เงื่อนไขตามมาตรา 93 แห่งรัฐธรรมนูญกำหนดว่า การเลือกตั้งส.ส.ให้ประกอบขึ้นมาเป็นสภาผู้แทนราษฎรได้นั้นต้องมีจำนวนอย่างน้อย 95% นั่นแปลว่า หากการเลือกตั้งรอบนี้ได้ส.ส.เข้ามาไม่ถึง 475 คนก็จะยังเปิดสภาไม่ได้ ยังไม่ครบองค์ประกอบที่จะก่อให้เกิดสภาผู้แทนราษฎร
มาดูสถานการณ์จริงกัน ตอนนี้แม้หลายจังหวัดภาคใต้จะมีการประท้วงปิดล้อมไม่ให้มีการรับสมัครส.ส.เขตและบางพื้นที่กกต.ลาออก แต่อย่างไรก็ตามก็ยังพอมีช่องกฎหมายให้การรับสมัครส.ส.ลุล่วงผ่านไปได้ เช่นให้ผู้ประสงค์จะสมัครไปแจ้งความกับตำรวจ หรืออาจจะมีการรับสมัครในสถานที่อื่นได้
แต่ยังไงก็ตามปัญหาจะเกิดแน่นอนในวันลงคะแนนจริง เพราะหากชาวบ้านออกมาปิดล้อมหน่วยเลือกตั้ง หรือกกต.ประจำหน่วยลาออกหมดการเลือกตั้งมีขึ้นไม่ได้ ต่อให้ระดมตำรวจจากภาคเหนืออีสานคอมมานโดมาปกป้องหน่วยเลือกตั้ง คุ้มกันชาวบ้านที่ประสงค์จะลงคะแนน แต่เมื่อตำรวจไปแล้วชาวบ้านเขาอยู่กันเองนะครับ ใครจะกล้าไปหย่อนบัตรท้าทายกระแสสังคม
มีปัญหาแน่นอน เชื่อเหอะแนวโน้มเปิดสภาไม่ได้มีสูงมาก !
เพราะหากประชาชนร่วมกันปิดล้อมไม่ให้เกิดการเลือกตั้ง นครศรีฯ 9 เขต/ สงขลา 8 เขต/ สุราษฎร์ฯ 6 เขต/ ตรัง 4 เขต/กระบี่ 3 เขต/ ชุมพร 3 เขต เอาแค่ 6 จังหวัดนี้ก็ปาเข้าไป 33 เขตแล้ว คิดดูสิว่าหากจะระดมกันจริงๆ ทำไมจะทำไม่ได้
เพราะการลงคะแนนต่อให้ลงล่วงหน้าเลยก็ต้องทำในพื้นที่ ชาวบ้านเขารู้จักกันเห็นหน้าค่าตากันอยู่ถ้าตัดสินใจไปหย่อนบัตรก็เตรียมเผชิญกับกระแสสังคมในพื้นที่กันเองยกเว้นจะมีเจ้าพ่อใหญ่ระดับตำบลที่ให้ความคุ้มครองได้ แต่จะมีที่ไหนล่ะเพราะขนาดที่สิชล เจ้าพ่อเต้นเองยังไม่รู้จะกลับบ้านได้หรือเปล่าในนาทีนี้
มีคนยุให้ กกต. ลาออกตอนนี้เพื่อปิดเกม 2 ก.พ. ผมคิดว่าต่อให้กกต.อยู่ครบแต่ผลก็คงเหมือนกันคือลากยาว เลือกแล้วเลือกใหม่กันอยู่ใน 5-6 จังหวัดภาคใต้ โฟกัสของการระดมคนเปลี่ยนจากราชดำเนินกลายเป็นในพื้นที่ ตำรวจท้องถิ่นไม่กล้าออกมีแต่ตำรวจต่างถิ่นถูกระดมเข้าไป ทำกันดีๆนะเพราะไปทำกันถึงในถิ่น ถ้าลองมีคนเจ็บตาย จลาจลหรือการเผาถึงตอนนั้น กกต.อาจอยู่ไม่ได้จริงๆ และต้องลาออกเพื่อรับผิดชอบเหตุการณ์ ซึ่งดีกว่าลาออกไปในตอนนี้ให้คนมองว่ากกต.ไม่เป็นกลางมีเอี่ยวได้เสียกับม็อบกำนัน
ปีใหม่ปีนี้ไม่สนุก เพราะการเมืองยืดเยื้อและยกระดับขึ้น ตำรวจแสดงตัวชัดเจนว่าไม่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แล้ว แปรมาเป็นกองกำลังพิทักษ์รัฐบาลสู้กับม็อบเต็มตัว ขนาดโกหกกันหน้าด้านๆ ออกสื่อว่าพวกทำเหี้ยๆน่ะเป็นตำรวจปลอมแบบที่ไม่ต้องแยแสอะไรอีกแล้ว ในเมื่อสังคมถูกแยกเป็นสองฝั่งแบบนี้จากนี้ไปต้องระมัดระวังกันให้มากเพราะคนที่เชื่อว่าหนทางรักษาอำนาจคือการทำให้ประชาชนกลัว หารู้ไม่ว่าความคิดแบบนั้นมันคือหายนะเพราะมีแต่ทรราชที่ทำแบบนี้แหละประวัติศาสตร์ก็บอกว่าเมื่อประชาชนกลัวถึงที่สุดก็จะแปรเป็นความกล้าแทน
