เนื่องจากเอเอสทีวีตัดสินใจถ่ายทอดสดการชุมนุมบริเวณสถานีรถไฟสามเสน ที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตกรรมการบริหารพรรคบางส่วน เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 31 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา ตรงกับวันฮาโลวีนพอดิบพอดี แถมยังไปตรงกับวันที่ ส.ส. 310 คน เป็น ผีในรัฐสภาไทย ลักหลับประเทศตอนตีสี่ ผ่านร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม
นับตั้งแต่วันเป่านกหวีดของพรรคประชาธิปัตย์ ยังสงสัยอยู่ว่าเสียงนกหวีดจะดังสู้เสียงหวูดรถไฟได้ยังไง และจะได้ยินกันชัดแค่ไหน คนก็อาจจะมากขึ้นเท่านั้น และทำไมต้องเลือกที่สามเสน แต่คำถามเหล่านี้ผมก็ได้รับคำตอบไปแล้ว
ต้องบอกเลยไอ้เรื่องผ่านร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม นี่ไม่ค่อยอยู่เหนือความคาดหมายสักเท่าไร เพราะรัฐบาลมีเสียงข้างมากใช้อำนาจเผด็จการรัฐสภา ยังไงผ่านอยู่แล้วแค่เร็วหรือช้าเท่านั้นแหละ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายค้านที่ทำได้แค่วอล์คเอาท์เท่านั้น
เป่านกหวีดแล้ว จะทำอะไร อย่างไร ยิ่งเขาผ่านร่างกันไปแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ยังจะมีน้ำยาไปทำอะไรได้ จะแก้ไขอะไรได้ละ เพราะจะพึ่ง ส.ว. หรือศาลรัฐธรรมนูญ คงยากพอกันที่จะทำการต้าน พ.ร.บ.ฉบับนี้
และยิ่งเมื่อฟังคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ประกาศตัวเองเป็นแกนนำการชุมนุมก็ยิ่งชัดเจนว่าจะจะทำได้แค่พาประชาชนเดิน เหมือนเดินไปส่งสส.ประชาธิปัตย์เข้าสภาเมื่อครั้งที่แล้ว คงไม่มีการยกระดับการชุมนุมเพื่อผลทางการเมืองมากกว่านั้น เป็นก้าวที่ล้าหลังกว่าประชาชนทั้งอุรุพงษ์และสวนลุมพินี ที่ก้าวหน้ากว่ามากเพราะเป้าหมายชัดเจนทั้งต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขับไล่รัฐบาล และปฏิรูปการเมือง
แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าคุณสุเทพหรือหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังพูดเหมือนเวทีผ่าความจริงของพรรค คุณอภิสิทธิ์ออกมาพูดได้เหมือนหาเสียงทุกครั้ง แม้ว่าในวันหลังๆจะมีประชาธิปัตย์บางคนพยายามเน้นว่าเวทีสามเสน เป็นของประชาชน ไม่ใช่ของพรรคประชาธิปัตย์
แถมการจัดเวทีนี่ยิ่งเหมือนการหาเสียงหรือการให้สัมภาษณ์นักข่าวของนักการเมือง เพราะมีวอลล์เปเปอร์มนุษย์ด้วย หรือว่าคนพวกนี้ไม่มีวอลล์เปเปอร์แล้วจะพูดไม่ออก ไฮด์ปาร์คไม่เป็น
การถ่ายทอดสดเวทีที่สามเสนสองวันมันทำให้ผมรู้เลยว่าเป็นคนมีภูมิต้านทานนักการเมืองต่ำ คือแบบว่าทนดูทนฟังได้ไม่นาน ก็หมดความอดทน ตัดสินใจแน่วแน่ ไปเปิดเพลงฟัง หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อ บอกตรงๆเลยว่ารู้สึกเสียเวลานั่งดู พรรคการเมืองพรรคหนึ่งหาเสียงผ่านทีวีตั้งสามช่อง
