xs
xsm
sm
md
lg

ขอให้เป็นสงครามครั้งสุดท้าย

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

ภาพฝูงชนที่หลั่งไหลเต็มถนนราชดำเนิน ล้นไปจนถึงสะพานพระราม 8 และเต็มสะพานพระปิ่นเกล้า แบบที่ภาพถ่ายทางอากาศก็ยังเก็บไม่หมด ต้องตัดเก็บเป็นส่วนๆ จุดๆ คงทำให้เราทุกคนขนลุก

นี่คือการลุกขึ้นแสดงออกทางการเมืองที่ระดมคนออกมาได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของไทยแล้ว ประเมินเพียงด้วยตา ก็เห็นว่ามากกว่าครั้ง 14 ตุลา ที่มักจะใช้เป็นหลักชัยอ้างอิงแน่ๆ เพราะมวลชนคราวนี้นอกจากถมราชดำเนินได้หมดทั้งเส้นแล้ว ยังกระจายกันไปล้นเต็มถนนสาขาที่ต่อเชื่อมกันด้วย

การต่อสู้ที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจากจุดติดไปเพราะเรื่อง พ.ร.บ.ล้างผิดคนโกงสุดซอย และเชื้อหนึ่งที่ทำให้ไฟประชาชนปะทุขึ้นมาอีก คือการที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ ส.ว. สภาผัวเมียนั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญทั้งเนื้อหาและกระบวนการ

ในเนื้อหา ศาลรัฐธรรมนูญชี้ไว้ชัดเจนว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการรื้อฟื้นสภาผัวเมียที่เป็นจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญ 40 กลับมาใช้ใหม่ ซึ่งเป็นการถอยหลังลงคลอง

และศาลรัฐธรรมนูญได้ตีแสกหน้า พวกชอบอ้างเสียงข้างมาก อ้างว่าชนะการเลือกตั้งมาแล้วจะทำอะไรก็ได้ ใช้อำนาจล้นพ้น เพราะมีที่มาของอำนาจจากการเลือกตั้ง

ศาลท่านกรุณาบอกให้ว่า “เสียงข้างมาก” ที่อ้างในการปกครองนั้นเป็นอย่างไร ทำอะไรได้แค่ไหน ในท่อนที่วินิจฉัยว่า “การอ้างหลักเสียงข้างมาก โดยที่มิได้คำนึงถึงเสียงข้างน้อย เพื่อหยิบยกมาใช้อำนาจอำเภอใจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ของผู้ใช้อำนาจท่ามกลางความซับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน หรือกลุ่มบุคคลกับผลประโยชน์ของประเทศชาติ ย่อมขัดต่อหลักนิติธรรมที่การใช้กฎหมาย และการใช้อำนาจทุกกรณีต้องเป็นไปโดยสุจริต จะใช้โดยทุจริต ฉ้อฉล มีประโยชน์ทับซ้อน หรือวาระซ่อนเร้นมิได้ เพราะมิฉะนั้นจะทำให้บรรดาสุจริตชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ อาจสูญเสียประโยชน์อันพึงมีพึงได้ ให้ไปตกอยู่แก่บุคคล หรือคณะบุคคลผู้ใช้อำนาจ โดยปราศจากความชอบธรรม...”

ส่วนในเรื่องกระบวนการนั้น ศาลก็ได้วินิจฉัยไว้อย่างสะเด็ดน้ำว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ กระทำโดยรีบเร่งน่าเกลียดแค่ไหน ทั้งมีการยัดไส้เอาญัตติปลอมที่ไม่มีใครลงชื่อรับรองส่งไปให้สภาฯ พิจารณา และในการพิจารณาก็เป็นไปอย่างเร่งรีบ ให้แปรญัตติได้แค่หนึ่งวัน หลังจากมีมติกำหนดระยะเวลาในการแปรญัตติระหว่างการพิจารณาก็มีการตัดสิทธิอภิปรายของสมาชิกสภาฯ ที่ได้แปรญัตติไว้โดยอ้างว่าขัดต่อหลักการ องค์ประชุมไม่ครบก็แจกบัตรลงคะแนนให้หัวคิวเอาไปกดแทนเพื่อน แถมยังกำหนดว่าถ้ารัฐธรรมนูญนี้ดันทุรังผ่านออกไปใช้บังคับได้ ให้รีบแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งใหม่ภายใน 120 วัน และจัดการเลือกตั้งล้างบาง ส.ว. สรรหาให้ได้ภายในต้นปีหน้า

เรียกว่าสกปรกทั้งวิธีการ ทั้งเนื้อหา ต้องถูกเพิกถอน

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นสิ่งที่แสลงใจสภาผู้แทนฯ นายห้าง จนต้องดาหน้ากันออกมาประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญกันอย่างหน้าไม่อาย