เปิดปีใหม่มากำนันประกาศจะเผด็จศึกภายในเดือนมกราคมไม่รู้ว่าแผนเด็ดของกำนันชัตดาวน์กรุงเทพจะมีผลแค่ไหน แต่หากหวังจะให้รัฐบาลโอนมอบอำนาจรัฐมาให้ตั้งรัฐบาลใหม่แล้วบรรดาชินวัตรและลิ่วล้อนั่งงอมือรอรับการถูกไล่เช็คบิลผมคิดว่านี่ไม่ใช่แบบแผนของชินวัตร การสั่งตำรวจสู้แบบนี้บ่งบอกว่าเขาไม่ยอมหรอก และก็ไม่แยแสเสียงเรียกร้องประท้วงอะไรด้วยดูจากปาร์ตี้ลิสต์ที่ส่งลง ดูจากโปสเตอร์หาเสียงที่ไม่ยี่หระว่าผิดอะไรตรงไหนขอสานต่องานเดิมก็รู้ – ทางของกำนันไม่ง่ายเลย
แต่สำหรับฝ่ายรัฐบาลชินวัตรเองก็ยากไม่แพ้กัน แสดงให้โลกเห็นว่ารัฐบาลมีอำนาจคุมสถานการณ์ได้ในท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐมนตรีอยู่ในกรุงเทพไม่ได้ แถมต้องเอาการเลือกตั้งให้เกิดส.ส. 475 คนเข้าสภาเพื่อไปเลือกรัฐบาล
บางคนบอกว่าไปตั้งหน่วยในค่ายทหาร อ๋อจะขนไปเฉพาะคนที่จะเลือกรึ? อ้าว ! เลือกตั้งมันต้องทำอย่างเปิดเผยโปร่งใสนะครับ ดึงดันเอาให้ได้รังแต่จะเกิดจลาจลในพื้นที่เดือดร้อนข้าราชการที่ถูกเกณฑ์เป็นกกต.ประจำหน่วยอีก เพราะดีไม่ดีเขาอาจอยู่ในพื้นที่ไม่ได้ ประชาชนด้วยกันก็อยู่ไม่ได้หากจะไปเลือกตั้งตามนายสั่ง
ตอนนี้เป็นแค่วันสมัคร การปิดล้อมระดมคนยังไม่เท่าไหร่หรอกเพราะมือกฎหมายรู้ว่ามันมีช่องให้สมัครได้ แต่ไปวันเลือกตั้งโน่น คิดหรือว่า กกต.จังหวัดจะอยู่ครบ กกต.ประจำหน่วยล่ะ ถ้าพวกเขาจู่ๆ ตัดสินใจลาออกก่อนหน้าวันเลือกตั้งแค่วันหรือสองวันจะเป็นยังไง เรื่องเหล่านี้มันเป็นไปได้ทั้งสิ้น
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงมันก็จะตันกันทั้งสองฝ่าย กำนันยังต้องระดมคนออกมา สันติ-อหิงสา ปิดกรุงเทพกันต่อแต่หากฝ่ายรัฐบาลทำเฉยเมยไม่แยแสสนใจจะปิดก็ปิดไปกูไม่สนกำนันก็เหมือนขับรถชนกำแพง ยกเว้นแต่จะยกระดับเป็นเหมือนอียิปต์ ซีเรีย หรือแม้แต่บราซิลที่มีปะทะมีเผาเป็นหย่อมๆ ซึ่งนั่นก็จะเป็นอีกโหมดแล้ว สร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายปราบและความไม่แน่นอนทั้งหลายก็จะตามมา
