ในบรรดาโซเชียลมีเดียที่ใช้งานอยู่ขณะนี้ ลองนับนิ้วมือดูแล้ว มีเพื่อนพ้องน้องพี่ที่รู้จักหรือคุยกันอยู่ภูเก็ต ทำงานภูเก็ต หรือมีภูมิลำเนาอยู่ที่นั่นราว 6-7 คน การมาเยือนภูเก็ตครั้งนี้ นอกจากจะมาท่องเที่ยวกับพี่ชายแล้ว ก็ถือโอกาสได้มาทำความรู้จักกับเพื่อนพ้องน้องพี่ตัวจริงเสียงจริงกันบ้าง หลังจากที่เราได้เห็นกันแค่ตัวหนังสือหรือโทรคุยเท่านั้น
เมื่อปี 2554 (บทความตอนที่แล้วผิดพลาดเล็กน้อย) ผมได้รู้จักกับเพื่อนชาวทวิตเตอร์ที่เป็นสถาปนิกก่อนกลับกรุงเทพฯ มารับไปชมบรรยากาศเมืองเก่า เดินเที่ยวงานถือศีลกินผัก แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เจอ เพราะเขาบอกว่าช่วงนี้งานยุ่งมาก เช่นเดียวกับเพื่อนชาวทวิตเตอร์ที่เพิ่งคุยกัน ว่าจะนัดเจอกันปรากฏว่าคืนนั้นงานไม่เสร็จ เลยอดพบกันไป
มาคราวนี้ผมได้พบกับ คุณกบ-ธิติ ตัณฑวณิช นักธุรกิจชาวภูเก็ต เมื่อก่อนรู้จักผ่านแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า Path บอกกับเขาไว้ว่าถ้ามีโอกาสลงมาภูเก็ตคงได้เจอกัน ต่อมาผมเลิกเล่น Path ก็เลยแอดเฟซบุ๊ก ด้วยความที่คุณกบเป็นเจ้าของรีสอร์ท ซึ่งผมคิดไว้นานแล้วว่าถ้ามีโอกาสลงมาภูเก็ตจะแวะเยี่ยมเขาสักครั้ง เลยจองห้องพักเอาไว้ในคืนที่สอง
รถแท็กซี่พาผมและพี่ชายจากป่าตองไปถึงรีสอร์ทประมาณ 11 โมงเศษ มาถึงผมเห็นคุณกบกำลังสาละวนกับการต้อนรับแขกที่มาเยือนรีสอร์ท แต่ด้วยความที่ทางโรงแรมขอเวลาเก็บห้องพักเนื่องจากลูกค้าเพิ่งเช็กเอาท์ออกไป คุณกบเลยอาสาพาผมและพี่ชายไปทานข้าวกลางวันในตัวเมืองภูเก็ต
เทอร์ราซโซ รีสอร์ท ภูเก็ต เป็นรีสอร์ทแบบอีโค่-ชิคที่เน้นใกล้ชิดธรรมชาติ ทางเข้ารีสอร์ทจะอยู่บริเวณปากทางเข้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต ถนนวิชิตสงครามตัดใหม่ (ภูเก็ต-ป่าตอง) เข้าถนนมหาวิทยาลัยแล้วเลี้ยวขวาขึ้นไปบนภูเขาประมาณ 350 เมตร ก็จะถึงรีสอร์ทบริเวณสุดทางด้านขวามือ
เท่าที่ผมสัมผัสบรรยากาศรีสอร์ทครั้งแรก เหมือนมีความรู้สึกว่าตัวเองมาเที่ยวเขาใหญ่มากกว่า เพราะโดยรอบเต็มไปด้วยภูเขา ป่าไม้ สนามหญ้าสีเขียว ท่ามกลางความเงียบสงบ ต่างจากรีสอร์ทภูเก็ตที่เราเห็นซึ่งส่วนมากจะอยู่ริมทะเล โดยห้องพักมี 3 ขนาด คือ ห้องซูพีเรีย ห้องดีลักซ์ และห้องแกรนด์ดีลักซ์ ซึ่งจะมีมินิบาร์เล็กๆ พร้อมกาต้มน้ำร้อน
ในห้องพักจะมีเคเบิลทีวี มีไว-ไฟที่สัญญาณเสถียรมาก ออกไปดูภายในรีสอร์ทมีสระว่ายน้ำเล็กๆ มีห้องฟิตเนสชั้นล่าง ขึ้นไปข้างบนจะพบกับจุดชมวิวที่มองเห็นสนามกอล์ฟ และเทือกเขานาคเกิดซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติอยู่ตรงหน้า ผู้เข้าพักมักนิยมขึ้นไปชมวิวพร้อมเก็บภาพสวยๆ โดยเฉพาะในช่วงเย็นก่อนตะวันตกดิน
