ช่วงนี้ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งคือเรื่องของเครื่องโบอิ้ง 777 เที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ที่บินจากกัวลาลัมเปอร์ไปปักกิ่ง หายจากจอเรดาร์ไปเฉยๆ ขาดการติดต่อไปเลย ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2557 ตอนนี้ผ่านไปหลายวันแล้ว ก็ยังหาไม่พบ ไม่รู้หายไปไหน
ตอนแรกๆ เราก็จะเห็นว่ามีข่าวหลายกระแสเรื่องการจี้เครื่องบินโดยสลัดอากาศ การก่อการร้าย อุบัติเหตุ เครื่องบินขัดข้อง หรือภัยธรรมชาติ ข้อสมมติฐานความน่าจะเป็นมีหลายทางด้วยกัน จะเป็นภัยอุบัติเหตุ ภัยธรรมชาติหรือ ภัยจากมนุษย์กันแน่ ?
แนวโน้มการก่อการร้ายหรือการถูกจี้ส่อแววทันที เมื่อมีข้อมูลว่าผู้โดยสารสองคนได้ใช้พาสปอร์ตปลอม ที่แจ้งหายในประเทศไทย ไปขึ้นเครื่องลำดังกล่าวที่มาเลเซีย แต่สุดท้ายทั้งตำรวจสากล และหน่วยงานด้านความมั่นคงต่างๆ ก็ออกมาปฏิเสธกันยกใหญ่เลยทีเดียว
ไม่ว่าสาเหตุจะเป็นอะไร ผมเชื่อว่า อีกไม่นานคงไขปริศนาหาคำตอบได้ ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไปไกลขนาดนี้ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ประเทศจีนใช้ดาวเทียมถึงสิบดวงเพื่อช่วยค้นหาเครื่องบินลำนี้
นานาทฤษฎี นานาผู้มีความรู้ต่างพากันมาระดมสมอง เพื่อหาคำตอบที่คนทั้งโลกต่างสงสัยกันมาเป็นอาทิตย์ๆ แล้ว เราก็หวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายในเร็ววันนี้
จากรณีที่เครื่องบินโบอิ้ง 777 ลำนี้หายไปเฉยๆ นั้นทำให้ผมอดนึกถึงเรื่องสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาไม่ได้ ผมเคยอ่านเรื่องนี้ตอนยังเด็ก หลายๆ คนคงเคยได้ยินเรื่องนี้และคงอดคิดเชื่อมโยงไปถึง สามเหลี่ยมลึกลับที่ได้ดูดกลืนเรือและเครื่องบินหลายต่อหลายลำหายไป บางลำก็หายไปนอนจมอยู่ใต้ทะเล บางลำก็มาเกยตื้นชายฝั่งโดยไม่มีคนรอดเหลืออยู่ในเรือ มีบางส่วนที่หายไปแบบไร้ร่องรอยเลยทีเดียว
ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้า เรื่องราวของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงถูกค้นคว้าหาคำตอบมากมาย บางทฤษฏีก็บอกว่าตรงนั้นมีสนามแม่เหล็กที่ป่วนระบบของเรือหรือเครื่องบินทำให้เรือจมลงใต้ทะเล และเครื่องบินดับจนตกลงสู่ทะเล บ้างก็ว่าตรงนั้นมีมนุษย์ต่างดาว จานบิน สัตว์ประหลาด หรือแม้กระทั่งประตูมิติ บ้างก็ศึกษาปรากฏการณ์ธรรมชาติใต้มหาสมุทร ทั้งถ้ำ สิ่งที่เรียกว่าหลุมดำ (Black Hole) และรูหนอน (Wormhole) ใต้ทะเลลึก
มีทฤษฏีอีกมากมายที่ฟังแล้วดูโอเวอร์ แต่ก็มีความเป็นไปได้แทบทั้งนั้น เพราะบางทีอะไรที่มันฟังดูเป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้ายมันก็เป็นไปได้เหมือนกัน เช่น มนุษย์บินไม่ได้ แต่สุดท้ายเราก็มีเครื่องบิน ที่พามนุษย์บินขึ้นไปบนฟ้าได้
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ 4.4แสนตารางไมล์ ในมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันตก ลากเส้น เป็นพื้นที่สามเหลี่ยม บริเวณทะเลแคริบเบียน จากสามจุดคือ ทางเหนือของเปอร์โตริโก ทางใต้ของรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์บิวดา
