กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง เผยเบื้องหลังเป็นตัวกลางเจรจา “หลวงปู่พุทธะอิสระ-สมชาย วงศ์สวัสดิ์” เล็งนัดคุยทุกสัปดาห์ ก่อนให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายละ 3 คุยให้จบ ยอมรับสถานการณ์ไม่ดี หลังข่าวเจรจา ระเบิดลงทุนวัน แต่ยืนยันขอเป็นตัวเชื่อมสองฝ่าย หวังหาทางออกให้สังคม
วันนี้ (26 ก.พ.) เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น.ที่ผ่านมา นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารการเลือกตั้ง ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ “เกาะติด กกต.” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ กรณีที่รับหน้าที่เป็นตัวการการเจรจาระหว่างนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หลบหนีคำพิพากษาของศาลอยู่ต่างประเทศ กับหลวงปู่พุทธอิสระ ผู้ดูแลการชุมนุม กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ ว่าตนในฐานะที่เป็น กกต.แม้จะไม่ได้มีหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างทั้งสองฝ่ายโดยตรง แต่ในระหว่างการทำงานก็พยายามเก็บข้อมูลว่าใครคิดอะไร และได้พบกับหลวงปู่พุทธะอิสระครั้งแรกตอนที่ไปขอให้ท่านเปิดทางเข้าที่ทำงานที่ กกต.
นายสมชัยกล่าวต่อว่า หลังจากนั้นท่านก็มาเยี่ยม กกต.อีกครั้ง จึงถือโอาสนิมนต์ท่านไปคุยด้วย ก็ทำให้ทราบว่าท่านปรารถนาดีที่จะให้สังคมเกิดทางออก และมีประโยคหนึ่งที่จำไว้ในใจ ท่านบอกว่าใครไม่เจรจาไม่เป็นไร แต่หลวงปู่พร้อมจะเจรจา จึงเก็บประโยคนี้ไว้ในใจ แล้วรอดูว่ารัฐบาลพร้อมจะเจรจาหรือยัง และเมื่อสถานการณ์ผ่านไประดับหนึ่งรัฐบาลก็บอกว่าอยากเจรจา ตนจึงโทรศัพท์หานายสมชายว่าอยากพูดคุยหรือไม่ หลังจากนั้นก็นัดหมายกัน โดยให้เก็บเป็นความลับ เพราะคนทั้งสองฝ่ายต่างตกเป็นเป้า และได้ไปเจอกันที่ห้องๆ หนึ่ง มีสักขีพยานอีก 1 คนซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่ รวมแล้วคุยกัน 4 คน
นายสมชัยเปิดเผยอีกว่า ตนได้เริ่มต้นการพุดคุยโดยให้ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมืองไปก่อนว่าแต่ละคนคิดอย่างไร เป็นการละลายน้ำแข็งก่อน ผ่านไป 5-10 นาทีก็เห็นว่าเริ่มคุยกันได้ว่าใครคิดอะไร อยากได้อะไร และคุยไปถึงว่ากระบวนการเจรจราจะมีใครเพิ่มเติมบ้าง โดยให้ทั้งสองฝ่ายระบุชื่อ 3 คน ที่คิดว่าถ้าคุยแล้วจบ ฝ่ายรัฐบาลคือใคร ฝ่ายคัดค้านรัฐบาลคือใคร ซึ่งถ้าเอา 3 ต่อ 3 มาเจอกัน อาจได้ข้อเสนอบางอย่างที่เป็นทางออกได้ ซึ่งในความเห็นของตนคิดว่าถ้า 3 คนที่แต่ละฝ่ายระบุชื่อมาคุยกันได้ ก็น่าจะจบได้ถึง 95% และไม่ต้องเอาคนจากต่างประเทศเข้ามา โดยจะนัดคุยไปเรื่อยๆ ไม่กำหนดว่าจะจบเมื่อไหร่ โดยมีคนคอยช่วยเชื่อมโยงให้มีการเจรจาหลายคน
นายสมชัยกล่าวต่อว่า ก่อนที่จะมีการเจรจาขั้นตอนไป อยากให้มีบรรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเจราด้วย สงครามต้องหยุด ทั้งสองฝ่ายต้องวางอาวุธ สงบศึกชั่วคราว อะไรที่ทำให้เกิดความไม่สงบจะต้องให้น้อยลง ทั้งวาจา และการกระทำ การพูดบนเวทีที่ส่อเสียดให้ร้ายจากทั้งสองฝ่ายต้องลดลง กิจกรรมที่จะทำให้เกิดความรุนแรง เช่น กปปส.ไล่ล่าปิดสถานที่ราชการเพิ่มเติม ก็เปลี่ยนให้มันเย็นลง เป็นกิจกรรมวิชาการได้หรือไม่ จัดเสวนาเวทีวัฒนธรรม เล่นดนตรีแทนได้หรือ ส่วนฝ่ายรัฐบาล เรื่องการออกหมายจับ การดำเนินคดีต้องลดลง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเหตุรุนแรงต่างๆ ยังไม่มีฝ่ายไหนยอมรับ แต่โยนให้มือที่สาม ซึ่งตนเห็นว่าถ้ามันมาจากแต่ละฝ่าย แกนนำก็ต้องส่งสัญญาณให้ลดลง ถ้ามาจากมือที่ 3 รัฐบาลในฐานะผู้รักษากฎหมายต้องติดตามจับกุมดำเนินคดีให้เข้มงวด
นายสมชัยกล่าวอีกว่า เราได้สัญญาต่อกันว่าใน 1 สัปดาห์ ถ้าบรรยากาศความรุนแรงมันลดลง สัปดาห์หน้าก็จะนัดใหม่ โดยคุยฝ่ายละ 2 คน และจะพูดถึงข้อเสนอที่แต่ละฝ่ายจะเสนอ ซึ่งถ้าเกิดความสงบ ทุกอย่างจะดีขึ้น แต่หลังจากการเจรจาแล้วก็มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นทุกวัน มีเอ็ม 79 ลง เมื่อคืนก็มียิงกัน สักครูที่ผ่านมาก็มียิงไทยพีบีเอส ถ้าบ้านเมืองสงบลงการเจรจาจะเกิด แต่มันเหมือนมีคนกลุ่มหนึ่งไม่ต้องการเจรจาหรือไม่ ซึ่งสัญญาณตอนนี้ไม่ดีเลย
อย่างไรก็ตาม นายสมชัยกล่าวต่อว่า ตนยังอยากเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างสองฝ่าย แม้ความรุนแรงจะเกิด แต่ตนก็ยังมีหน้าที่เจรจา เพราะเชื่อว่าแต่ละฝ่ายต่างก็ไม่ต้องการความสญเสีย สัปดาห์ถัดไป ต้องหาทางนัดหมายกัน เจรจากันให้ได้ สังคมอาจเป็นห่วงว่าการเจรจราดังกล่าวจะเป็นเรื่องของชันชั้นปกครองมาเจรจาแบ่งประโยบชน์กัน แต่ตนจะไม่ให้เป็นแบบนี้เด็ดขาด จะต้องเป็นการหาทางออกให้สังคม ให้สังคมเดินหน้าต่อไปได้ และเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งที่เป็นทางออกของสังคม ไม่ใช่ยิ่งเลือกตั้งยิ่งขัดแย้ง