ช่วงโลว์ซีซันส์ถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ราคาห้องพักถูกกว่าช่วงอื่น ใครที่สนใจเข้าพักที่นี่ ติดต่อสอบถามหรือชมภาพบรรยากาศรีสอร์ทสวยๆ ทางเฟซบุ๊ก Terrazzo Resort Phuket ก่อนก็ได้ และนอกจากห้องพักแล้ว ในช่วงงานท่องเที่ยวต่างๆ เช่น งานไทยเที่ยวไทย ยังมีแพคเกจท่องเที่ยวภูเก็ตในแบบที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนอีกด้วย
……………………………
มาที่มื้อกลางวัน คุณกบพาเราไปทานข้าวกันที่ ร้านลกเทียน ศูนย์รวมอาหารพื้นเมืองภูเก็ต ตั้งอยู่ที่ถนนดีบุกตัดกับถนนเยาวราช ที่นั่นรวบรวมร้านขายอาหารพื้นเมืองภูเก็ตหลายชนิด ในราคาย่อมเยา เมนูแรกคุณกบสั่งให้เราชิมกันก็คือ ปอเปี๊ยะฮกเกี้ยนสด ซึ่งราดด้วยซอสสีน้ำตาล รสชาติจะเปรี้ยวรสบ๊วย
พี่ชายผมสั่งหมี่ผัดฮกเกี้ยนใส่ไข่ ซึ่งถือเป็นเมนูเด็ดประจำร้าน ส่วนผมสั่งบี้หุ้นกระดูกหมู ซึ่งเส้นหมี่ผัดกับน้ำซุปกระดูกซี่โครงหมู รสชาติหวานน้ำซุปกระดูกหมู นอกจากนี้ยังมีเมนูของหวานที่ขึ้นชื่ออย่าง โอ้เอ๋ว เป็นน้ำแข็งใสที่มีวุ้นขาวใสทำจากกล้วย โรยหน้าด้วยถั่วแดง โปะด้วยน้ำแข็งบด ก่อนราดน้ำหวานแดงและนมข้นหวาน
หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว ก่อนที่คุณกบจะไปส่งที่รีสอร์ท เราได้มาเห็นบรรยากาศโดยรอบตัวเมืองภูเก็ต ที่มีตึกเก่าสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ที่ยังคงอนุรักษ์เอาไว้แม้วันเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม แต่คนขับรถประจำรีสอร์ทบอกกับผมว่า ถ้าจะชมความสวยงามของเมืองเก่าอีกรูปแบบหนึ่งให้ไปในช่วงค่ำ
ช่วงที่อยู่บนรถพูดคุยกับคุณกบเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ได้ความทำนองว่า ที่ภูเก็ตจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาที่นี่ตลอด สิ่งอำนวยความสะดวกไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่มีปัญหาเรื่องไฟฟ้าและน้ำประปา แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่เขาอยากจะเห็นในอนาคตก็คือ ศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติ ซึ่งจะช่วยเติมเต็มให้การท่องเที่ยวภูเก็ตสมบูรณ์แบบมากขึ้น
อันที่จริงคุณกบยังเป็นเจ้าของ “บ้านพระพิทักษ์ชินประชา” ซึ่งตอนที่นั่งรถผ่าน พี่ชายถามคุณกบว่าที่นั่นเป็นอะไร เมื่อคุณกบตอบว่า “เป็นบ้านผมเองครับ” ถึงกับตกใจเล็กน้อย ซึ่งจริงๆ คุณกบเป็นหลานของพระพิทักษ์ชินประชา กรมการพิเศษเมืองภูเก็ต ที่เคยมีส่วนร่วมพัฒนาเมืองภูเก็ตให้เจริญก้าวหน้าสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน
