อย่างที่มักจะกล่าวอยู่เสมอว่า ระบอบทักษิณ และคนของระบอบทักษิณนั้น ไม่ต้องมีใครไปกลั่นแกล้ง ก็จะมีเหตุทำลายตัวเองขึ้นมาเฉยๆ แบบไม่รู้จะไปโทษคนอื่นทำไม
ล่าสุด คดี “โกตี๋” ก็ได้เปิดแผลฉกรรจ์ให้ระบอบทักษิณครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ เป็นการชี้ให้เห็นข้อสงสัยของประชาชนทั่วไปว่า ทางเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย คนของฝ่ายทักษิณ และเสื้อแดงนั้น มีความไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มีพฤติกรรมหมิ่นเหม่ หรือคอยให้ท้ายการกระทำดังกล่าวอยู่เสมอ
แม้ก่อนหน้านี้อาจจะจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เพราะทางฝ่ายทักษิณและรัฐบาลสามารถหาข้ออ้างได้ว่า บุคคลที่กระทำการนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพรรค หรือเป็นนักวิชาการ หรือเป็นเพียงข้อเสนอทางวิชาการบ้าง
หรือบางครั้งการแสดงออกนั้นก็ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นการ “หมิ่น” แม้ว่าประชาชนรู้สึกตั้งข้อสงสัยหรือมีคำถามเสมอมา เช่น การรณรงค์ต่อต้านประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อย่างเปิดเผยเอิกเกริก โดยคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีท่าทีเป็นฝ่ายเป็นพวกเดียวกับรัฐบาลปัจจุบันอย่างชัดเจน
ความพยายามสร้างภาพให้ “จำเลย” หรือผู้กระทำความผิดในคดีเกี่ยวข้องกับการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนี้เป็น “เหยื่อทางการเมือง” ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง
แต่รอบนี้คงไม่รู้จะโบ้ยไปทางไหน ในเมื่อโกตี๋ หรือนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณเองก็เป็น “คนเสื้อแดง” ที่ต่อสู้เพื่อรัฐบาลอย่างชัดเจนมาตลอดโดยทางฝ่ายรัฐบาลเองก็ไม่เคยปฏิเสธ หรือไม่เคยแสดงออกว่า โกตี๋ไม่ใช่พวก
และพฤติกรรมที่เขาไปประกาศอย่างชัดแจ้ง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวต่างประเทศที่มีเนื้อหาแบบชัดเจนไม่ต้องแปลหรือแถไถไปไหน ใครฟังก็รู้ว่าเป็นการใส่ความกล่าวหาผู้เป็นที่เคารพสักการะอย่างเจาะจงตัว ชัดเจนไม่ต้องตีความกัน ขนาดว่าไม่มีใครสามารถนำข้อความมาเผยแพร่ต่อ เขาพูดว่าอะไร เรื่องอะไรได้ เพราะการเผยแพร่ข้อความต่อ แม้แต่ทางอ้อมก็ยังสุ่มเสี่ยง
ทั้งในวาระเดียวกันนั้นก็ยังประกาศตัวชัดเจนว่า ทางกลุ่มพวกเขานั้นมี “กองกำลังติดอาวุธ” ที่พร้อมรบ หรือทำสงครามกลางเมือง
ซึ่งไม่แปลกอะไร เนื่องจาก โกตี๋ เป็นแดงสายหัวรุนแรงที่เรียกตัวเองว่าเป็น Red Guard ดีเจวิทยุเสื้อแดงคลื่น FM 106.10 สถานีวิทยุเพื่อมวลชน “เรดการ์ด เรดิโอ” จ.ปทุมธานีซึ่งอยู่เบื้องหลังการก่อความรุนแรงมาแล้วหลายครั้ง ล่าสุดที่ทำให้เป็นที่จับตา คือ กรณีการปะทะกันที่แยกหลักสี่ ซึ่งฝ่ายกองกำลังของโกตี๋เอง พยายามบุกเข้าไปปิดล้อมเขตหลักสี่ในขณะที่มีมวลชนของหลวงปู่พุทธอิสระอยู่ภายใน