ตลอดสุดสัปดาห์นี้หลายๆคนจับตาการชุมนุมที่สามเสน ที่อุรุพงษ์ สวนลุมพินี และการเคลื่อนไหวของประชาชนกลุ่มต่างๆ ทั้งแพทย์ พยาบาล นักวิชาการ ดารานักแสดง และนักธุรกิจ ฯลฯ ประเด็นการต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เป็นประเด็นร้อน ประเด็นร่วมของทุกกลุ่ม ประชาชนที่รักชาติบ้านเมืองไม่ยอมให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณใช้อำนาจปู้ยี่ปู้ยำทำร้ายประเทศชาติตามใจชอบ จึงมากออกมาแสดงพลังต่อต้านคัดค้าน พ.ร.บ.ฉบับนี้จำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าประชาชนตื่นตัวอย่างกว้างขวางพร้อมจะต่อสู้ ไม่ว่าแกนนำจะเป็นประชาธิปัตย์ที่สามเสน หรือกลุ่มนักศึกษาประชาชนที่อุรุพงษ์
ประชาชนหลายกลุ่มที่เคลื่อนไหวมองทะลุมาก่อนหน้านี้แล้วว่า การต่อสู้ในสภาฯ พรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางจะขัดขวางการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมได้ ไม่ว่าวาระไหน พรรคประชาธิปัตย์ไม่ควรร่วมสังฆกรรมในสภา ควรออกจากสภามานำมวลชนคัดค้านตั้งแต่แรก
การเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์แตกต่างจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชชน ประชาชนต่อสู้สุดตัวด้วยความรักชาติบ้านเมืองโดยไม่มีกั๊ก แต่นักการเมืองและพรรคการเมืองไม่อาจหลุดพ้นจากการติดยึดกับฐานะตำแหน่งผลประโยชน์
ที่สำคัญ การต่อสู้ของพลังบริสุทธ์ของกลุ่มประชาชนจริงใจตรงไปตรงมา แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถพูดเต็มปากเต็มคำได้ ต้องหลบเลี่ยง เพราะการวิพากษ์วิจารณ์โจมตีพรรคเพื่อไทย ก็เท่ากับตบปากด่าเข้าตัวเอง ความชั่วหลายเรื่องสองพรรคนี้ทำมาแล้วทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาคอรรัปชั่น ปัญหาอธิปไตยเหนือดินแดนกับกัมพูชา คำตัดสินของศาลโลกในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้เรื่องดินแดนรอบปราสาทพระวิหาร หรือการใช้อำนาจรัฐกับประชาชนที่ชุมนุมประท้วงทางการเมืองอย่างไม่เป็นธรรม เป็นประเด็นที่ประชาธิปัตย์ถูกประชาชนเปิดโปงคัดค้านมาแล้วทั้งสิ้น
น่าเสียดายนักการเมืองคนเก่งคนดีบางคนในพรรคประชาธิปัตย์ ไม่สามารถแสดงศักยภาพเพื่อเป็นเลือดใหม่ที่มีคุณภาพในพรรคการเมืองได้ เพราะตกอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลของนักการเมืองเก่าเลวๆ และกลุ่มผลประโยชน์ภายในพรรค
การนำมวลชนเคลื่อนไหวการเมืองนอกสภาของพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ ประชาธิปัตย์นำประชาชนต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม หากประชาธิปัตย์ทำได้เพียงแค่พาประชาชนเดินไปส่ง ส.ส.ที่สภา หรือที่วัดพระแก้ว แล้วกลับ ปล่อยให้ร่าง พ.ร.บ.ผ่านวุฒิสภา หรือส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญ หรือจะยกระดับการชุมนุมมากกว่านี้หรือไม่ ก็ต้องคอยดูกันต่อไปละครับ
อย่าให้ประชาชนต้องสิ้นหวังกับพรรคนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก นักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่นักการเมืองแล้ว แต่เป็นนักดับเพลิง ดับเปลวเพลิงแห่งความหวังของประชาชน ว่าพรรคนี้อาจจะนำแสงสว่างกลับมาสู่ประเทศไทยอันมืดมิด แต่สุดท้ายเขาก็ยังปล่อยให้ประเทศชาติยังมืดมิดต่อไป…น่าเสียดาย