จากสถิติของบริษัทประกันภัยเรือเดินสมุทร Lloyd of London รายงานว่าในช่วงสิบปี ระหว่าง ค.ศ.1963-1973 มีเรือในประกันของบริษัท 60 ลำ พร้อมผู้โดยสาร 90 คนได้หายสาบสูญไปในบริเวณน่านน้ำเบอร์มิวดา
เฉพาะปี 1967 ปีเดียว มีเรือพาณิชย์ขนาดใหญ่หายไปถึง 15 ลำโดยไม่มีการส่งสัญญาณ SOS และไม่มีการส่งสัญญาณวิทยุ ทั้งเรือเรือทั้ง 15 ลำ เป็นเรือขนนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องมืออิเลกทรอนิกส์ในการเดินเรือที่ทันสมัย
หากย้อนไปนับตั้งแต่ค.ศ. 1800-1976 มีเรือและเครื่องบินสูญหายในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ถึง 143 รายพร้อมกับผู้โดยสารประมาณ 2,101 คน สาบสูญ ก่อนเกิดเหตุเครื่องบินหลายราย มีรายงานทางวิทยุจากนักบินรายงานเหตุฉุกเฉินก่อนเครื่องบินสูญหาย มีคำบอกเล่าจากนักบินที่รอดชีวิตบางราย เช่น เข็มทิศหมุนอย่างบ้าคลั่งจนจับทิศทางไม่ถูก หรือ อยู่ๆ เครื่องบินก็สั่นอย่างรุนแรง เครื่องวัดต่างๆหมุนไปมาไร้จุดหมาย แล้วเครื่องบินก็ปักหัวลงทะเล
ข้อมูลเหล่านี้บ่งบอกว่า บริเวณนี้มีพลังบางอย่างที่มีผลกระทบต่ออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับแม่เหล็กไฟฟ้า เครื่องมือนำทางอย่าง เข็มทิศ เครื่องวัดความสูง เครื่องวัดความเร็ว และ เครื่องมือสื่อสาร
มีความพยายามในการศึกษาไขปริศนาหาคำตอบกันอย่างต่อเนื่อง ทั่วโลกติดตามให้ความสนใจ มีการเสนอทฤษฎีต่างๆหลายทฤษฎี ในปี ค.ศ.1974 หนังสือชื่อสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (The Bermuda Triangle)ของ ชารลส์ เบอร์ลิตซ์ (Charles Berlitz) ติดอันดับหนังสือขายดี เบสต์เซลเลอร์ ทำให้เรื่องราวของเที่ยวบินที่ 19 (Flight 19) โด่งดัง เที่ยวบินนี้เป็นฝูงเครื่องบินฝึกหัดทิ้งระเบิด 5 ลำ ของกองทัพอากาศสหรัฐหายไปลึกลับในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1945 ด้วยรายงานสุดท้ายของจ่าฝูง ร้อยเอกโรเบิร์ต คอส ที่รับฟังได้จากวิทยุของฐานทัพภาคพื้นดิน จับความได้ว่า ฝูงบินที่ 19 กำลังหลงเข้าไปสภาพบรรยากาศที่ผิดปกติ
ล่าสุด ในปีค.ศ. 2010 นักวิทยาศาสตร์ โจเซฟ โมนาแกน ได้รายงานผลการศึกษาว่า ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา มีการก่อตัวของแก๊สธรรมชาติใต้ท้องทะเล เป็นแก๊สมีเทนจำนวนมาก ปะทุเป็นฟองแก๊สขนาดใหญ่ เมื่อแก๊สเหล่านี้ขึ้นสู่ผิวน้ำ มันจะทะยานสู่อากาศ และขยายตัวเป็นวงกว้าง ฟองแก๊สขนาดยักษ์นี้เป็นสาเหตุให้เรือและเครื่องบินสาบสูญ
นอกจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาในมหาสมุทรแอตแลนติกแล้ว ในมหาสมุทรแปซิฟิกยังมีสามเหลี่ยมมังกร บริเวณทะเลญี่ปุ่นตั้งอยู่รอบเกาะมิยากะ (ประมาณ 100 กิโลเมตรจากตอนใต้ของกรุงโตเกียว) ไปจรดถึงตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลฟิลิปปินส์
หนังสือพิมพ์ในญี่ปุ่นรายงานเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ.1955 มีเรือหายสาบสูญไปในบริเวณสามเหลี่ยมมังกร ก่อนหน้านั้น มีเรือเล็กและเรือประมงหายไปอีก 7 ลำ (ในระหว่างปี 1949-1953)
สามเหลี่ยมมังกรนี้ผมเคยอ่านเจอว่ามันคือจุดตรงกันข้ามกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาพอดี หากเราเจาะทะลุก้นทะเลทะลุโลกลงไป จะไปโผล่ที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ทั้งสองที่มีร่องน้ำลึกที่สุดในโลกอยู่ (สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา--ร่องลึกเปอร์โตริโก, สามเหลี่ยมมังกร--ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา) สามเหลี่ยมสองแห่งนี้ อยู่กันคนละซีกโลก แต่มีบางอย่างที่คล้ายกัน