ก่อให้เกิดการปะทะกันด้วยอาวุธทั้งหนักเบา สร้างตำนานเรื่อง “มือปืนป๊อปคอร์น” ซึ่งภายหลังก็ถูกตำรวจจับดำเนินคดีอยู่ฝ่ายเดียว เหมือนกับทำเป็นลืมว่า ก่อนหน้านี้ใครเป็นคนเรียกมือปืนป๊อปคอร์นออกมา
หรือการขึ้นป้ายผ้าไวนิลสีแดงหราขอแยกดินแดน แขวนอยู่อย่างเปิดเผยบนสะพานลอยแถวอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เขียนข้อความว่า “อยู่กันด้วยความสามัคคีไม่ได้...ก็แบ่งแยกกันอยู่...”และตัวหนังสือสีขาวด้านล่าง ข้อความ “มึงกับกู...แยกแผ่นดินกันเลย..”และก็เป็นผู้ต้องสงสัยในกรณีการปะทะ หรือลอบโจมตีฝ่าย กปปส. และแนวร่วมอยู่เสมอ เช่นการลอบยิงขบวน คปท. ที่ทางด่วนแจ้งวัฒนะก่อนหน้านี้ ก็มีเครือข่ายโกตี๋ประกาศไว้ล่วงหน้าก่อนก่อเหตุ
กล่าวได้ว่า โกตี๋นี้เป็น “ตัวชน” ของฝ่ายเสื้อแดง โดยเปิดเผยชัดเจนตลอดมา และอย่างที่ได้กล่าวไป ว่าไม่มีแกนนำหรือใคร “ปฏิเสธ” ความเกี่ยวข้องของโกตี๋ว่าไม่ใช่แนวร่วม
ในขณะที่กลุ่มหมิ่นเหม่อื่นๆ เช่น แดงสยาม ของสุรชัย แซ่ด่าน ซึ่งเคยถูกพิพากษาให้จำคุกในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาแล้ว ก็ยังพอโบ้ยได้ว่าเป็น “แดงอิสระ”
เหตุเพราะความชัดเจน และความเปิดเผยของโกตี๋และกลุ่มแนวร่วมนี่เอง ทำให้นายกฯ และรัฐบาลต้องประกาศให้ตำรวจดำเนินคดี...โดยด่วน
แต่เป็นการ “ด่วน” ที่ออกจะโฉ่งฉ่างไปหน่อย คือมีการประกาศออกสื่อ มีหนังสือลงนามเปิดเผยโดยนายกรัฐมนตรี ไปยัง ผบ.ตร.ในวันที่ 9 เมษายน
ตำรวจดำเนินการไปขอศาลออกหมายจับ ... จนกระทั่งศาลอนุมัติหมายจับ ปาเข้าไปวันที่ 11 ใช้เวลา “ด่วน” กันร่วมสามวันนับแต่วันประกาศให้ดำเนินคดี
เรียกว่าถ้าโกตี๋หนีไปไหนเสียตั้งแต่มีข่าวแตกออกมาว่าตำรวจจะจับ ป่านนี้หนีไปถึงยูเครนแล้วกระมัง
ซึ่งจากที่ผ่านมา การจับกุมในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นี้ จะกระทำกันแบบลับๆ ขอหมายจับ แล้วซุ่มดำเนินการ ไม่ให้ผู้ถูกจับรู้ตัว ถึงเวลาไปหาที่บ้านเลย เช่นกรณีของ สุรชัย แซ่ด่าน หรือสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่จับกุมได้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง
ประกอบกับที่โกตี๋นี้ได้ชื่อว่าเป็นที่รู้จักกับนายตำรวจใหญ่หลายคน มีรูปถ่ายคู่กันโดยเปิดเผยเสียด้วย
กับทั้งพฤติกรรมที่ผู้รักษากฎหมาย ผู้ที่มีหน้าที่นำคนผิดมาลงโทษ จับผู้ที่มีหมายจับ ดันไปแสดงความนอบน้อมคารวะอย่างออกนอกหน้า กับผู้ที่หนีโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ถึงขนาดไปรดน้ำดำหัว ขอพรกันนอกประเทศ ราวกับจะเย้ยขอบเขตอำนาจกฎหมายไทย ศาลไทย อย่างอุกอาจไม่ต้องหลบซ่อน
แล้วจะให้ประชาชนคนไทยมั่นใจได้อย่างไร ว่าจะมีการจับกุมดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ที่ถือว่าเป็นการหมิ่นหยามจิตใจคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศได้สมตามโทษานุโทษ!
