ศอ.รส.แถลงเหตุชายฉกรรจ์ใช้อาวุธปืนสงครามเอ็ม 16 กราดยิงการ์ด คปท.ที่แยกชมัยมรุเชฐ เสียชีวิต 1 เจ็บ 3 ราย ส่วนชายขับรถนำอาหารไปให้ตำรวจถูกยิงขาบาดเจ็บ ระบุจะเก็บหลักฐานดำเนินคดีโปร่งใส พร้อมเร่งสอบสวนเหตุตำรวจปลอมทุบรถกรงขังที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 28 ธ.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย ในฐานะ โฆษก ศอ.รส.แถลงสรุปสถานการณ์การชุมนุมว่า เมื่อเวลา 03.00 น.ที่ผ่านมา ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์ไม่ทราบจำนวนขับรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์-ทอง ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน มาจากถนนพิษณุโลก ผ่านแยกนางเลิ้ง ตรงมาที่สะพานชมัยรุเชฐ ก่อนมีการจอดรถ จากนั้นคนที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังได้ลดกระจก ใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาดยิงใส่แนวรั้วเวทีปราศรัยของกลุ่มคปท. ก่อนขับรถหลบหนีไปทางถนนพระราม 5 เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อนายยุทธนา องอาจ อายุ 26 ปี และมีบาดเจ็บ 3 ราย ได้แก่ นายเสน่ห์ โลหะศาสตร์ อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 50/2 หมู่ 1ต.บางชัน อ.ขลุง จ.จันทบุรี พักรักษาตัวที่ รพ.ราชวิถี, นายประวิทย์ ทองแปรง อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 144/1หมู่ 2 ต.โนนสัง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีษะเกษ, นายสุรพงษ์ สมแคล้ว อายุ 21 ปี พักรักษาตัวที่ รพ.รามาธิบดี
ต่อมาเวลา 04.00 น. นายสมบัติ นาคเพชร อายุ 48 ปี พร้อมภรรยาได้ขับรถกระบะเพื่อนำอาหารไปส่งให้กับตำรวจควบคุมฝูงชนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในทำเนียบรัฐบาล เมื่อมาถึงสะพานอรทัยได้ถูกกลุ่มคนไม่ทราบฝ่ายยิงในระยะ 200 เมตร กระสุนปืนถูกนายสมบัติที่บริเวณข้อศอกซ้่าย ซึ่งหลังเกิดเหตุนายสมบัติได้พยายามขับรถไป รพ.เปาโลเมโมเรียล สะพานควาย แต่เนื่องจากได้รับบาดเจ็บรถจึงประสบอุบัติเหตุชนป้อมตำรวจบริเวณแยกโรงกรองน้ำ ถ.พระราม 6 ล่าสุดรักษาตัวอยู่ที่ รพ.เกษมราษฎร์ ประชาชื่น จากทั้งสองเหตุการณ์ ศอ.รส.ได้สั่งให้มีการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน โดยให้กองพิสูจน์หลักฐานกลางลงพื้นที่ตรวจเก็บหลักฐานเพื่อติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวถึงเหตุปะทะกันที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า หลังเกิดเหตุทางกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ได้ลงไปตรวจสอบพื้นที่ เบื้องต้นได้มีการตรวจสอบพบรถตำรวจถูกทำลาย ใช้การไม่ได้จำนวน 107 คัน เป็นรถยนต์นั่งบุคคล 3 คัน รถกระบะ 16 คัน รถตู้ 61 คัน และรถควบคุมผู้ต้องขัง 27 คัน ซึ่งทั้่งหมดถูกทุบทำลายมีการรื้อค้นเอาทรัพย์สินภายในรถ และมีร่องรอยกระสุน ขณะเดียวกันพบว่าอุปกรณ์ควบคุมฝูงชนภายในรถสูญหายไปจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าาวเมื่อเวลา 19.30 น.ของวันที่ 26 ธ.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สามเสน ได้จับกุม ด.ช.