จากการชุมนุมที่สามเสนนี้ ทำให้ผมนึกถึงเสื้อ “แล้ว-ยัง-งัย” ของคุณลุงสนธิ ซึ่งขายดีมากๆ เพราะคำถามนี้มันดังอยู่ในใจของคนไทยรักชาติจำนวนมาก ถ้าประชาธิปัตย์ไม่ยกระดับการชุมนุมทางการเมืองมากกว่านี้ ยังล้าหลังมวลชน ทำให้มวลชนผิดหวัง ผมอยากทำเสื้ออีกตัวไว้ใส่บ้าง คือเสื้อลาย “กู-ว่า-แล้ว” ออกมาขายจริงๆ คิดว่าคงขายดีไม่แพ้กันแน่นอนละครับ
นับตั้งแต่วันเป่านกหวีดของพรรคประชาธิปัตย์ ยังสงสัยอยู่ว่าเสียงนกหวีดจะดังสู้เสียงหวูดรถไฟได้ยังไง และจะได้ยินกันชัดแค่ไหน คนก็อาจจะมากขึ้นเท่านั้น และทำไมต้องเลือกที่สามเสน แต่คำถามเหล่านี้ผมก็ได้รับคำตอบไปแล้ว
ต้องบอกเลยไอ้เรื่องผ่านร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม นี่ไม่ค่อยอยู่เหนือความคาดหมายสักเท่าไร เพราะรัฐบาลมีเสียงข้างมากใช้อำนาจเผด็จการรัฐสภา ยังไงผ่านอยู่แล้วแค่เร็วหรือช้าเท่านั้นแหละ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายค้านที่ทำได้แค่วอล์คเอาท์เท่านั้น
เป่านกหวีดแล้ว จะทำอะไร อย่างไร ยิ่งเขาผ่านร่างกันไปแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ยังจะมีน้ำยาไปทำอะไรได้ จะแก้ไขอะไรได้ละ เพราะจะพึ่ง ส.ว. หรือศาลรัฐธรรมนูญ คงยากพอกันที่จะทำการต้าน พ.ร.บ.ฉบับนี้
และยิ่งเมื่อฟังคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ประกาศตัวเองเป็นแกนนำการชุมนุมก็ยิ่งชัดเจนว่าจะจะทำได้แค่พาประชาชนเดิน เหมือนเดินไปส่งสส.ประชาธิปัตย์เข้าสภาเมื่อครั้งที่แล้ว คงไม่มีการยกระดับการชุมนุมเพื่อผลทางการเมืองมากกว่านั้น เป็นก้าวที่ล้าหลังกว่าประชาชนทั้งอุรุพงษ์และสวนลุมพินี ที่ก้าวหน้ากว่ามากเพราะเป้าหมายชัดเจนทั้งต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขับไล่รัฐบาล และปฏิรูปการเมือง
แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าคุณสุเทพหรือหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังพูดเหมือนเวทีผ่าความจริงของพรรค คุณอภิสิทธิ์ออกมาพูดได้เหมือนหาเสียงทุกครั้ง แม้ว่าในวันหลังๆจะมีประชาธิปัตย์บางคนพยายามเน้นว่าเวทีสามเสน เป็นของประชาชน ไม่ใช่ของพรรคประชาธิปัตย์
แถมการจัดเวทีนี่ยิ่งเหมือนการหาเสียงหรือการให้สัมภาษณ์นักข่าวของนักการเมือง เพราะมีวอลล์เปเปอร์มนุษย์ด้วย หรือว่าคนพวกนี้ไม่มีวอลล์เปเปอร์แล้วจะพูดไม่ออก ไฮด์ปาร์คไม่เป็น
การถ่ายทอดสดเวทีที่สามเสนสองวันมันทำให้ผมรู้เลยว่าเป็นคนมีภูมิต้านทานนักการเมืองต่ำ คือแบบว่าทนดูทนฟังได้ไม่นาน ก็หมดความอดทน ตัดสินใจแน่วแน่ ไปเปิดเพลงฟัง หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อ บอกตรงๆเลยว่ารู้สึกเสียเวลานั่งดู พรรคการเมืองพรรคหนึ่งหาเสียงผ่านทีวีตั้งสามช่อง
ตลอดสุดสัปดาห์นี้หลายๆคนจับตาการชุมนุมที่สามเสน ที่อุรุพงษ์ สวนลุมพินี และการเคลื่อนไหวของประชาชนกลุ่มต่างๆ ทั้งแพทย์ พยาบาล นักวิชาการ ดารานักแสดง และนักธุรกิจ ฯลฯ ประเด็นการต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เป็นประเด็นร้อน ประเด็นร่วมของทุกกลุ่ม ประชาชนที่รักชาติบ้านเมืองไม่ยอมให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณใช้อำนาจปู้ยี่ปู้ยำทำร้ายประเทศชาติตามใจชอบ จึงมากออกมาแสดงพลังต่อต้านคัดค้าน พ.ร.บ.ฉบับนี้จำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าประชาชนตื่นตัวอย่างกว้างขวางพร้อมจะต่อสู้ ไม่ว่าแกนนำจะเป็นประชาธิปัตย์ที่สามเสน หรือกลุ่มนักศึกษาประชาชนที่อุรุพงษ์