บ้านพระพิทักษ์ชินประชา ภูเก็ต เป็นบ้านเก่าแบบชิโน-โปรตุกีส หลังแรกของจังหวัดภูเก็ต ที่เรียกว่า “อังม่อเหลา” ปัจจุบันมีอายุกว่า 100 ปี แต่ได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี รวมทั้งอนุรักษ์ประเพณี อย่างการแต่งกาย และงานแต่งงานแบบบาบ๋า ย่าหยา แต่น่าเสียดายที่คุณกบติดภารกิจ จึงไม่ได้แวะชม แต่ก็คิดว่าไว้โอกาสหน้าค่อยมาชมก็ได้
ผมกับพี่ชายพักผ่อนในรีสอร์ทอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะออกไปทำธุระส่วนตัวและซื้อของเข้าห้องพัก ที่นี่ค่าแท็กซี่ถือว่าสูง แต่นับว่ายังโชคดีที่เราได้คนขับรถที่ต่อรองราคากันได้ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต ถือว่าเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมของชาวภูเก็ต และนักท่องเที่ยว ปัจจุบันถูกขยับขยายออกเป็น 2 อาคาร และกำลังจะมีอาคารที่สาม
ถึงเซ็นทรัล เฟสติวัล กับจังซีลอนจะเป็นศูนย์การค้าที่แข่งขันกันดุเดือด แต่ก็พออธิบายได้ว่า กลุ่มลูกค้าที่มาช้อปมีที่มาต่างกัน โดยที่เซ็นทรัลกลุ่มลูกค้าจะเป็นชาวภูเก็ต คนในท้องที่ และกลุ่มทัวร์จีนที่มักจะแวะมาช้อปปิ้ง แต่ถ้าเป็นที่จังซีลอนลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่มาพักผ่อนตากอากาศ เนื่องจากที่ตั้งอยู่ใจกลางหาดป่าตองนั่นเอง
……………………………
สองทุ่ม ผมและพี่ชายนัดคนขับรถประจำรีสอร์ทมารับ เพื่อไปดูบรรยากาศเมืองเก่าภูเก็ตยามค่ำคืน โดยที่เขาไปส่งผมที่สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มหาราชินี บนถนนถลาง เริ่มกันด้วย “ฮ่ายเหล็งอ๋อง” หรือพญามังกรทะเล ประติมากรรมมังกรสีทองขนาดใหญ่โดดเด่นเป็นสง่า สะกดสายตาให้เราถ่ายรูปเป็นการชิมลาง
จากนั้นเราเดินตรงไปจะเห็นสี่แยกถนนถลางตัดกับถนนเทพกษัตรี และถนนภูเก็ต เราจะได้เห็น “ชุมชนย่านเมืองเก่า ถนนถลางภูเก็ต” อาคารโบราณที่ก่อสร้างสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ถูกประดับไฟสลับสีอย่างสวยงาม ทั้งสีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน รวมทั้งยังเก็บสายไฟไว้ใต้ดินเพื่อปรับทัศนียภาพให้สวยงามยิ่งขึ้น
ย่านเมืองเก่าภูเก็ตโดยส่วนมากจะเป็นร้านกาแฟ ร้านของว่าง ด้านขวามือเราได้พบกับ “บ้านอ๋องซิมผ่าย” คหบดีต้นตระกูลถาวรว่องวงศ์ แม้บ้านหลังนี้จะปิดเงียบ มีเพียงไฟที่เปิดหน้าบ้าน แต่สะดุดตากับกล่องหนังสือพิมพ์ “ผู้จัดการรายวัน” ซึ่งมีสโลแกนข้างใต้ว่า “หนังสือพิมพ์ระดับชาติผ่านดาวเทียมเพื่อชาวใต้”
