xs
xsm
sm
md
lg

จะฝันหวานก็อย่าลืมตอนตื่น

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

แม้ว่า พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือ พ.ร.บ. เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท จะเพิ่งผ่านการลงมติของสภาผู้แทนราษฎร อยู่ในชั้นการพิจารณาของวุฒิสภา แต่รัฐบาลก็นำเอา “สินค้าใหม่” ชิ้นนี้ออกไปเร่ขายฝันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะรัฐบาลมี “ตัวขาย” ที่ดี คือคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีคมนาคมที่กำลังมาแรง เป็นเหมือนหน้าตาด้านดีที่อาจจะเหลืออยู่หน้าเดียวของรัฐบาลนี้ แบบไม่มีใครกล้าตอแยให้เสียรังวัด เพราะ “ต้นทุน” ทางความน่าเชื่อถือของคุณชัชชาตินี่สูงจริง นั่นเพราะคนทั้งหลายยอมรับว่าท่านเป็นคนที่ตั้งใจทำงานจริงจัง

โดยในกระบวนการขายฝัน รัฐบาลเปลี่ยนชื่อเรียกพระราชบัญญัติกู้เงินที่ว่า ให้ฟังดูเหมือนจะสร้างความหวัง คือ พระราชบัญญัติสร้างอนาคตประเทศ 2020 รวมทั้งพยายามสร้างภาพสร้างฝันให้ผู้คนว่า เมื่อมีรถไฟความเร็วสูง ชีวิตจะสะดวกสบายขึ้นได้อย่างไร หรือเมื่อกรุงเทพฯ มีรถไฟฟ้าและรถใต้ดินเต็มทุกสาย เหมือนในลอนดอน ปารีส หรือโตเกียว อนาคตนั้นจะดีงามอย่างไร

นี่คือการสร้างฝันเพื่อขายกฎหมายสร้างหนี้ก้อนใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

แต่ความฝันก็คือความฝัน สักวันก็ต้องตื่นขึ้นมา เรากลับมาดูความจริงในตอนตื่นบ้าง

นั่นคือในการกู้เงินกับการสร้าง “โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม” นั้นเป็นคนละเรื่องกัน นั่นคือ การกู้เงินเป็นการให้อำนาจรัฐไปสร้างหนี้ขึ้นมาไว้เป็นจำนวน 2 ล้านล้านบาท โดยอ้างว่าจะนำเงินไปสร้างรถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ แต่อันที่จริงแล้ว มีหลักประกันใดหรือไม่ ว่ารัฐบาลจะนำเงินทั้งหมดที่กู้มาไปใช้เพื่อการดังกล่าวอย่างเต็มที่

และมีวิธีอื่นอีกหรือไม่ ที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมได้ โดยไม่ต้องไปสร้างภาระผูกพันให้ประชาชนต่อไปในอนาคตมากมายถึงขนาดนั้น

เปรียบเหมือนที่เคยยกตัวอย่างไว้แล้วครั้งหนึ่งว่า เหมือนกับลูกของคุณมาบอกว่า จำเป็นจะต้องมีรถยนต์ขับ เพราะที่ทำงานไกล หรือทำงานที่จะต้องใช้รถยนต์ในการติดต่อกับลูกค้าหรือขนของ ความจำเป็นที่จะต้องมีรถนั้นอาจจะจริงก็ได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องเอาบ้านไปจำนองหรือขายเพื่อมาซื้อรถ

เช่นเรื่องการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนพื้นฐาน เราไม่เถียงความจำเป็น แต่สิ่งที่แลกกับความจำเป็นมานั้น มันคุ้มหรือไม่ และจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องทำทุกอย่าง ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ หรือรถไฟฟ้าหลายๆ สาย ครั้งเดียว ตูมเดียว ด้วยเงินก้อนใหญ่ที่กู้มาครั้งเดียว แต่ผ่อนยาวกันไปทั้งชาติ คำว่าชาติ ที่หมายถึงทั้ง “ประเทศ” และ “ช่วงเวลา” นับแต่เกิดจนตาย คือการจ่ายหนี้ก้อนที่ว่านี้ ด้วยเงินของประชาชนทุกคนใน “ชาติ” และแต่ละคนใช้เวลาคนละ “ชาติ” เพื่อปลดหนี้