การประท้วงใหญ่ครั้งนี้เป็นผลพวงและปฏิกิริยาของการเมืองแบบทรราชเสียงข้างมาก (Tyranny of majority) ดังนั้นอะไรที่ประชาชนไม่พอใจก็ควรจะให้ปลดปล่อยออกมาแสดงให้สังคมทั้งมวลรู้ว่าสิ่งใดที่ประชาชนไม่พอใจ อย่างแนวคิดและข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปนี่ถือเป็นสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์กับสังคมอย่างยิ่งต่อให้ทำไม่ได้ตอนนี้แต่มันจะเติบใหญ่ขึ้นจนสำเร็จในที่สุดแต่ก็นั่นเองไม่มีอะไรที่ได้หมดเสียหมดทุกอย่างหรอก สิ่งที่ม็อบเรียกร้องบางประการมันก็ถูกอีกฝ่ายต้านสุดฤทธิ์ ข้อเรียกร้องในเชิงอำนาจของสองฝ่ายจึงยังคงที่เป็นพลังชักคะเย่อดึง-ดัน-เขย่า-ขย่ม-กด-ผลักช่วงชิงอำนาจรัฐกันอยู่
นาทีนี้ประชาชนชาวนกหวีดถอยไม่ได้แล้ว เพราะที่สู้ๆ มาจะไม่เหลืออะไรยังต้องระดมสู้กันต่อให้ถึงที่สุด ...
ความเป็นไปได้มีตั้งแต่สุดทางแบบอียิปต์คือเกิดจลาจลเป็นรูปแบบเลือดนองท้องช้างอย่าคิดว่าประชาชนไม่มีอาวุธนะบทจะหาจริงๆ ไม่ได้ยากเลยสำหรับประเทศนี้แต่โมเดลแบบนี้มันเสี่ยงมากถ้ากำนันไม่แพ้เข้าคุก ตระกูลชินวัตรก็ต้องออกนอกประเทศ โมเดลแบบรองลงมาคือปะทะกันแบบจำกัดขอบเขตแบบที่เกิดที่หน้าสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น แนวทางนี้ยังไม่รู้ผลเร็ววันอาจต้องรอไปวัดกันที่หีบเลือกตั้งและการตั้งรัฐบาลใหม่ ถ้าตั้งไม่ได้ติดปัญหา 475 เขตไม่ครบรัฐบาลปูก็รักษาการณ์ไปเรื่อยๆ บ่มฝีไปเรื่อยๆ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมเขียนบทความในทำนองว่าอาจจะมีทางออกสวยๆ ระหว่างทางที่สองฝ่ายชักคะเย่อดึง-ดันกันปรากฏมีผู้อ่านไม่พอใจอยู่หลายคนประมาณว่าทำไมไม่เชียร์ให้สู้ขาดใจ โอเคครับสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหลือพื้นที่ให้ฝ่ายที่สามหรอก เป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ถ้าประชาชนไม่ทุ่มเทออกมาสู้ก็จะจบสิ้นยกประเทศให้เขาจริงๆ ขณะที่ชินวัตรเองหากไม่ยกระดับใช้ตำรวจปลอมออกมาก็อาจต้องไปดูไบเลยต้องปลุกตำรวจออกมาอย่าให้กำนันปฏิรูปตำรวจได้ คงต้องรอจนผลแพ้ชนะออกมา หรือหากเกิดตันไปไม่ได้ทั้งสองฝ่ายนาทีนั้นคงจะมีคนเห็นประโยชน์ของแนวทางที่สามบ้าง
ถ้าถึงเวลานั้นแนวคิดที่ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณเรียกว่า Grand Compromise คงจะชัดเจนขึ้นมา
แต่มกราคมนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องทำให้ได้ก่อนคือขัดขวางการเลือกตั้งและระดมคนครั้งใหญ่อีกครั้งตามเสียงนกหวีดกำนันเพราะหากไม่สู้ต่อเท่ากับที่ทำๆ มีค่าเท่ากับศูนย์กำนันเข้ามอบตัวประชาชนกลับบ้านมือเปล่า...ความชัดเจนของประเทศไทยคงจะชัดขึ้นหลัง 2 ก.พ.คือเมื่อมีการเลือกตั้งผ่านไปแล้วถ้ายังมีสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ โดยที่ระหว่างนั้นไม่เกิดอะไรรุนแรงปึงปังขึ้นมาก่อน หรือเกิดภาวะชะงักงันไปไม่ได้กันขึ้นมาจริงๆ .