ล่าสุด คดี “โกตี๋” ก็ได้เปิดแผลฉกรรจ์ให้ระบอบทักษิณครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ เป็นการชี้ให้เห็นข้อสงสัยของประชาชนทั่วไปว่า ทางเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย คนของฝ่ายทักษิณ และเสื้อแดงนั้น มีความไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มีพฤติกรรมหมิ่นเหม่ หรือคอยให้ท้ายการกระทำดังกล่าวอยู่เสมอ
แม้ก่อนหน้านี้อาจจะจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เพราะทางฝ่ายทักษิณและรัฐบาลสามารถหาข้ออ้างได้ว่า บุคคลที่กระทำการนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพรรค หรือเป็นนักวิชาการ หรือเป็นเพียงข้อเสนอทางวิชาการบ้าง
หรือบางครั้งการแสดงออกนั้นก็ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นการ “หมิ่น” แม้ว่าประชาชนรู้สึกตั้งข้อสงสัยหรือมีคำถามเสมอมา เช่น การรณรงค์ต่อต้านประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อย่างเปิดเผยเอิกเกริก โดยคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีท่าทีเป็นฝ่ายเป็นพวกเดียวกับรัฐบาลปัจจุบันอย่างชัดเจน
ความพยายามสร้างภาพให้ “จำเลย” หรือผู้กระทำความผิดในคดีเกี่ยวข้องกับการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนี้เป็น “เหยื่อทางการเมือง” ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง
แต่รอบนี้คงไม่รู้จะโบ้ยไปทางไหน ในเมื่อโกตี๋ หรือนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณเองก็เป็น “คนเสื้อแดง” ที่ต่อสู้เพื่อรัฐบาลอย่างชัดเจนมาตลอดโดยทางฝ่ายรัฐบาลเองก็ไม่เคยปฏิเสธ หรือไม่เคยแสดงออกว่า โกตี๋ไม่ใช่พวก
และพฤติกรรมที่เขาไปประกาศอย่างชัดแจ้ง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวต่างประเทศที่มีเนื้อหาแบบชัดเจนไม่ต้องแปลหรือแถไถไปไหน ใครฟังก็รู้ว่าเป็นการใส่ความกล่าวหาผู้เป็นที่เคารพสักการะอย่างเจาะจงตัว ชัดเจนไม่ต้องตีความกัน ขนาดว่าไม่มีใครสามารถนำข้อความมาเผยแพร่ต่อ เขาพูดว่าอะไร เรื่องอะไรได้ เพราะการเผยแพร่ข้อความต่อ แม้แต่ทางอ้อมก็ยังสุ่มเสี่ยง
ทั้งในวาระเดียวกันนั้นก็ยังประกาศตัวชัดเจนว่า ทางกลุ่มพวกเขานั้นมี “กองกำลังติดอาวุธ” ที่พร้อมรบ หรือทำสงครามกลางเมือง
ซึ่งไม่แปลกอะไร เนื่องจาก โกตี๋ เป็นแดงสายหัวรุนแรงที่เรียกตัวเองว่าเป็น Red Guard ดีเจวิทยุเสื้อแดงคลื่น FM 106.10 สถานีวิทยุเพื่อมวลชน “เรดการ์ด เรดิโอ” จ.ปทุมธานีซึ่งอยู่เบื้องหลังการก่อความรุนแรงมาแล้วหลายครั้ง ล่าสุดที่ทำให้เป็นที่จับตา คือ กรณีการปะทะกันที่แยกหลักสี่ ซึ่งฝ่ายกองกำลังของโกตี๋เอง พยายามบุกเข้าไปปิดล้อมเขตหลักสี่ในขณะที่มีมวลชนของหลวงปู่พุทธอิสระอยู่ภายใน