และความจริงอีกอย่างที่ต้องไม่ลืมในเวลาที่ตื่นขึ้นมา ก็คือ รัฐบาลจะบริหารเงินก้อนนี้ที่จะเป็นหนี้กันทั้งชาติที่ว่า ได้มีประสิทธิภาพพอสมกับความเสี่ยงที่ประชาชนทั้งประเทศต้องแบกรับหรือไม่ จากประสบการณ์ของเงินกู้สามแสนล้าน ที่ตอนนั้นผ่านฉลุยโดยไม่มีใครขัดขวาง แม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญเองก็เห็นว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศออกเป็นพระราชกำหนด ซึ่งเป็นกฎหมายเร่งด่วนได้ แต่เมื่อได้เงินด่วนที่ว่ามานั้น รัฐบาลก็ยังไม่ทำอะไรสักอย่าง จนเวลาผ่านไปเป็นปีๆ แล้วที่ทำ ก็ทำแบบลัดขั้นตอนไม่ถูกต้อง จนกระทั่งถูกศาลปกครองสั่งให้ไปดำเนินกระบวนการใหม่

กระทั่งในที่สุด มวลน้ำเพื่อนเก่าก็กลับเข้ามาทดสอบ “ปูเอาอยู่” จนหลายพื้นที่จมอยู่ใต้น้ำ เขื่อนและพนังหลายจังหวัดกำลังจะแตก ผู้คนจำนวนมากจมอยู่ในน้ำ หรือรอเวลาอพยพหนีน้ำอย่างอกสั่นขวัญแขวน เหมือนภาพฝันร้ายในปลายปี 54 กลับมาหลอกหลอน ส่วนเสื้อแดงลิ่วล้อรัฐบาลก็ออกมาแช่งชักด่าศาล ด่าองค์กรอิสระ ด่าลมด่าฝนที่ทำให้น้ำท่วม ทั้งๆ ถ้ารัฐบาลทำงานจริงจังไม่ข้ามไม่ลัดขั้นตอนเสียตั้งแต่ตอนที่กฎหมายผ่านใหม่ๆ ป่านนี้ระบบป้องกันน้ำท่วมก็คงจะเริ่มทำงานได้บ้างแล้ว

นี่คือภาพจริงของประสิทธิภาพในการใช้เงินของรัฐบาล ที่อาจจะมาเป็นบทเรียนในวันข้างหน้าว่า แม้กฎหมายเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทนี้ผ่านทุกกระบวนการออกมาได้จริง แต่ประชาชนก็อาจจะต้องร่วมจ่ายดอกเบี้ยไปฟรีๆ โดยไม่ได้อะไร ในระหว่างที่ผู้เกี่ยวข้องยังจัดสรรประโยชน์กันไม่ลงตัว

และภาพจริงที่จะต้องพบตอนตื่นอีกครั้ง ที่อาจจะเป็นฝันร้ายของคนที่เชื่อใจคุณชัชชาติ นั่นคือ เราต้องไม่ลืมว่า คุณชัชชาติไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ ไม่ใช่ ส.ส.ไม่มีพรรค ไม่มีกลุ่มกำลังใดๆ ในการต่อรองทั้งสิ้น หากเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทผ่านมาแล้ว แน่นอนว่า ประชาชนจะมีภาระผูกพันกันต่อไปกับเงินก้อนนี้ หลายคนคงยินดีและเชื่อใจ ถ้าคุณชัชชาติจะเป็นคนใช้เงิน หรือบริหารจัดการระบบคมนาคม แต่แน่ใจแค่ไหน ว่าคุณชัชชาติจะยังอยู่ต่อไปจนโครงการนี้เสร็จ แม้ว่าเพื่อไทยอาจจะเป็นรัฐบาลต่อไปหรือไม่ก็ตาม

