xs
xsm
sm
md
lg

สมรภูมิต่อไป: วัดที่จำนวนคน 2 ก.พ.

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

ดูเหมือนมาตรการที่หมายมั่นปั้นมืออย่าง Shutdown Bangkok ปิดเมือง 7 จุดของกำนันจะยังไม่แรงพอ เพราะยิ่งลักษณ์ก็ยังบอกว่าจะเดินหน้าสู่เลือกตั้ง ทั้งให้สัมภาษณ์ CNN เมื่อ 18 ม.ค.ยืนยันว่ามีแต่การเลือกตั้งเท่านั้นที่จะให้ครอบครัวของเธอออกจากอำนาจตามที่ผู้ชุมนุมต้องการ

ไม่ใช่แค่นั้นนับจากวันที่กำนันยกระดับปิดกรุงก็เริ่มมีเสียงปืน ระเบิดและความรุนแรงเกิดขึ้นกับฝ่ายผู้ชุมนุมไม่เว้นแต่ละวัน สถานการณ์มันยกระดับไปด้วยตัวของมันเอง ฝ่ายหนึ่งอยู่นานก็อยากหาวิธีกดดันทำให้จบโดยเร็ว ต่อให้ไม่จบแต่หากมีลูกตื๊อยิ่งอยู่นานยิ่งสะท้อนความไม่มีน้ำยารัฐบาลมากขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกันฝ่ายรัฐเองก็ไม่อยู่เฉย ต้องหาวิธีการทำให้ผู้ชุมนุมฝ่อลง สารพัดวิธีการที่ถูกงัดออกมาใช้ทั้งเรื่องการปล่อยข่าว สร้างข่าว ไปจนถึงขยิบตาให้อันธพาลใช้ความรุนแรงใส่นัยว่าเพื่อจะให้คนกลัวไม่กล้าออกมาร่วม

ถึงตอนนี้ธงของรัฐบาลมองไปที่เลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ที่ใกล้เข้ามา เพราะต่อให้ไม่มีผู้สมัครใน 28 เขตและต่อให้การประกาศรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ทำไม่ได้ แต่บรรยากาศของการเลือกตั้งและจำนวนคนที่ออกมาใช้สิทธิ์จะเป็นข้ออ้างในเชิงสิทธิธรรม นิติธรรมที่จะรักษาอำนาจเอาไว้ต่อแล้วก็พยายามจะหาช่องให้มีการเลือกตั้งซ่อมต่อไปเรื่อยๆ

วันเลือกตั้ง 2 ก.พ.ไม่ใช่ทางออกของรัฐบาลแต่เป็นฐานที่หยั่งเท้าที่มั่นคงในท่ามกลางพายุใหญ่ รอรับสภาพการณ์เปลี่ยนแปลงต่างๆ นานา เป้าหมายเพื่อรักษาอำนาจปกครองให้ได้ต่อไป

ยุทธวิธีของรัฐบาลเป็นเช่นไรแสดงผ่านการกระทำชัดเจนในตัวของมัน ทางหนึ่งเดินหน้าเลือกตั้งปลุกกระแสคนกลางๆ เสื้อขาวจุดเทียน อยากเห็นความสงบ อยากเห็นการแก้ปัญหาผ่านการเลือกตั้งให้ออกมาเพิ่มขึ้น อีกทางหนึ่งก็หลิ่วตาอันธพาลใช้ความรุนแรงกดดันฝ่ายชุมนุม

จึงไม่น่าเชื่อว่าฝ่ายม็อบกำนันจะผิดเกมไล่รัฐบาลสำเร็จก่อน 2 ก.พ.ตามที่ประกาศได้อย่างไร

สถานการณ์การเมืองตอนนี้เหมือนย้อนกลับไปปลายปี 2551 ตอนที่พันธมิตรชุมนุมไล่สมัคร-สมชาย 193 วัน เริ่มจากปักหลักที่มัฆวานฯ ต่อมาก็ระดม 9 ทัพ จากนั้นก็ยึดทำเนียบ ทำทุกวิถีทางที่อยู่ในกรอบอารยะขัดขืนที่สุดสมัครถูกคดีพ้นจากตำแหน่ง ก๊กเจ๊แดงร่วมกับพี่ชายหักหลังก๊กเนวินเอาสมชายขึ้นแทน สมชายเป็นเจ้าไม่มีศาลเข้าทำเนียบไม่ได้ สถานการณ์ถูกยกระดับโดยอัตโนมัติ ที่สุดก็มีการไฟเขียวให้มือระเบิด เอ็ม79 ทำงาน ยิงลงมาไม่เลือกขนาดคนนอนอยู่หน้าเวทีแท้ๆ ยังตาย