-------
บทความนี้เป็นชิ้นสุดท้ายของปี 2556
สวัสดีปีใหม่ 2557 ขอพวกเราประชาชนไทยผ่านพ้นปัญหาอุปสรรคร่วมกันครับ :D
มาดูสถานการณ์จริงกัน ตอนนี้แม้หลายจังหวัดภาคใต้จะมีการประท้วงปิดล้อมไม่ให้มีการรับสมัครส.ส.เขตและบางพื้นที่กกต.ลาออก แต่อย่างไรก็ตามก็ยังพอมีช่องกฎหมายให้การรับสมัครส.ส.ลุล่วงผ่านไปได้ เช่นให้ผู้ประสงค์จะสมัครไปแจ้งความกับตำรวจ หรืออาจจะมีการรับสมัครในสถานที่อื่นได้
แต่ยังไงก็ตามปัญหาจะเกิดแน่นอนในวันลงคะแนนจริง เพราะหากชาวบ้านออกมาปิดล้อมหน่วยเลือกตั้ง หรือกกต.ประจำหน่วยลาออกหมดการเลือกตั้งมีขึ้นไม่ได้ ต่อให้ระดมตำรวจจากภาคเหนืออีสานคอมมานโดมาปกป้องหน่วยเลือกตั้ง คุ้มกันชาวบ้านที่ประสงค์จะลงคะแนน แต่เมื่อตำรวจไปแล้วชาวบ้านเขาอยู่กันเองนะครับ ใครจะกล้าไปหย่อนบัตรท้าทายกระแสสังคม
มีปัญหาแน่นอน เชื่อเหอะแนวโน้มเปิดสภาไม่ได้มีสูงมาก !
เพราะหากประชาชนร่วมกันปิดล้อมไม่ให้เกิดการเลือกตั้ง นครศรีฯ 9 เขต/ สงขลา 8 เขต/ สุราษฎร์ฯ 6 เขต/ ตรัง 4 เขต/กระบี่ 3 เขต/ ชุมพร 3 เขต เอาแค่ 6 จังหวัดนี้ก็ปาเข้าไป 33 เขตแล้ว คิดดูสิว่าหากจะระดมกันจริงๆ ทำไมจะทำไม่ได้
เพราะการลงคะแนนต่อให้ลงล่วงหน้าเลยก็ต้องทำในพื้นที่ ชาวบ้านเขารู้จักกันเห็นหน้าค่าตากันอยู่ถ้าตัดสินใจไปหย่อนบัตรก็เตรียมเผชิญกับกระแสสังคมในพื้นที่กันเองยกเว้นจะมีเจ้าพ่อใหญ่ระดับตำบลที่ให้ความคุ้มครองได้ แต่จะมีที่ไหนล่ะเพราะขนาดที่สิชล เจ้าพ่อเต้นเองยังไม่รู้จะกลับบ้านได้หรือเปล่าในนาทีนี้
มีคนยุให้ กกต. ลาออกตอนนี้เพื่อปิดเกม 2 ก.พ. ผมคิดว่าต่อให้กกต.อยู่ครบแต่ผลก็คงเหมือนกันคือลากยาว เลือกแล้วเลือกใหม่กันอยู่ใน 5-6 จังหวัดภาคใต้ โฟกัสของการระดมคนเปลี่ยนจากราชดำเนินกลายเป็นในพื้นที่ ตำรวจท้องถิ่นไม่กล้าออกมีแต่ตำรวจต่างถิ่นถูกระดมเข้าไป ทำกันดีๆนะเพราะไปทำกันถึงในถิ่น ถ้าลองมีคนเจ็บตาย จลาจลหรือการเผาถึงตอนนั้น กกต.อาจอยู่ไม่ได้จริงๆ และต้องลาออกเพื่อรับผิดชอบเหตุการณ์ ซึ่งดีกว่าลาออกไปในตอนนี้ให้คนมองว่ากกต.ไม่เป็นกลางมีเอี่ยวได้เสียกับม็อบกำนัน
ปีใหม่ปีนี้ไม่สนุก เพราะการเมืองยืดเยื้อและยกระดับขึ้น ตำรวจแสดงตัวชัดเจนว่าไม่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แล้ว แปรมาเป็นกองกำลังพิทักษ์รัฐบาลสู้กับม็อบเต็มตัว ขนาดโกหกกันหน้าด้านๆ ออกสื่อว่าพวกทำเหี้ยๆน่ะเป็นตำรวจปลอมแบบที่ไม่ต้องแยแสอะไรอีกแล้ว ในเมื่อสังคมถูกแยกเป็นสองฝั่งแบบนี้จากนี้ไปต้องระมัดระวังกันให้มากเพราะคนที่เชื่อว่าหนทางรักษาอำนาจคือการทำให้ประชาชนกลัว หารู้ไม่ว่าความคิดแบบนั้นมันคือหายนะเพราะมีแต่ทรราชที่ทำแบบนี้แหละประวัติศาสตร์ก็บอกว่าเมื่อประชาชนกลัวถึงที่สุดก็จะแปรเป็นความกล้าแทน