ช่วงหลังๆเรามักได้ยินปัญหาเรื่องโลกร้อนและผลกระทบที่เกิดจากโลกร้อน ถ้าเรามองว่าเรื่องสามเหลี่ยมลึกลับ ที่ว่ามานั้นเกิดจากภัยธรรมชาติ หรืออาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโลกก็ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าในภัยธรรมชาติมีมนุษย์เป็นปัจจัยหนึ่งรวมอยู่ด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า ถ้าเราไม่รีบหาคำตอบกับเรื่องนี้ และการพูดความจริงอาจจะเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับโลกในยุคปัจจุบัน
หรือจะเป็นผลงานของมนุษย์แบบเต็มๆ เช่น การก่อการร้าย การจี้เครื่องบิน แต่จี้ไปไหนเพื่ออะไรโดยใคร เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
ตอนนี้ ทางการมาเลเซียจะออกมาแถลงอะไ ร ก็ดูไร้น้ำหนักไปเสียหมดเพราะไม่มีอะไรชัดเจน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ญาติของผู้โดยสารซึ่งส่วนใหญ่เป็นจีน และประชาคมโลกต่างก็หวังว่าเราจะพบเครื่องบินลำนี้โดยเร็วที่สุด
ภายใต้ปัญหาและเรื่องเศร้าของเครื่องบินที่หายไป อย่างไร้ร่องรอย เราได้เห็นความร่วมแรงรวมใจกันของประเทศต่างๆในโลกเพื่อช่วยกันตามหาเครื่องบินลำนี้ ความร่วมมือของประชาคมโลก รวมทั้งมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา และจีน ที่สำคัญเราน่าจะได้เห็นการพัฒนาเทคโนโลยีการบิน การเดินเรือทะเล และเครื่องมือสื่อสาร การประสานงานการบริหารจัดการ ฯลฯ เพื่อรับมือกับปัญหานานาชาติ ไม่ใช่ปัญหาของประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น
ตอนแรกๆ เราก็จะเห็นว่ามีข่าวหลายกระแสเรื่องการจี้เครื่องบินโดยสลัดอากาศ การก่อการร้าย อุบัติเหตุ เครื่องบินขัดข้อง หรือภัยธรรมชาติ ข้อสมมติฐานความน่าจะเป็นมีหลายทางด้วยกัน จะเป็นภัยอุบัติเหตุ ภัยธรรมชาติหรือ ภัยจากมนุษย์กันแน่ ?
แนวโน้มการก่อการร้ายหรือการถูกจี้ส่อแววทันที เมื่อมีข้อมูลว่าผู้โดยสารสองคนได้ใช้พาสปอร์ตปลอม ที่แจ้งหายในประเทศไทย ไปขึ้นเครื่องลำดังกล่าวที่มาเลเซีย แต่สุดท้ายทั้งตำรวจสากล และหน่วยงานด้านความมั่นคงต่างๆ ก็ออกมาปฏิเสธกันยกใหญ่เลยทีเดียว
ไม่ว่าสาเหตุจะเป็นอะไร ผมเชื่อว่า อีกไม่นานคงไขปริศนาหาคำตอบได้ ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไปไกลขนาดนี้ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ประเทศจีนใช้ดาวเทียมถึงสิบดวงเพื่อช่วยค้นหาเครื่องบินลำนี้
นานาทฤษฎี นานาผู้มีความรู้ต่างพากันมาระดมสมอง เพื่อหาคำตอบที่คนทั้งโลกต่างสงสัยกันมาเป็นอาทิตย์ๆ แล้ว เราก็หวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายในเร็ววันนี้
จากรณีที่เครื่องบินโบอิ้ง 777 ลำนี้หายไปเฉยๆ นั้นทำให้ผมอดนึกถึงเรื่องสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาไม่ได้ ผมเคยอ่านเรื่องนี้ตอนยังเด็ก หลายๆ คนคงเคยได้ยินเรื่องนี้และคงอดคิดเชื่อมโยงไปถึง สามเหลี่ยมลึกลับที่ได้ดูดกลืนเรือและเครื่องบินหลายต่อหลายลำหายไป บางลำก็หายไปนอนจมอยู่ใต้ทะเล บางลำก็มาเกยตื้นชายฝั่งโดยไม่มีคนรอดเหลืออยู่ในเรือ มีบางส่วนที่หายไปแบบไร้ร่องรอยเลยทีเดียว
ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้า เรื่องราวของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงถูกค้นคว้าหาคำตอบมากมาย บางทฤษฏีก็บอกว่าตรงนั้นมีสนามแม่เหล็กที่ป่วนระบบของเรือหรือเครื่องบินทำให้เรือจมลงใต้ทะเล และเครื่องบินดับจนตกลงสู่ทะเล บ้างก็ว่าตรงนั้นมีมนุษย์ต่างดาว จานบิน สัตว์ประหลาด หรือแม้กระทั่งประตูมิติ บ้างก็ศึกษาปรากฏการณ์ธรรมชาติใต้มหาสมุทร ทั้งถ้ำ สิ่งที่เรียกว่าหลุมดำ (Black Hole) และรูหนอน (Wormhole) ใต้ทะเลลึก
มีทฤษฏีอีกมากมายที่ฟังแล้วดูโอเวอร์ แต่ก็มีความเป็นไปได้แทบทั้งนั้น เพราะบางทีอะไรที่มันฟังดูเป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้ายมันก็เป็นไปได้เหมือนกัน เช่น มนุษย์บินไม่ได้ แต่สุดท้ายเราก็มีเครื่องบิน ที่พามนุษย์บินขึ้นไปบนฟ้าได้
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ 4.4แสนตารางไมล์ ในมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันตก ลากเส้น เป็นพื้นที่สามเหลี่ยม บริเวณทะเลแคริบเบียน จากสามจุดคือ ทางเหนือของเปอร์โตริโก ทางใต้ของรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์บิวดา
จากสถิติของบริษัทประกันภัยเรือเดินสมุทร Lloyd of London รายงานว่าในช่วงสิบปี ระหว่าง ค.ศ.1963-1973 มีเรือในประกันของบริษัท 60 ลำ พร้อมผู้โดยสาร 90 คนได้หายสาบสูญไปในบริเวณน่านน้ำเบอร์มิวดา
เฉพาะปี 1967 ปีเดียว มีเรือพาณิชย์ขนาดใหญ่หายไปถึง 15 ลำโดยไม่มีการส่งสัญญาณ SOS และไม่มีการส่งสัญญาณวิทยุ ทั้งเรือเรือทั้ง 15 ลำ เป็นเรือขนนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องมืออิเลกทรอนิกส์ในการเดินเรือที่ทันสมัย
หากย้อนไปนับตั้งแต่ค.ศ. 1800-1976 มีเรือและเครื่องบินสูญหายในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ถึง 143 รายพร้อมกับผู้โดยสารประมาณ 2,101 คน สาบสูญ ก่อนเกิดเหตุเครื่องบินหลายราย มีรายงานทางวิทยุจากนักบินรายงานเหตุฉุกเฉินก่อนเครื่องบินสูญหาย มีคำบอกเล่าจากนักบินที่รอดชีวิตบางราย เช่น เข็มทิศหมุนอย่างบ้าคลั่งจนจับทิศทางไม่ถูก หรือ อยู่ๆ เครื่องบินก็สั่นอย่างรุนแรง เครื่องวัดต่างๆหมุนไปมาไร้จุดหมาย แล้วเครื่องบินก็ปักหัวลงทะเล
ข้อมูลเหล่านี้บ่งบอกว่า บริเวณนี้มีพลังบางอย่างที่มีผลกระทบต่ออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับแม่เหล็กไฟฟ้า เครื่องมือนำทางอย่าง เข็มทิศ เครื่องวัดความสูง เครื่องวัดความเร็ว และ เครื่องมือสื่อสาร
มีความพยายามในการศึกษาไขปริศนาหาคำตอบกันอย่างต่อเนื่อง ทั่วโลกติดตามให้ความสนใจ มีการเสนอทฤษฎีต่างๆหลายทฤษฎี ในปี ค.ศ.1974 หนังสือชื่อสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (The Bermuda Triangle)ของ ชารลส์ เบอร์ลิตซ์ (Charles Berlitz) ติดอันดับหนังสือขายดี เบสต์เซลเลอร์ ทำให้เรื่องราวของเที่ยวบินที่ 19 (Flight 19) โด่งดัง เที่ยวบินนี้เป็นฝูงเครื่องบินฝึกหัดทิ้งระเบิด 5 ลำ ของกองทัพอากาศสหรัฐหายไปลึกลับในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1945 ด้วยรายงานสุดท้ายของจ่าฝูง ร้อยเอกโรเบิร์ต คอส ที่รับฟังได้จากวิทยุของฐานทัพภาคพื้นดิน จับความได้ว่า ฝูงบินที่ 19 กำลังหลงเข้าไปสภาพบรรยากาศที่ผิดปกติ