เรื่องที่ผู้ชุมนุมถูกกระทำเป็นเป้าอาวุธสงครามถล่มตายเอาๆ นี่นักวิชาการแอ๊บแดงเอย นักสันติวิธีเอยไม่สนใจจำหรอกดันไปจำเอาเฉพาะตอนที่พันธมิตรตัดสินใจย้ายจาก “แดนสังหาร” ไปอยู่ที่ใหม่คือสนามบินสุวรรณภูมิ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2551จากนั้นไม่นานศาลรัฐธรรมนูญก็มีคำพิพากษายุบพรรคพลังประชาชน รัฐบาลพ้นจากอำนาจเกิดรัฐบาลใหม่ประชาธิปัตย์ขึ้นแทน

การตัดสินใจของพันธมิตรในครั้งนั้นคือต้องหนีจากพื้นที่อันตรายเอามวลชนปลอดภัยเป็นหลักควบคู่กับยกระดับกดดันธำรงเป้าหมายในการต่อสู้เดิมต่อไป ซึ่งผลออกมาคือการยกระดับไปที่สนามบินฯ ดั่งที่ทราบ

กลับมาดูสถานการณ์จริงของม็อบกำนัน 2557 บ้าง ...

ต้องยอมรับว่าจำนวนประชาชนเรือนล้านที่ออกจากบ้านในครั้งนี้มากกว่าครั้งไหนๆ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่ปริมาณขนาดดังกล่าวก็ไม่สามารถเนรมิตทุกสิ่งทุกอย่างได้ดั่งใจ ที่ได้มากสุดในตอนนี้ก็เพียงรัฐบาลยุบสภาเท่านั้น

หากยึดเอาเป้าหมายที่กำนันสุเทพประกาศก็คือให้รัฐบาลออกไปโดยไม่มีเงื่อนไขเพื่อที่ประชาชนได้ตั้งสภานิติบัญญัติและรัฐบาลปฏิรูปเป็นเป้าหมายก็ต้องยอมรับว่าจนบัดนี้ผู้ชุมนุมยังมองไม่เห็นจุดหมายปลายทางที่ชัดเจนเพราะรัฐบาลก็ยังคงเดินหน้าเลือกตั้งตามประสาตน

หากกำนันยังมีแรงพลังสนับสนุนไม่ถอย ต่างฝ่ายต่างยังต้องสู้กันอยู่อีกยาวเพราะเลือกตั้ง 2 ก.พ.แล้วยังต้องเลือกซ่อมใหม่ไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะเขตที่ไม่มีผู้สมัครอาจต้องประกาศรับสมัครใหม่ ส่วนฝ่ายคัดค้านมีความเป็นไปได้ที่ต้องทำอย่างไรก็ตามไม่ให้มีคนไปลงคะแนนให้หรือไม่ก็ล้มคูหาเลือกตั้งไปเลยเหมือนที่เกิดที่บังคลาเทศ

สถานการณ์ที่ยืดเยื้อลักษณะนี้จะนำไปสู่การยกระดับมาตรการ/อารมณ์/ความเป็นปฏิปักษ์และแบ่งแยกสังคมเป็นสองฝ่ายชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แนวโน้มการเกิดขั้วที่สามยังไม่เป็นจริงในภาคปฏิบัติเพราะสังคมไม่เชื่อว่าเสื้อขาวเป็นขั้วที่สามจริง