อายุ 15 ปี บริเวณเขื่อนวัดเทวราชกุญชร ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พบชุดกากีคอพับของตำรวจ กระสุนขนาด 9 มม.จำนวน 15 นัด ซองปืนกล็อก 1 ซอง ประทัดยักษ์ 2 ลูก ระเบิดปิงปอง 7 ลูก และพบถุงมือสนับศอกของตำรวจที่ใช้ควบคุมฝูงชน สอบสวนทราบว่าได้รับการว่าจ้างให้ไปสร้างความวุ่นวายในพื้นที่การชุมนุม โดยได้รับค่าจ้าง 500 บาท ซึ่งจะได้รับหน้ากากกันแก๊สน้ำตา ประทัดยักษ์ ระเบิดปิงปองอย่างละ 16 ลูก ซึ่งได้ใช้ไปแล้วบางส่วนเหลือเพียง 7 ลูกที่ถูกตำรวจยึดได้ ระหว่างที่เกิดเหตุชุลมุนได้เข้าไปทุบรถเพื่อเอาอุปกรณ์ภายในรถ
โฆษก ศอ.รส.กล่าวว่า นอกจากนั้น เมื่อเวลา 00.10 น.วันที่ 27 ธค.ที่ผ่านมา ชุดจู่โจมของ สน.บางรัก ได้จับกุมนายเทพพงษ์ มูลสมบัติ อายุ 20 ปี ในข้อหามีเสื้อเกราะซึ่งถือเป็นยุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองจำนวน 2 ตัว โดยจับกุมได้ที่ ซ.พัฒน์พงษ์ 1 ซึ่งจากการสอบสวนสารภาพว่าเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมาได้ไปชุมนุมที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น เมื่อตำรวจล่าถอยได้เข้าไปทุบรถเพื่อเอาสิ่งของภายในรถ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้รับคลิปวิดีโอจากพลเมืองดี ซึ่งเหตุการณ์ในคลิปสอดคล้องกับที่ผู้ต้องหาให้การ ซึ่งทาง ศอ.รส.ได้มอบหมาย พนักงานสอบสวนจะได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อส่งให้ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร.และพล.ต.ท.อนุชัย เล็กบำรุง ผบช.ภ.4 พร้อมคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อทำการสืบสวนขยายผลต่อไป ศอ.รส.ขอชี้เแจงว่ากรณีที่มีภาพปรากฏว่ามีชายชุดดำ หรือมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทุบรถ จะดำเนินการตรวจสอบด้วยความเป็นธรรมโปร่งใส ยุติธรรม พร้อมทั้งแสดงความเสียใจกรณีที่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือผู้ชุมนุม นอกจากนี้ในส่วนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุนั้น ทางศอ.รส.ก็จะดำเนินคดีเช่นเดียวกัน เพื่อให้มีความยุติธรรมกับทุกฝ่ายอย่างเต็มที่
ด้าน พล.ต.ต.อนุชา รมยะนันท์ รองโฆษก ศอ.รส.กล่าวถึงภาพรวมการรับสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตซึ่งวันนี้เป็นวันแรกว่า เมื่อเวลา 12.00 น.ที่ผ่านมาศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง ได้มีการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับรายงานเบื้องต้นว่าสถานการณ์ในภาพรวมทั้งกทม.และส่วนภูมิภาค ส่วนใหญ่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ยอมรับว่าได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนไปชุมนุมคัดค้าน แต่เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์โดยการยื่นหนังสือคัดค้าน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มี 5 จังหวัด ได้แก่ จ.กระบี่ จ.นครศรีธรรมราช จ.สงขลา จ.ชุมพร และจ.พัทลุง ยังไม่สามารถเปิดรับสมัครได้เนื่องจากได้มีกลุ่มผู้ชุมนุไปปิดล้อมและทำการตัดน้ำตัดไฟ ซึ่งล่าสุดทาง กกต.จังหวัดได้ยุติการรับสมัครแล้ว ส่วนจะดำเนินการต่อไปอย่างไรเป็นหน้าที่ของ กกต.จะเป็นผู้พิจารณา