นั่นเพราะคำวินิจฉัยนี้เป็น “คำพิพากษา” ที่จี้ให้เห็นจุดว่า สภาฯ นี้ดำเนินกระบวนการที่ไม่ชอบธรรม ไม่น่าไว้ใจอย่างไร

และเพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 216 กำหนดให้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ

ในทางกฎหมาย จึงถือว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ข้อเท็จจริงที่ดิ้นไม่ได้แล้ว ว่ารัฐสภานี้ฉ้อฉลอย่างไร กระทำความผิดประการใดไว้ในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ผูกพันให้ ป.ป.ช. และอัยการที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ จะต้องชี้มูลและส่งฟ้องไปตามนี้ เพราะถือว่ายุติแล้ว และศาลก็ต้องรับข้อเท็จจริงนี้เช่นกัน เพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันศาลอื่นด้วย เหลือแต่ว่า จะลงโทษกันเท่าไร ตามกฎหมายใด เป็นเรื่องของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ดังนั้น เมื่อรัฐสภาซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝ่ายรัฐบาล ออกมาประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ก็เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายของประชาชนเช่นกัน

เพราะเท่ากับว่า รัฐบาลประกาศสถาปนาบ้านเมืองแบบไม่มีขื่อมีแป ทำผิดไม่ยอมรับผิด อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับกรณีการหนีคำพิพากษาของนายใหญ่ เป็นชนักให้กลับบ้านไม่ได้จนทุกวันนี้ และเป็นชนวนให้มีการออกกฎหมายล้างผิดคดีโกง ที่เป็นต้นธารการลุกฮือครั้งล่าสุดของประชาชนในครั้งนี้

ก็ในเมื่อประชาชนไม่สามารถปฏิเสธอำนาจรัฐ ในเมื่อแค่เพียงโดนใบสั่งก็ต้องไปเสียค่าปรับ หรือมีหมายศาลก็ต้องไปขึ้นศาล หากศาลพิพากษาว่าผิด ก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายหรือถูกยึดทรัพย์บังคับคดี ภาษีไม่อยากจ่ายก็ต้องจ่าย รัฐออกกฎหมายอะไรมา ก็ใช้บังคับกับประชาชน ประชาชนไม่มีสิทธิปฏิเสธอำนาจรัฐใดๆ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการ

แต่เมื่อรัฐบาลและรัฐสภาเอง “ทำผิด” รัฐธรรมนูญด้วยเหตุฉ้อฉล จะแก้รัฐธรรมนูญเอาแต่ใจไม่สนใจสิทธิเสียงข้างน้อย กระทำผิดชัดแจ้งจนมีคำพิพากษาออกมาแล้ว กลับดาหน้ากันออกมาตั้งโต๊ะแถลงหน้าตาเฉยว่า “ไม่ยอมรับ” อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ

อ้างว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจอย่างน่าอนาถ ทั้งๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีเขตอำนาจในเรื่องพิพาททางรัฐธรรมนูญ โดยอ้างเสียงแข็งว่า นี่เป็นอำนาจรัฐสภา

การไม่ยอมรับอำนาจศาล เท่ากับการไม่ยอมจำกัดอำนาจของตัวเองของฝ่ายสภาฯ และรัฐบาล แม้แต่อำนาจอธิปไตยที่มีหน้าที่ตัดสินเป็นยุติ คืออำนาจตุลาการก็ไม่สามารถควบคุมอำนาจได้

เป็นการประกาศว่าจะใช้อำนาจล้นพ้น ไม่ยำเกรงต่อกบิลเมืองใดๆ

คงถึงเวลาแล้วที่ประชาชนจะต้องให้บทเรียนกับเครือข่ายทักษิณ อย่างชนิดม้วนเดียวจบ อย่าให้หลงเหลือติดค้าง เป็นเชื้อทิ้งไว้ก่อวิกฤตชาติรอบใหม่ได้อีก ทุกอย่างต้องจบในรอบนี้ เพราะอย่างที่เห็นมาหลายครั้ง เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาแพ้ แต่ยังไม่ถึงรากถึงโคน พวกเขาจะยิ่งระดมพลังมากขึ้น ดื้อด้านมากขึ้น ก่อความเสียหายมากขึ้น

ดังนั้นคราวนี้ถ้าชนะแต่ไม่สุด ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้คราวหน้า อาจจะไม่มีทางโค่นล้มได้แล้วก็ได้

จึงขอให้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ของประชาชนครั้งสุดท้าย เพื่อชัยชนะอันยั่งยืนของประเทศชาติ เพื่อความขัดแย้งบาดหมางและความเสื่อมโทรมของประเทศจะได้จบลงเสียทีในรอบนี้.
กำลังโหลดความคิดเห็น