ถ้าผมจำไม่ผิดทราบมาว่าสมัยก่อน เครือผู้จัดการแตกไลน์สื่อสิ่งพิมพ์จากนิตยสารรายเดือน รายสัปดาห์ สู่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เป็นผู้บุกเบิกส่งบุคลากรจากส่วนกลางตั้งศูนย์ข่าวภูมิภาค รวมทั้งใช้เทคโนโลยีดาวเทียมส่งต้นฉบับป้อนเข้าโรงพิมพ์ที่หาดใหญ่ เพื่อให้หนังสือพิมพ์สดใหม่ จากที่สมัยก่อนใช้รถขนหนังสือพิมพ์ซึ่งล่าช้าข้ามวัน
แม้ในปัจจุบันเทคโนโลยีจะก้าวหน้ากว่าในอดีต เว็บไซต์ข่าวอันดับหนึ่งของเมืองไทยอย่าง ASTVผู้จัดการออนไลน์ ได้เข้ามาบุกเบิกเซ็กชันภาคใต้ แยกจากเซ็กชันภูมิภาคต่างหาก แต่สโลแกนที่ว่า “หนังสือพิมพ์ระดับชาติผ่านดาวเทียมเพื่อชาวใต้” สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในอดีต ที่จะทำให้ประชาชนรับรู้ข่าวสารอย่างฉับไว ตรงไปตรงมา
ถัดจากนั้น เดินผ่าน ซอยรมนีย์ ซึ่งจะได้เห็นตึกแบบโคโลเนียลประดับไฟหลากสีด้วยสีสันสดใส สมัยก่อนซอยแห่งนี้เป็นสถานเริงรมย์ยามค่ำคืน ปัจจุบันถูกดัดแปลงให้กลายเป็นร้านกาแฟ เราเดินวนมาถึงถนนพังงา ซึ่งจะพบกับ โรงแรมออนออน ซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่แห่งแรกของภูเก็ต ปัจจุบันยังคงเปิดให้บริการ
เดินมาถึงแยกธนาคารชาร์เตอร์ด เราจะเห็นหอนาฬิกาที่โดดเด่นเป็นสง่า ตรงจุดนี้เดิมเป็น อาคารสถานีตำรวจตำบลตลาดใหญ่ ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี 2453 สนับสนุนการก่อสร้างโดยธนาคารชาเตอร์ ปัจจุบันแม้จะเป็นอาคารร้างที่ไม่มีผู้อยู่อาศัย แต่ก็ยังมีการประดับไฟส่องสว่าง รวมทั้งนาฬิกายังคงใช้การได้อยู่
เดินถ่ายรูปกับพี่ชายนานพอสมควรก็เกิดอาการหิว เนื่องจากตอนเย็นยังไม่ได้ทานข้าว เราจึงตามหาร้านข้าวละแวกนั้น แต่เมื่อร้านอาหารส่วนใหญ่ปิดหมดแล้ว เหลือแต่ร้านเหล้า ร้านกาแฟ ซึ่งเราคงอยากหาเมนูข้าว แต่นับว่าโชคดีเมื่อเดินไปถึงวงเวียนสุริยเดช ถนนเยาวราช ตัดกับถนนรัษฎาและถนนระนอง ก็พบกับร้านข้าวแกงเจ้าหนึ่ง
ข้าวแกงร้านนี้เป็นร้านไม่มีชื่อ อยู่ติดกับร้านกาแฟคอฟฟี่แม็กซ์ ผมกับพี่ชายสั่งอาหารราดข้าวสองอย่าง เมนูผัดพริกแกงของเขาเผ็ดแบบชนิดที่ว่าสะใจสำหรับคนที่ไม่ทานเผ็ด ทางเจ้าของร้านก็ยังใจดีบอกกับผมว่า ไม่ต้องรีบก็ได้ ข้าวแกงร้านนี้สองอย่างตกคนละ 40 บาท และช่วงกลางคืนยังมีข้าวต้มขายด้วย
หลังอิ่มท้อง แวะซื้อของกินเข้าห้องพัก ก็ได้เวลาเดินเท้ากลับไปยังจุดนัดหมายเดิม ตามที่คนขับรถไปส่ง ซึ่งอันที่จริงค่าแท็กซี่ไป-กลับปกติสนนราคาหลักพันบาท แต่ถ้าเราหาทางคุยกับคนขับรถได้ราคาก็จะถูกลงมาบ้าง แต่ก็เข้าใจดีว่าภูเก็ตเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่บนเกาะ ค่าเชื้อเพลิงทั้งน้ำมันและก๊าซจะแพงกว่าที่อื่น
……………………………
