือนเป็นจุดศูนย์กลางเวลาต่อรถไปที่ไหน แม้กระทั่งกลับไปแดนสยาม ก็สามารถซื้อตั๋วได้

แถวนี้ก็ดูเจริญดีครับ มีตึก มีห้าง มีรถเยอะแยะ ผมลงรถที่นั่นแล้วเดินไปตาม ถนน ปีนัง (Jalan Penang) เรื่อยๆ พลางดูแผนที่ที่เตรียมมา ลัดเข้าซอยเลเบอฮ์ เลียธ (Lebuh Leith) ทะลุ ซอย จาลัน มันตรี (Jalan Muntri) ย่านนี้มีแต่บ้านพักเก่าๆ ที่เขาเรียกว่าชิโนโปรตุกีส และที่พักผม “มันตรี เฮาส์” (Muntri House) ก็เป็นเช่นนั้น ตั้งแต่หน้าประตูไปยันทางเข้า ราวกับอยู่ในบ้านของชาวจีนสมัยก่อน ทั้งสถาปัตยกรรม และการตกแต่งของที่นี่ก็ทำให้เรารู้สึกอินกับในย่านนี้ไม่น้อย

เช็กอินพร้อมวางกระเป๋า สำรวจห้องที่นอนอันคับแคบและมีพัดลมไอน้ำให้ ใช้ห้องน้ำรวม แต่ราคาถูกและสะอาด จนเรียบร้อยก็ออกตะลอนทัวร์ดีกว่า เริ่มจุดหมายแรกกับ “วัดเก็กลกสี” (Kek Lok Si) ซึ่งอยู่ในย่าน แอร์ อิตาม (Air Itam) โดยนั่งรถเมล์สาย ๒๐๓ จาก ถนนเลเบอฮ์ ชูเลีย (Lebuh Chulia) ไป ซึ่ง วัดสุขาวดี นี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๖ เป็นวัดขนาดใหญ่อยู่บนเขา ที่ถือว่าเป็นศูนย์รวมทางใจของชาวจีนที่อาศัยในเมืองนี้ และยังมีพระราชหัตถเลขาของจักรพรรดิ์กวงซี่ และซีซี่ แห่งราชวงศ์ชิง ด้วย

ระหว่างทางบังเอิญเจอกับฝรั่งวัยรุ่นชาย ๒ หญิง ๑ คลำๆ แผนที่มาเที่ยวเหมือนกับผม แกก็เข้ามาทักทาย ผมก็ตอบไป แบบงูๆ ปลาๆ ทราบความว่าเป็นชาวดอยซ์ เพิ่งมาเที่ยวปีนัง โอ้ โชคดีแล้วมีเพื่อนเดินเข้าไปแล้ว (แม้อาจจะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องบ้างก็ตาม)


ตัววัดดูจากภายนอกถ้านอกจากเจดีย์ทรงสูงที่มียอดสีทองแล้ว อาคารอื่นๆ ก็ดูเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนล้วนๆ ทางเข้าวัดมี ๒ จุด ถ้าขับรถมาจะสามารถขับขึ้นไปถึงชั้นบนได้สบายมาก แต่ถ้าเดินมาแบบผม ก็ต้องมองให้ดีๆ หน่อย มันจะมีทางอยู่ในซอยแคบๆ ให้ขึ้นบันไดไป ระหว่างทางก็จะเจอกับร้านขายของที่ระลึกมากมาย จนถึงจุดแรก ศาลากลางน้ำ ที่มีเต่ามากมาย อาจจะเป็น ๑๐๐ เลยให้นักท่องเที่ยวได้ให้อาหาร

พอผ่านมาจะเจอลานกว้างมีเจดีย์ทรงจีนพร้อมพระพุทธรูปแบบจีนประดิษฐาน มีทางบันไดให้เดินขึ้นไป แต่ระหว่างทางก็จะมีขอทาน (จริงๆ ไม่ใช่ตัวแสดงแทน) มานั่งรอคอยผู้ใจบุญกันด้วย ... ผมไม่คิดว่าจะมาเจอที่นี่เลยนะ พอขึ้นมาถึงอีกชั้นก็จะมีทางให้ไปสู่อาคารต่างๆ ภายในก็จะมีพระพุทธรูปหลากหลายศิลปะ ทั้งแบบสยาม ,จีน,ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งในช่วงนี้จะมีกระเช้าให้ขึ้นไปข้างบนด้วย เสียค่าใช้จ่ายประมาณ ๖ ริงกิต ระหว่างทางผมก็อธิบาย (โม้)งานศิลป์ ไปเรื่อยๆ