ลักษณะเช่นนี้ผู้ชุมนุมต้องทำใจว่าแนวโน้มจะมีการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมจะมากขึ้น ดังจะเห็นจากมีการใช้ปืนเก็บเสียง ระเบิดมือชนิดขว้างถี่ขึ้นรายวัน เพราะนี่เป็นหนทางเลือกไม่กี่ทางของทักษิณ ชินวัตร ไพ่ในมือของเขาเหลืออยู่ไม่มากในเมื่อการเลือกตั้งมีแนวโน้มจะเกิดปัญหาก็ทำให้เกิดความรุนแรงกับการชุมนุมเสียเลย เผื่อแหยงฝ่อไปการเลือกตั้งจะได้เดินหน้า แต่หากไม่ฝ่อไม่แหยงม็อบยังอยู่ต่อก็ทำให้เกิดปั่นป่วนเรียกหาการรัฐประหารเพื่อล้างไพ่ไปเลย มีแต่การรัฐประหารเท่านั้นที่จะทำให้ทักษิณและตระกูลชินวัตรกลับมาได้อย่างเท่ๆ

แม้สถานการณ์โดยรวมไม่เป็นคุณกับรัฐบาลเท่าใดนัก แต่ฝ่ายผู้ชุมนุมเองก็ควรทำใจว่าการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจากการเรียกร้องของประชาชนแล้วรัฐบาลจะยอมให้ตามนั้นน่ะมันเป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างน้อยก็ในประมาณ 10 วันนี้ที่ยังไงรัฐบาลก็ไม่ยอมแน่

หนทางที่ประชาชนเป่านกหวีดจะเฮได้อาจต้องอาศัย “อำนาจอื่น” มาช่วย เช่นการชี้มูลของป.ป.ช.ในคดีจำนำข้าว หรือการยื่นมือมาไกล่เกลี่ยของฝ่ายที่ทั้งสองขั้วเกรงใจ ไปจนถึงการปะทะกันรุนแรงที่อาจเกิดจากแผนการหวังผลของผู้หนึ่งผู้ใด ถึงตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างยังเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น

แต่ในเมื่อยังไม่ถึงจุดที่มีการแพ้ชนะหรือการเจรจาลงตัว การศึกก็ยังต้องดำเนินต่อไป

สมรภูมิถัดไปคือ 2 ก.พ. รัฐบาลคงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ “ตัวเลข” ออกไปเลือกตั้งมีจำนวนมากพอ และตัวเลขที่เลือกเพื่อไทยไม่ควรน้อยกว่า 15 ล้านเสียงนัก

แต่สมมติหากมีคนออกจากบ้านไปเลือกประมาณ 10 ล้านคน เท่ากับมีคนออกจากบ้านมาเลือกแค่ประมาณ 20% จากผู้มีสิทธิ์รอบนี้ประมาณ 49 ล้านคน

อันนี้ก็จะพอเทียบกับบังคลาเทศที่การบอยคอตเป็นผลทำให้คนออกจากบ้านไปเลือกแค่ประมาณ 22% ทำให้รัฐบาลขาดความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาลต่อ ไปอ้างอะไรกับใครก็ไม่เต็มปาก

หรือผลออกมาแล้วเฉพาะภาคเหนืออีสานมีคนออกมาเลือกเพื่อไทยน้อยลงเมื่อเทียบกับปี 2554 อันนี้ก็ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลอีกเช่นกัน

ผมเชื่อว่ารัฐบาลจะต้องเกณฑ์ผู้คนโหมให้ออกมาทั้งภาคเหนืออีสานกันยกใหญ่ เพราะนี่เป็นทางที่เหลืออยู่ไม่กี่ทางของรัฐบาล เพื่อให้ “จำนวนคน” ที่ออกจากบ้านมากพอ เพื่อรัฐบาลจะอ้างตัวเลขนั้นว่าเป็นเลขที่สะท้อนเจตนารมณ์ของคน

ต่อให้กำนันหรือปชป. ไม่คิดจะเล่นในเกมเลือกตั้ง 2 ก.พ. แต่รัฐบาลคิด

ดังนั้นสมรภูมิเลือกตั้ง 2 ก.พ.ก็มีความสำคัญต่อสงครามใหญ่ไม่น้อย เพราะหากตัวเลขสวยรัฐบาลก็มีที่หยัดยืนทรงกายมากขึ้นกระแสเสื้อขาวจุดติด แต่หากกระแสเลือกตั้งมาแรงเหนืออีสานออกไปพรึ่บรัฐบาลก็จะเข้มแข็งขึ้นทันตาเช่นกัน

ตัวเลขจากการเลือกตั้งมีผลต่อผลแพ้ชนะหรือกระทั่งต่อปัจจัยที่สามที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ด้วยซ้ำไป
กำลังโหลดความคิดเห็น