วันสุดท้ายของการเดินทาง มื้อเช้าทางโรงแรมได้จัดอาหารเช้าไว้ให้ที่ร้านอาหารด้านข้างรีสอร์ท เพียงแค่แจ้งหมายเลขที่พักแก่พนักงานร้านอาหาร มีให้เลือกระหว่างอาหารเช้าแบบอเมริกันหรือข้าวต้ม ผมกับพี่ชายเลือกที่จะทานอาหารแบบอเมริกัน จากนั้นผมก็ใช้เวลานอนดูทีวีกระทั่งถึงเวลาเช็กเอาท์
น่าเสียดายที่คนขับรถของรีสอร์ทติดภารกิจรับ-ส่งนักท่องเที่ยวอยู่ จึงไม่ได้ร่ำลาและใช้บริการ แต่ตอนเช็กเอาท์ได้เจอคุณกบผ่านมาพอดี ได้สอบถามว่าที่พักเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งก็ต้องขอบคุณที่ดูแลที่พักเป็นอย่างดี ผมโทรศัพท์เรียกรถแท็กซี่ป้ายดำที่เคยมาส่งผมจากป่าตองมารีสอร์ท คราวนี้พี่ชายอยากแวะซื้อของฝากก่อนที่จะกลับสนามบิน
แท็กซี่ป้ายดำพาเราแวะซื้อของฝากที่ร้านคุณแม่จู้ ภูเก็ต ซึ่งเป็นร้านขายของฝาก ของที่ระลึก อันที่จริงร้านคุณแม่จู้มีสองสาขา คือ สาขาถลางซึ่งเป็นสาขาใหญ่ อยู่ริมถนนเทพกษัตรี ก่อนถึงแยกทางเข้าสนามบินภูเก็ต และสาขาหมู่บ้านสะปำ เป็นสาขาเล็กๆ อยู่ริมถนนเทพกษัตรี เลยแยกบางคู ก่อนถึงตัวเมืองภูเก็ต
พูดถึงหมู่บ้านสะปำ เลยไปอีกหน่อยก็จะเป็นห้างสรรพสินค้าขวัญใจเมืองภูเก็ตนามว่า “ซุปเปอร์ชีป” หลังเกิดเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา มีคนสงสัยว่าเป็นการปิดตำนานหรือไม่ ปรากฏว่าเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา ซุปเปอร์ชีปเปิดอาคารใหม่เอี่ยมอย่างดีแล้ว กลับมาสร้างความคึกคักให้กับธุรกิจค้าปลีกเมืองภูเก็ตอีกครั้ง
จริงๆ เจ้าของห้างซุปเปอร์ชีปแกไม่ยอมแพ้ เท่าที่ตามข่าวหลังเพลิงไหม้ไม่กี่วันก็ได้ปรับการขายใหม่ ด้วยการกางเต้นท์ที่จอดรถด้านหน้าขายอาหารสด เครื่องอุปโภค บริโภค รวมทั้งยังกระจายสินค้าไปยังซุปเปอร์ชีป มินิมาร์ท ที่มีอยู่ 45 สาขา กระทั่งทราบมาจากทวิตเตอร์ว่าห้างซุปเปอร์ชีปก่อสร้างใหม่ตอนนี้เปิดให้บริการแล้ว
ถึงกระนั้นก็ยังไม่เห็นสื่อสำนักไหนรายงานถึงเรื่องนี้ ทั้งที่ความจริงเรื่องธุรกิจขนาดใหญ่ในแวดวงท้องถิ่นก็ควรที่จะนำเสนอ สื่อทุกวันนี้หันไปให้ความสนใจกับโมเดิร์นเทรดชื่อดัง จนสังคมถูกมองว่าจะเป็นการกลืนกินบรรดาห้างร้านต่างๆ ที่พวกเขาปรับกลยุทธ์เพื่อสู้ศึกกับทุนขนาดใหญ่ เหมือนจะไม่ให้ความเป็นธรรมกับคนท้องถิ่นเหล่านั้นหรือเปล่า
ร้านคุณแม่จู้ ภูเก็ต เป็นร้านขายของฝากที่มีเมนูขึ้นชื่ออย่างน้ำพริกกุ้งเสียบ แกงไตปลา และขนมพื้นเมือง ซึ่งมีทั้งขนมเปี๊ยะภูเก็ต และขนมจากจังหวัดทางภาคใต้ เช่น โรตีกรอบ ซึ่งสะดวกสำหรับคนที่จะบินไปยังต่างประเทศ เพราะมีบริการแพ็คใส่กล่องกระดาษลูกฟูกอย่างดีสำหรับคนที่จะโหลดน้ำหนักสัมภาระขึ้นเครื่องบิน