ก่อให้เกิดการปะทะกันด้วยอาวุธทั้งหนักเบา สร้างตำนานเรื่อง “มือปืนป๊อปคอร์น” ซึ่งภายหลังก็ถูกตำรวจจับดำเนินคดีอยู่ฝ่ายเดียว เหมือนกับทำเป็นลืมว่า ก่อนหน้านี้ใครเป็นคนเรียกมือปืนป๊อปคอร์นออกมา
หรือการขึ้นป้ายผ้าไวนิลสีแดงหราขอแยกดินแดน แขวนอยู่อย่างเปิดเผยบนสะพานลอยแถวอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เขียนข้อความว่า “อยู่กันด้วยความสามัคคีไม่ได้...ก็แบ่งแยกกันอยู่...”และตัวหนังสือสีขาวด้านล่าง ข้อความ “มึงกับกู...แยกแผ่นดินกันเลย..”และก็เป็นผู้ต้องสงสัยในกรณีการปะทะ หรือลอบโจมตีฝ่าย กปปส. และแนวร่วมอยู่เสมอ เช่นการลอบยิงขบวน คปท. ที่ทางด่วนแจ้งวัฒนะก่อนหน้านี้ ก็มีเครือข่ายโกตี๋ประกาศไว้ล่วงหน้าก่อนก่อเหตุ
กล่าวได้ว่า โกตี๋นี้เป็น “ตัวชน” ของฝ่ายเสื้อแดง โดยเปิดเผยชัดเจนตลอดมา และอย่างที่ได้กล่าวไป ว่าไม่มีแกนนำหรือใคร “ปฏิเสธ” ความเกี่ยวข้องของโกตี๋ว่าไม่ใช่แนวร่วม
ในขณะที่กลุ่มหมิ่นเหม่อื่นๆ เช่น แดงสยาม ของสุรชัย แซ่ด่าน ซึ่งเคยถูกพิพากษาให้จำคุกในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาแล้ว ก็ยังพอโบ้ยได้ว่าเป็น “แดงอิสระ”
เหตุเพราะความชัดเจน และความเปิดเผยของโกตี๋และกลุ่มแนวร่วมนี่เอง ทำให้นายกฯ และรัฐบาลต้องประกาศให้ตำรวจดำเนินคดี...โดยด่วน
แต่เป็นการ “ด่วน” ที่ออกจะโฉ่งฉ่างไปหน่อย คือมีการประกาศออกสื่อ มีหนังสือลงนามเปิดเผยโดยนายกรัฐมนตรี ไปยัง ผบ.ตร.ในวันที่ 9 เมษายน
ตำรวจดำเนินการไปขอศาลออกหมายจับ ... จนกระทั่งศาลอนุมัติหมายจับ ปาเข้าไปวันที่ 11 ใช้เวลา “ด่วน” กันร่วมสามวันนับแต่วันประกาศให้ดำเนินคดี
เรียกว่าถ้าโกตี๋หนีไปไหนเสียตั้งแต่มีข่าวแตกออกมาว่าตำรวจจะจับ ป่านนี้หนีไปถึงยูเครนแล้วกระมัง
ซึ่งจากที่ผ่านมา การจับกุมในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นี้ จะกระทำกันแบบลับๆ ขอหมายจับ แล้วซุ่มดำเนินการ ไม่ให้ผู้ถูกจับรู้ตัว ถึงเวลาไปหาที่บ้านเลย เช่นกรณีของ สุรชัย แซ่ด่าน หรือสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่จับกุมได้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง
ประกอบกับที่โกตี๋นี้ได้ชื่อว่าเป็นที่รู้จักกับนายตำรวจใหญ่หลายคน มีรูปถ่ายคู่กันโดยเปิดเผยเสียด้วย
กับทั้งพฤติกรรมที่ผู้รักษากฎหมาย ผู้ที่มีหน้าที่นำคนผิดมาลงโทษ จับผู้ที่มีหมายจับ ดันไปแสดงความนอบน้อมคารวะอย่างออกนอกหน้า กับผู้ที่หนีโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ถึงขนาดไปรดน้ำดำหัว ขอพรกันนอกประเทศ ราวกับจะเย้ยขอบเขตอำนาจกฎหมายไทย ศาลไทย อย่างอุกอาจไม่ต้องหลบซ่อน
แล้วจะให้ประชาชนคนไทยมั่นใจได้อย่างไร ว่าจะมีการจับกุมดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ที่ถือว่าเป็นการหมิ่นหยามจิตใจคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศได้สมตามโทษานุโทษ!