กระเช้าเลื่อนขึ้นมาถึงด้านบนจะเจอรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมองค์สีทองขนาดใหญ่ อยู่ในศาลาที่ดูเหมือนเพิ่งสร้างเสร็จ ด้านล่างมีห้องอยู่แต่ไม่เปิดให้เข้าชม นอกจากนี้ก็ยังมีศาลาตั้งพระพุทธรูปให้กราบไหว้และผูกริบบิ้นแถบสีบนเชือก ซึ่งแต่ละสีก็จะมีคำเขียนขอพรต่างๆ เป็นภาษาจีนและอังกฤษ อาทิ ให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ,ร่ำรวย ฯลฯ พอหันหลังกลับไปทางอาคารที่เราขึ้นกระเช้ามานี่แทบตกใจ เจอเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่สีขาวครึ่งตัวยิ้มอยู่ด้านหลัง ตรงนี้ก็ดูวิวสวยดีครับ มองเห็นเมืองปีนังมุมกว้าง

ลงจากกระเช้าก็เข้าสู่อีกโซนหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์เพราะมีเจดีย์ขนาดใหญ่ยอดสีทองให้เดินขึ้นไป แน่นอนว่าผมไม่มีทางพลาด พอดูใกล้ๆ เจดีย์นี้ก็มีความแปลกสักหน่อย เพราะชั้นล่างจะสร้างแบบสถาปัตยกรรมจีน แต่พอชั้่นที่ ๒ - ๔ จะเป็นศิลปะแบบไทย และชั้นบนๆ ก็จะเป็นแบบพม่า รวมทั้งพระพุทธรูปด้วย (แต่ชั้นล่างกลับเป็นพระพุทธรูปหยกศิลปะพม่า ซะงั้น) ด้านในบันไดค่อนข้างชัน แต่ผมแนะนำว่าให้คิดเสียว่าออกกำลังกาย เดินไปจนถึงยอดแล้วมองไปยังบริเวณโดยรอบ จะฟินมาก นอกจากจะได้รับลมเย็นๆ แล้ว ยังได้ชมวิววัดและเมืองแบบจุใจเลยทีเดียว

ขากลับก็ลงทางเดิม เราก็เดินแยกจากกับเพื่อนใหม่ชาวเยอรมัน ก่อนพาตัวเองตามหาป้ายรถเมล์ ในพื้นที่ตรงนี้เป็นซอยแคบๆ ป้ายรถเมล์ก็มีแค่ป้าย ไม่มีเพิง แต่ป้ายเขาก็เจ๋งกว่าบ้านเราตรงที่บอกว่าเราอยู่ตรงไหน และจะมีรถสายอะไรผ่านไปที่ไหนบ้าง ผมก็ยืนรอสาย ๒๐๔ เพื่อไปยังสถานที่ที่ชื่อว่า “เขาปีนัง” (Penang Hill) ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก (แต่ถ้าเดินก็เหนื่อยเกิน) ตามประวัติบอกว่า เป็น ๑ ในสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในยุคที่อังกฤษยึดครองเป็นเจ้าของอาณานิคม โดยมีการสำรวจของชาวอังกฤษในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๓ เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายจากตัวเมือง จอร์จ ทาวน์

เขาปีนัง นี้ผนวกรวมเขาสตรอเบอร์รี่ ,เขาฮาลลิเบอร์ตัน ,เขาแฟลกสตาฟฟ์ ,เขาโกเวิร์นเม้นท์ ,เขาไทเกอร์ และ เขาเวสต์เทิร์น ที่มียอดสูงที่สุดจากระดับน้ำทะเล ๘๓๓ เมตร ในสมัยก่อนใช้รถม้าขนส่งขนขึ้นมา ก่อนที่จะเริ่มก่อสร้างทางรถไฟใน พ.ศ.๒๔๔๔ แต่เสร็จสิ้นทั้งหมดและเปิดให้ใช้บริการในปีใหม่ของ พ.ศ.๒๔๖๗ ซึ่งมีระยะทางยาว ๒,๐๐๗ เมตร โดยใช้ระบบรถรางก่อนที่จะพัฒนามาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน

ที่นี่เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ ๖.๓๐ น. - ๒๒.๐๐ น. แน่นอนล่ะว่า มันต้องเสียค่าเข้าเพื่อขึ้นรถรางไฟฟ้า ราคาผู้ใหญ่ ๓๐ ริงกิต แพงใช่เล่นเลย กว่าจะขึ้นไปถึงชั้นสูงสุดจะต้องผ่าน ๗ สถานี ซึ่งใครอยากจะลงก็บอกเขาได้ เพราะมันมีพวกบ้านพักเก่าๆ ให้ได้เดินชม แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มักขึ้นไปแค่ชั้นสุดท้าย (รวมทั้งผม) ถ้านั่งข้างหน้าสุดติดกับคนขับ นี่จะได้อารมณ์มาก ซึ่งบนยอดก็จะมีที่น่าสนใจอย่างจุดชมวิว สุเหร่า โบสถ์ฮินดู โบสถ์คริสต์ และพิพิธภัณฑ์นกฮูก ซึ่งอยู่ตรงลานกว้างๆ มีร้านอาหารและที่ให้ถ่ายรูปเล่น แต่สำหรับผมคิดว่า จุดที่เป็นไฮไลท์ที่สุดคือตรงสถานีสุดท้ายมากกว่า ตรงนี้จะมองเห็นอุโมงค์ทะลุเนินเขาที่รถรางลอดมาจากด้านล่างและถัดจากเนินเราก็จะเห็นภาพทิวทัศน์ด้านล่างของเมืองปีนัง ว่ากันว่าจะวิวคลาสสิคของที่นี่เลยล่ะ

จะบอกว่า เสีย ๓๐๐ เพื่อมาดูแค่นี้ ก็คงโอเคล่ะมั้ง!!

เดินชมจนสมใจ จริงๆ ไม่ใช่ คือมันไม่ค่อยมีอะไร แล้วพอดูเวลามันก็หกโมงกว่า (แต่ยังไม่มืดนะ) ก็เลยตัดสินใจจะไปอีกที่หนึ่ง จึงรีบลงมารอรถเมล์ที่ป้ายหน้าทางเข้า พอมาถึงก็ยืนรอ รอแล้วรอเล่ามันก็ไม่มา พร้อมกับชาวต่างชาติผู้ร่วมชะตากรรมอีกหลายๆ คน บ้างก็นั่งแท็กซี่ไปก่อน ส่วนผมด้วยความงกเลยยืนรอ พอชักหงุดหงิดก็ไปถามลุงยามว่ารถมันหมดแล้วหรือ แกบอกจริงๆ คุณเดินไปอีก ๑ แยกก็จะเจอป้ายรถเมล์ตรงนั้นมีรถมากมายที่จะเข้าไปตัวเมือง แต่ถ้ารอตรงนี้อีก ๑๐ นาทีมันก็จะมา ... เอิ่ม คือ ทำไมกูไม่เดินมาถามตั้งแต่แรกวะ ...

สรุปก็รอไป ชั่วโมงนึง รถเมล์ก็มาพร้อมกับขอพักผ่อนอีก ๑๕ นาที เออ ได้ ไหนๆ ก็รอพี่มาซะขนาดนี้ และแล้วก็ได้เวลากลับถิ่น แต่ผมสังเกตุเห็นอะไรที่ไม่น่าจะชอบมาพากลบางอย่างครับ!! .... ปกติเวลาเราขึ้นรถคนขับจะแจกตั๋วพร้อมกับหย่อนเงินใส่ตู้ แต่ตานี้ไม่ใช่ แกกลับไม่แจกตั๋วแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติซะงั้น ตอนแรกผมยังไม่คิดอะไร แต่สักพักก็เริ่มเอะใจ และด้วยที่เรานั่งหน้าสุด (เพราะถามแกเรื่องของกินท้องถิ่นอยู่) เลยเหลือบไปดู โอ้ ... พี่แกเล่นแฮปตังค์เข้ากระเป๋าตัวเองซะงั้น คือเวลาคนจ่ายเงินพี่ท่านก็รีบขย้ำเงินซ่อนไว้ในมือไม่หย่อนใส่ตู้ มิน่าล่ะทำไมเอ็งไม่แจกตั๋ว วันนึงคงได้หลายร้อยนะเนี่ย ....

ก็ว่ากันไปครับ

อ่านต่อฉบับหน้า ....
กำลังโหลดความคิดเห็น