เปิดปีใหม่มากำนันประกาศจะเผด็จศึกภายในเดือนมกราคมไม่รู้ว่าแผนเด็ดของกำนันชัตดาวน์กรุงเทพจะมีผลแค่ไหน แต่หากหวังจะให้รัฐบาลโอนมอบอำนาจรัฐมาให้ตั้งรัฐบาลใหม่แล้วบรรดาชินวัตรและลิ่วล้อนั่งงอมือรอรับการถูกไล่เช็คบิลผมคิดว่านี่ไม่ใช่แบบแผนของชินวัตร การสั่งตำรวจสู้แบบนี้บ่งบอกว่าเขาไม่ยอมหรอก และก็ไม่แยแสเสียงเรียกร้องประท้วงอะไรด้วยดูจากปาร์ตี้ลิสต์ที่ส่งลง ดูจากโปสเตอร์หาเสียงที่ไม่ยี่หระว่าผิดอะไรตรงไหนขอสานต่องานเดิมก็รู้ – ทางของกำนันไม่ง่ายเลย
แต่สำหรับฝ่ายรัฐบาลชินวัตรเองก็ยากไม่แพ้กัน แสดงให้โลกเห็นว่ารัฐบาลมีอำนาจคุมสถานการณ์ได้ในท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐมนตรีอยู่ในกรุงเทพไม่ได้ แถมต้องเอาการเลือกตั้งให้เกิดส.ส. 475 คนเข้าสภาเพื่อไปเลือกรัฐบาล
บางคนบอกว่าไปตั้งหน่วยในค่ายทหาร อ๋อจะขนไปเฉพาะคนที่จะเลือกรึ? อ้าว ! เลือกตั้งมันต้องทำอย่างเปิดเผยโปร่งใสนะครับ ดึงดันเอาให้ได้รังแต่จะเกิดจลาจลในพื้นที่เดือดร้อนข้าราชการที่ถูกเกณฑ์เป็นกกต.ประจำหน่วยอีก เพราะดีไม่ดีเขาอาจอยู่ในพื้นที่ไม่ได้ ประชาชนด้วยกันก็อยู่ไม่ได้หากจะไปเลือกตั้งตามนายสั่ง
ตอนนี้เป็นแค่วันสมัคร การปิดล้อมระดมคนยังไม่เท่าไหร่หรอกเพราะมือกฎหมายรู้ว่ามันมีช่องให้สมัครได้ แต่ไปวันเลือกตั้งโน่น คิดหรือว่า กกต.จังหวัดจะอยู่ครบ กกต.ประจำหน่วยล่ะ ถ้าพวกเขาจู่ๆ ตัดสินใจลาออกก่อนหน้าวันเลือกตั้งแค่วันหรือสองวันจะเป็นยังไง เรื่องเหล่านี้มันเป็นไปได้ทั้งสิ้น
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงมันก็จะตันกันทั้งสองฝ่าย กำนันยังต้องระดมคนออกมา สันติ-อหิงสา ปิดกรุงเทพกันต่อแต่หากฝ่ายรัฐบาลทำเฉยเมยไม่แยแสสนใจจะปิดก็ปิดไปกูไม่สนกำนันก็เหมือนขับรถชนกำแพง ยกเว้นแต่จะยกระดับเป็นเหมือนอียิปต์ ซีเรีย หรือแม้แต่บราซิลที่มีปะทะมีเผาเป็นหย่อมๆ ซึ่งนั่นก็จะเป็นอีกโหมดแล้ว สร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายปราบและความไม่แน่นอนทั้งหลายก็จะตามมา
การประท้วงใหญ่ครั้งนี้เป็นผลพวงและปฏิกิริยาของการเมืองแบบทรราชเสียงข้างมาก (Tyranny of majority) ดังนั้นอะไรที่ประชาชนไม่พอใจก็ควรจะให้ปลดปล่อยออกมาแสดงให้สังคมทั้งมวลรู้ว่าสิ่งใดที่ประชาชนไม่พอใจ อย่างแนวคิดและข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปนี่ถือเป็นสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์กับสังคมอย่างยิ่งต่อให้ทำไม่ได้ตอนนี้แต่มันจะเติบใหญ่ขึ้นจนสำเร็จในที่สุดแต่ก็นั่นเองไม่มีอะไรที่ได้หมดเสียหมดทุกอย่างหรอก สิ่งที่ม็อบเรียกร้องบางประการมันก็ถูกอีกฝ่ายต้านสุดฤทธิ์ ข้อเรียกร้องในเชิงอำนาจของสองฝ่ายจึงยังคงที่เป็นพลังชักคะเย่อดึง-ดัน-เขย่า-ขย่ม-กด-ผลักช่วงชิงอำนาจรัฐกันอยู่
นาทีนี้ประชาชนชาวนกหวีดถอยไม่ได้แล้ว เพราะที่สู้ๆ มาจะไม่เหลืออะไรยังต้องระดมสู้กันต่อให้ถึงที่สุด ...