ประชาชนหลายกลุ่มที่เคลื่อนไหวมองทะลุมาก่อนหน้านี้แล้วว่า การต่อสู้ในสภาฯ พรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางจะขัดขวางการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมได้ ไม่ว่าวาระไหน พรรคประชาธิปัตย์ไม่ควรร่วมสังฆกรรมในสภา ควรออกจากสภามานำมวลชนคัดค้านตั้งแต่แรก
การเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์แตกต่างจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชชน ประชาชนต่อสู้สุดตัวด้วยความรักชาติบ้านเมืองโดยไม่มีกั๊ก แต่นักการเมืองและพรรคการเมืองไม่อาจหลุดพ้นจากการติดยึดกับฐานะตำแหน่งผลประโยชน์
ที่สำคัญ การต่อสู้ของพลังบริสุทธ์ของกลุ่มประชาชนจริงใจตรงไปตรงมา แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถพูดเต็มปากเต็มคำได้ ต้องหลบเลี่ยง เพราะการวิพากษ์วิจารณ์โจมตีพรรคเพื่อไทย ก็เท่ากับตบปากด่าเข้าตัวเอง ความชั่วหลายเรื่องสองพรรคนี้ทำมาแล้วทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาคอรรัปชั่น ปัญหาอธิปไตยเหนือดินแดนกับกัมพูชา คำตัดสินของศาลโลกในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้เรื่องดินแดนรอบปราสาทพระวิหาร หรือการใช้อำนาจรัฐกับประชาชนที่ชุมนุมประท้วงทางการเมืองอย่างไม่เป็นธรรม เป็นประเด็นที่ประชาธิปัตย์ถูกประชาชนเปิดโปงคัดค้านมาแล้วทั้งสิ้น
น่าเสียดายนักการเมืองคนเก่งคนดีบางคนในพรรคประชาธิปัตย์ ไม่สามารถแสดงศักยภาพเพื่อเป็นเลือดใหม่ที่มีคุณภาพในพรรคการเมืองได้ เพราะตกอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลของนักการเมืองเก่าเลวๆ และกลุ่มผลประโยชน์ภายในพรรค
การนำมวลชนเคลื่อนไหวการเมืองนอกสภาของพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ ประชาธิปัตย์นำประชาชนต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม หากประชาธิปัตย์ทำได้เพียงแค่พาประชาชนเดินไปส่ง ส.ส.ที่สภา หรือที่วัดพระแก้ว แล้วกลับ ปล่อยให้ร่าง พ.ร.บ.ผ่านวุฒิสภา หรือส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญ หรือจะยกระดับการชุมนุมมากกว่านี้หรือไม่ ก็ต้องคอยดูกันต่อไปละครับ
อย่าให้ประชาชนต้องสิ้นหวังกับพรรคนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก นักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่นักการเมืองแล้ว แต่เป็นนักดับเพลิง ดับเปลวเพลิงแห่งความหวังของประชาชน ว่าพรรคนี้อาจจะนำแสงสว่างกลับมาสู่ประเทศไทยอันมืดมิด แต่สุดท้ายเขาก็ยังปล่อยให้ประเทศชาติยังมืดมิดต่อไป…น่าเสียดาย
จากการชุมนุมที่สามเสนนี้ ทำให้ผมนึกถึงเสื้อ “แล้ว-ยัง-งัย” ของคุณลุงสนธิ ซึ่งขายดีมากๆ เพราะคำถามนี้มันดังอยู่ในใจของคนไทยรักชาติจำนวนมาก ถ้าประชาธิปัตย์ไม่ยกระดับการชุมนุมทางการเมืองมากกว่านี้ ยังล้าหลังมวลชน ทำให้มวลชนผิดหวัง ผมอยากทำเสื้ออีกตัวไว้ใส่บ้าง คือเสื้อลาย “กู-ว่า-แล้ว” ออกมาขายจริงๆ คิดว่าคงขายดีไม่แพ้กันแน่นอนละครับ