ล่าสุด ในปีค.ศ. 2010 นักวิทยาศาสตร์ โจเซฟ โมนาแกน ได้รายงานผลการศึกษาว่า ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา มีการก่อตัวของแก๊สธรรมชาติใต้ท้องทะเล เป็นแก๊สมีเทนจำนวนมาก ปะทุเป็นฟองแก๊สขนาดใหญ่ เมื่อแก๊สเหล่านี้ขึ้นสู่ผิวน้ำ มันจะทะยานสู่อากาศ และขยายตัวเป็นวงกว้าง ฟองแก๊สขนาดยักษ์นี้เป็นสาเหตุให้เรือและเครื่องบินสาบสูญ
นอกจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาในมหาสมุทรแอตแลนติกแล้ว ในมหาสมุทรแปซิฟิกยังมีสามเหลี่ยมมังกร บริเวณทะเลญี่ปุ่นตั้งอยู่รอบเกาะมิยากะ (ประมาณ 100 กิโลเมตรจากตอนใต้ของกรุงโตเกียว) ไปจรดถึงตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลฟิลิปปินส์
หนังสือพิมพ์ในญี่ปุ่นรายงานเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ.1955 มีเรือหายสาบสูญไปในบริเวณสามเหลี่ยมมังกร ก่อนหน้านั้น มีเรือเล็กและเรือประมงหายไปอีก 7 ลำ (ในระหว่างปี 1949-1953)
สามเหลี่ยมมังกรนี้ผมเคยอ่านเจอว่ามันคือจุดตรงกันข้ามกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาพอดี หากเราเจาะทะลุก้นทะเลทะลุโลกลงไป จะไปโผล่ที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ทั้งสองที่มีร่องน้ำลึกที่สุดในโลกอยู่ (สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา--ร่องลึกเปอร์โตริโก, สามเหลี่ยมมังกร--ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา) สามเหลี่ยมสองแห่งนี้ อยู่กันคนละซีกโลก แต่มีบางอย่างที่คล้ายกัน
ช่วงหลังๆเรามักได้ยินปัญหาเรื่องโลกร้อนและผลกระทบที่เกิดจากโลกร้อน ถ้าเรามองว่าเรื่องสามเหลี่ยมลึกลับ ที่ว่ามานั้นเกิดจากภัยธรรมชาติ หรืออาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโลกก็ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าในภัยธรรมชาติมีมนุษย์เป็นปัจจัยหนึ่งรวมอยู่ด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า ถ้าเราไม่รีบหาคำตอบกับเรื่องนี้ และการพูดความจริงอาจจะเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับโลกในยุคปัจจุบัน
หรือจะเป็นผลงานของมนุษย์แบบเต็มๆ เช่น การก่อการร้าย การจี้เครื่องบิน แต่จี้ไปไหนเพื่ออะไรโดยใคร เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
ตอนนี้ ทางการมาเลเซียจะออกมาแถลงอะไ ร ก็ดูไร้น้ำหนักไปเสียหมดเพราะไม่มีอะไรชัดเจน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ญาติของผู้โดยสารซึ่งส่วนใหญ่เป็นจีน และประชาคมโลกต่างก็หวังว่าเราจะพบเครื่องบินลำนี้โดยเร็วที่สุด
ภายใต้ปัญหาและเรื่องเศร้าของเครื่องบินที่หายไป อย่างไร้ร่องรอย เราได้เห็นความร่วมแรงรวมใจกันของประเทศต่างๆในโลกเพื่อช่วยกันตามหาเครื่องบินลำนี้ ความร่วมมือของประชาคมโลก รวมทั้งมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา และจีน ที่สำคัญเราน่าจะได้เห็นการพัฒนาเทคโนโลยีการบิน การเดินเรือทะเล และเครื่องมือสื่อสาร การประสานงานการบริหารจัดการ ฯลฯ เพื่อรับมือกับปัญหานานาชาติ ไม่ใช่ปัญหาของประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น