ผมซื้อขนมไปฝากเพื่อนร่วมงานที่ออฟฟิศอย่างละนิดละหน่อย เพราะเงินในกระเป๋าเริ่มร่อยหรอ ส่วนพี่ชายซื้อของฝากให้ที่ทำงาน รวมทั้งซื้อ “น้ำพริกกุ้งเสียบ” เมนูขึ้นชื่อของที่นี่ไปลองชิม ปรากฏว่ากลับมาบ้านดันไปซื้อรสเข้มข้น เอาไปกินกับข้าวสวย อร่อยจริงแต่เผ็ดถึงใจแทบน้ำหูน้ำตาไหล ต้องซดน้ำทีละแก้วสองแก้ว ตามประสาคนไม่ค่อยกินเผ็ด
ว่าจะลองน้ำพริกกุ้งเสียบสูตรธรรมดา กับสูตรผัดมะขามดูบ้าง เผื่อว่าจะเผ็ดน้อยลงมาบ้าง ก็คิดว่าถ้ามีโอกาสลงมาคราวหน้าคงต้องเผื่อสตางค์ไปซื้อมาลองชิม แต่ทราบมาว่าเดี๋ยวนี้ร้านคุณแม่จู้หันมาขายของผ่านเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า “คุณแม่จู้ ของฝากเมืองภูเก็ต” โดยคิดค่าส่งตามน้ำหนักอีกด้วย
ระหว่างที่รอพี่ชายซื้อของในร้าน ผมพูดคุยกับคนขับรถ ทราบมาว่าช่วงนี้เป็นช่วงโลว์ซีซันส์ นักท่องเที่ยวน้อยลง หากเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวก็จะมีรายได้มากกว่านี้ ทุกวันนี้จึงดูเหมือนว่าหารายได้ให้พอกินไปวันๆ หนึ่ง แต่เขาเป็นคนอัธยาศัยดีมาก ผมจ่ายค่าแท็กซี่แม้ผมจะบวกค่าเสียเวลาเล็กน้อย แต่เขาก็นอบน้อมดีมากจนผมแทบจะรู้สึกดีไปด้วย
กลับเข้าสู่ความวุ่นวายในสนามบินภูเก็ต ช่วงนี้กำลังอยู่ในระหว่างปรับปรุงโดยการสร้างอาคารจอดรถขึ้นมาใหม่ รวมทั้งก่อนหน้านี้ได้เปิดเอ็กซ์เทอร์มินอล สำหรับสายการบินระหว่างประเทศแบบเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟล์ท) แต่สนามบินแห่งนี้เกิดคอขวด อีกทั้งยังมีปริมาณเที่ยวบินมากจนสล็อตเต็ม ไม่พอให้สายการบินเข้ามาให้บริการเพิ่ม
ในวันนั้นภูเก็ตมีฝนตกลงมาอย่างหนัก นับว่าโชคดีที่เที่ยวบินกลับดอนเมืองไม่เกิดอาการดีเลย์เสียก่อน กว่าจะถึงกรุงเทพฯ ก็ราวๆ เกือบทุ่มหนึ่ง พร้อมกับกระเป๋าเป้สัมภาระ และกล่องของฝากร้านแม่จู้ ที่แอร์เอเชียไปทำอีท่าไหนไม่รู้ จากกล่องสภาพดีใหม่เอี่ยมกลายเป็นกล่องที่ยับยู่ยี่ราวกับผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน แต่ยังดีที่ไม่มีอะไรเสียหาย
ถึงทริปภูเก็ตเที่ยวนี้จะหมดเงินไปเยอะเพราะค่ากิน ค่าแท็กซี่ ที่ถือว่าอำนวยความสะดวกให้พี่ชาย ซึ่งนั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งถ้าไปเที่ยวเองจะเขียมกว่านี้ นอกจากภาพความวุ่นวายเมื่อเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มักจะมีสารพัดปัญหา แต่ผมก็ได้เห็นความสวยงามของความเป็นภูเก็ต พร้อมกับความรู้สึกดีๆ กลับไปพอสมควรเหมือนกัน
โลกใบนี้ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายไปเสียทั้งหมดหรอก หากเราหลีกหนีความเลวร้ายออกไป แล้วหันมามองโลกอีกมุมหนึ่ง อาจจะเห็นอะไรดีๆ ที่ทำให้เราได้ความรู้สึกใหม่ๆ ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ขึ้นมาได้