ความเป็นไปได้มีตั้งแต่สุดทางแบบอียิปต์คือเกิดจลาจลเป็นรูปแบบเลือดนองท้องช้างอย่าคิดว่าประชาชนไม่มีอาวุธนะบทจะหาจริงๆ ไม่ได้ยากเลยสำหรับประเทศนี้แต่โมเดลแบบนี้มันเสี่ยงมากถ้ากำนันไม่แพ้เข้าคุก ตระกูลชินวัตรก็ต้องออกนอกประเทศ โมเดลแบบรองลงมาคือปะทะกันแบบจำกัดขอบเขตแบบที่เกิดที่หน้าสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น แนวทางนี้ยังไม่รู้ผลเร็ววันอาจต้องรอไปวัดกันที่หีบเลือกตั้งและการตั้งรัฐบาลใหม่ ถ้าตั้งไม่ได้ติดปัญหา 475 เขตไม่ครบรัฐบาลปูก็รักษาการณ์ไปเรื่อยๆ บ่มฝีไปเรื่อยๆ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมเขียนบทความในทำนองว่าอาจจะมีทางออกสวยๆ ระหว่างทางที่สองฝ่ายชักคะเย่อดึง-ดันกันปรากฏมีผู้อ่านไม่พอใจอยู่หลายคนประมาณว่าทำไมไม่เชียร์ให้สู้ขาดใจ โอเคครับสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหลือพื้นที่ให้ฝ่ายที่สามหรอก เป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ถ้าประชาชนไม่ทุ่มเทออกมาสู้ก็จะจบสิ้นยกประเทศให้เขาจริงๆ ขณะที่ชินวัตรเองหากไม่ยกระดับใช้ตำรวจปลอมออกมาก็อาจต้องไปดูไบเลยต้องปลุกตำรวจออกมาอย่าให้กำนันปฏิรูปตำรวจได้ คงต้องรอจนผลแพ้ชนะออกมา หรือหากเกิดตันไปไม่ได้ทั้งสองฝ่ายนาทีนั้นคงจะมีคนเห็นประโยชน์ของแนวทางที่สามบ้าง
ถ้าถึงเวลานั้นแนวคิดที่ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณเรียกว่า Grand Compromise คงจะชัดเจนขึ้นมา
แต่มกราคมนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องทำให้ได้ก่อนคือขัดขวางการเลือกตั้งและระดมคนครั้งใหญ่อีกครั้งตามเสียงนกหวีดกำนันเพราะหากไม่สู้ต่อเท่ากับที่ทำๆ มีค่าเท่ากับศูนย์กำนันเข้ามอบตัวประชาชนกลับบ้านมือเปล่า...ความชัดเจนของประเทศไทยคงจะชัดขึ้นหลัง 2 ก.พ.คือเมื่อมีการเลือกตั้งผ่านไปแล้วถ้ายังมีสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ โดยที่ระหว่างนั้นไม่เกิดอะไรรุนแรงปึงปังขึ้นมาก่อน หรือเกิดภาวะชะงักงันไปไม่ได้กันขึ้นมาจริงๆ .
-------
บทความนี้เป็นชิ้นสุดท้ายของปี 2556
สวัสดีปีใหม่ 2557 ขอพวกเราประชาชนไทยผ่านพ้นปัญหาอุปสรรคร่วมกันครับ :D