ไม่นานมานี้ในรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เมื่อวันศุกร์ที่ 2 พ.ค. 2557 คุณสนธิวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทยในยุคที่แบ่งขั้วแยกมิตรแยกศัตรู ด้วยคำพูดประโยคหนึ่ง “คนที่มาติดต่อให้เจรจาสงบศึกกับศัตรู คนนั้นคือคนทรยศ”
หลายคนที่เป็นคอหนังระดับตำนาน และชอบเอาหนังเก่ามาดู คงนั่งอมยิ้มนึกออกว่ามาจากหนังเรื่องใด
ใช่แล้วครับ นี่เป็นประโยคหนึ่งในภาพยนตร์ เดอะก็อดฟาเธอร์ ภาคหนึ่งครับ ในฉากที่เจ้าพ่ออย่างวีโต้ คอร์เลโอเน สอนลูกชายคนเล็กของเขาคือไมเคิล เรื่องการดูคนกับแผนลับลวงพราง บังเอิญผมกำลังดูหนังเก่าเรื่องนี้อยู่พอดี ยังมีคำคมที่น่าคิดอีกหลายประโยคทีเดียวครับ เช่นว่า
• “เราจะยื่นข้อเสนอที่คุณปฎิเสธไม่ได้”
• “จงให้อภัยศัตรู ลืมเรื่องระทมขมขื่นซะ ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยโชคร้าย”
• “คนที่เป็นศัตรูกับคนที่ซื่อสัตย์อย่างคุณ ย่อมเป็นศัตรูของผมด้วย”
• “ผู้ชายที่ไม่ให้เวลากับครอบครัว ไม่มีวันเป็นลูกผู้ชาย”
• “มิตรภาพคือทุกสิ่งทุกอย่าง สำคัญกว่าพรสวรรค์ สำคัญกว่ารัฐบาล มันเกือบจะเท่าความสัมพันธ์ในครอบครัว”
ขอค้นข้อมูลขยายความเป็นมาของเดอะก็อดฟาเธอร์จากเว็บไซต์ต่างๆ สักเล็กน้อยนะครับ หนังดีระดับตำนานเรื่องนี้ จัดเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่เป็นที่จดจำของคนดูทั่วโลก และมีการสร้างต่อเนื่องมาสามภาค ภาคแรกออกฉายเมื่อปี 1972 ประสพความสำเร็จสูงมาก ได้รางวัลออสการ์ 3 รางวัล คือ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม และสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
เดอะก็อดฟาเธอร์ (The Godfather) เป็นภาพยนตร์ ที่กำกับโดยฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 1972 เกี่ยวกับครอบครัวมาเฟียชาวอิตาลี ชื่อคอร์เลโอเน ที่อพยพจากเมืองเล็กๆ ใกล้กับเมืองปาแลร์โม เมืองเอกของเกาะซิซิลี ไปอยู่ที่เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยมีเนื้อเรื่องครอบคลุมช่วงทศวรรษ ค.ศ. 1945 -1955 สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกัน ที่เขียนโดย มาริโอ พูโซ ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1969
เดอะก็อดฟาเธอร์ ได้รับการจัดอันดับโดยเว็บไซต์ IMDB ให้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่ง จาก 250 อันดับ และถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 2 ของภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาลจัดลำดับโดยสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน จากการจัดลำดับใหม่ในปี2007
ต่อมา ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ได้สร้างภาพยนตร์ภาคต่อ คือ เดอะก็อดฟาเธอร์ ภาค 2 (1974) และเป็นภาพยนตร์ฉายทางโทรทัศน์ เดอะก็อดฟาเธอร์ซากา โดยนำภาพยนตร์ภาคแรก และภาคสองมาตัดต่อรวมกัน ฉายทางช่อง NBC เมื่อ ค.ศ. 1977 และ ในปี1990 ได้สร้างภาพยนตร์ภาคจบ ใช้ชื่อว่า เดอะก็อดฟาเธอร์ ภาค 3
หนังเรื่องนี้สร้างภาคแรกออกฉายตั้งแต่ปี 1972 และทำภาคสามหรือภาคจบในปี 1990 ซึ่งก็ถือว่าเป็นหนังที่ใช้เวลายาวนานมากถึง 18 ปีเลยทีเดียวกว่าจะจบ
ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ผู้กำกับระดับตำนานคนนี้ยังเคยมาช่วยท่านมุ้ยทำหนังเรื่องสุริโยไทอีกด้วยอันนี้เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆนะครับ
หนังสะท้อนประวัติศาสตร์อเมริกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นเรื่องของ ชาวอิตาเลียนที่ไปตั้งรกรากในดินแดนเสรีภาพ แต่ในมุมมืดของสังคม คนทุกข์ยากต้องมาร้องขอความเป็นธรรมจากเจ้าพ่อมาเฟียผิดกฎหมาย
เจ้าพ่อมีอิทธิพลเติบโตขึ้นจากความเลวร้ายของสังคม ภายใต้อำนาจรัฐและกลไกรัฐที่ไม่เป็นธรรม ข่มเหงรังแกคนยากไร้ คนที่ถูกสังคมทอดทิ้ง มาเฟียมีคนนับหน้าถือตาด้วยการสร้างพระเดชและพระคุณ คนรอบข้างและฝ่ายตรงข้ามต้องสังเวยชีวิต
แม้เจ้าพ่อจะรอดชีวิตมาได้และมีชีวิตอย่างยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีความสุขในชีวิต ต้องเข่นฆ่าหักเหลี่ยมเฉือนคมกับแก๊งอื่นๆ สร้างความยิ่งใหญ่ในโลกอาชญากรรมและอาณาจักรธุรกิจ เขาดูแลครอบครัวและลูกน้องในปกครองอย่างยุติธรรม มีสมญาว่าก็อดฟาเธอร์ สร้างเครือข่ายซื้อคนในวงการเมือง ตำรวจ และเจ้าที่รัฐโดยแลกเปลี่ยนด้วยผลประโยชน์มหาศาล
เสน่ห์ของเดอะก็อดฟาเธอร์ คือการสะท้อนคู่ความขัดแย้งระหว่างความโหดร้ายขมขื่น กับความนิ่มนวลอ่อนโยนของชีวิต ระหว่างความซื่อสัตย์จงรักภักดีกับการทรยศหักหลัง ระหว่างความร่ำรวยจากธุรกิจทั้งผิดกฎหมายและสีเทาอย่างยาเสพติดและกาสิโนกับการบริจาคช่วยเหลือคนจน ระหว่างความทุกข์ทารุณของโลกมืด และความพยายามจะออกจากโลกมืดไปหาโลกที่สว่างสุขสวยงาม
ที่สำคัญเดอะก็อดฟาเธอร์ เป็นกระจกส่องจิตวิญญาณภายในของความเป็นมนุษย์และความหมายของชีวิต ทั้งด้านที่บิดเบี้ยวอัปลักษณ์น่าเกลียดชัง และความงดงามละเอียดอ่อน
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ครบรสมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว เพราะมีทั้งเรื่องความรัก เรื่องแอคชั่นมันส์ เรื่องของคำพูดเจ๋งๆ ดีๆ มีครบเลยครับผม เชื่อว่าคอหนังส่วนใหญ่คงจดจำไม่รู้ลืมกันไปอีกนาน
หนังเจ้าพ่อเรื่องนี้ทำให้ได้รู้ว่าวิถีของนักเลงหรือเจ้าพ่อนั้นไม่ใช่ใช้แค่เพียงกระบอกปืน หรือความรุนแรงเท่านั้น ยังมีเรื่องของการบริหารจัดการ ทั้งการวางตัวคนแต่ละคนให้เหมาะสมต่องานแต่ละชิ้นหรือความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน
อุบายในการกำจัดคู่แข่งหรือศัตรูที่คิดร้ายก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าเรียนรู้จากหนังเรื่องนี้ เพราะวิธีแบบมาเฟียไม่ได้มีแต่แค่วิธีโหดๆ แบบเลือดสาดเท่านั้น บางครั้งก็มีการวางแผนซ้อนแผน หรือการยืมมือ คนอื่นเข้ามาจัดการ
หนังเรื่องนี้ยังดีเด่นในการทำเพลงประกอบ ทำออกมาได้ดีมากไม่แพ้เนื้อหา และยังมีภาพที่สวยงามทั้งมุมกล้องและฉากต่างๆ มันให้ความรู้สึกขลังอย่างบอกไม่ถูก ก็สมแล้วละครับที่หนังเรื่องนี้จะเป็นตำนานหนึ่งในวงการภาพยนตร์
ดูหนังเรื่องนี้สามภาคแล้ว เห็นธาตุแท้ทั้งดีชั่วของมนุษย์ ทั้งมิตรและศัตรู เอามาใช้เป็นข้อคิดเตือนใจสำหรับวิเคราะห์เบื้องหน้าเบื้องหลังเบื้องลึกการเมืองบ้านเราวันนี้ ก็ไม่เลว จริงไหมครับ