มีหลักประกันอะไร ว่าถ้า “ขายของ” ได้แล้ว เขาจะไม่ปลด หรือลดบทบาทคุณชัชชาติ แล้วตั้ง “พรรคพวก” หน้าเดิมๆ ของเขาขึ้นมาถือเงิน 2 ล้านล้านบาทที่ว่า

ยังจำคุณปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ที่เคยเป็นเหมือนภาพลักษณ์ด้านดีๆ สวยๆ ของรัฐบาลทักษิณได้หรือไม่ ว่าในที่สุด คุณปุระชัยอยู่ได้นานแค่ไหน? และจากนั้นเป็นอะไรต่อไป

อย่าลืมว่าคุณชัชชาติจะได้ทำโครงการนี้หรือไม่ ขึ้นกับนายใหญ่ แต่ก้อนหนี้เราต้องร่วมกันใช้ เพราะผลของกฎหมายที่ตราออกมาแล้ว

ความจริงประการสุดท้ายสำหรับวันนี้ เป็นเรื่องเล็กๆ ที่หลายคนลืม และไม่มีใครพยายามพูดถึง เพราะมันจะทำให้คน “ตื่นเร็ว”

นั่นคือต่อให้รถไฟความเร็วสูงสามารถสร้างได้จริงจนสำเร็จทุกเส้นทาง แต่ “ค่าโดยสาร” ละ จะยังเป็น “ค่าโดยสารในฝัน” อยู่หรือไม่? ใครที่เคยไปใช้บริการรถไฟความเร็วสูงในต่างประเทศ คงจะทราบว่า ราคาค่าตั๋วของรถไฟพวกนี้ ถูกกว่าค่าตั๋วเครื่องบินของสายการบินปกติอยู่ไม่มากนัก ไม่ได้เหมือนรถไฟ รถทัวร์ ที่อยากจะขึ้นเมื่อไรก็ขึ้นได้

เหมือนตอนที่สร้างรถไฟฟ้า รถใต้ดิน แรกๆ ที่ลงเสาเข็ม ทุกคนก็ตั้งความหวังไว้ว่า ต่อไปการเดินทางในกรุงเทพฯ คงสะดวกมากเหมือนในต่างประเทศ ใช้รถไฟฟ้าได้เหมือนขึ้นรถเมล์ ในสมัยที่ค่ารถเมล์ 3 บาท รถปรับอากาศระยะไกลสุดไม่เกิน 20 บาท แต่แล้วพอรถไฟฟ้าสายแรกสร้างเสร็จจริงๆ ทุกคนก็ผงะเมื่อพบว่า ค่าเดินทางสมัยเมื่อแรกเปิดนั้น เริ่มต้นที่ 15 บาท เฉลี่ย 35 บาท ถ้าไม่ทำตั๋วเดือนไว้ เดินทางไปกลับระยะไกลๆ ก็แปดสิบบาท ส่วนตอนนี้ก็ทะลุร้อยขึ้นไปแล้ว

นี่ก็ความจริงอีกเรื่อง ที่เมื่อรถไฟความเร็วสูงสร้างเสร็จ คนเกินครึ่งประเทศที่ฝันถึงรถไฟนี้อยู่อาจจะไม่มีปัญญาขึ้น และในที่สุดก็ต้องเป็นรถไฟขนผักไปจริงๆ

มันอาจจะดูใจร้ายอยู่สักหน่อย ที่จะต้องปลุกคนที่กำลังฝันอย่างมีความสุขว่า ได้เก็บกระเป๋าออกจากบ้านตอนเช้า ไปขึ้นรถไฟฟ้าที่มาผ่านปากซอย ไปต่อที่สถานีบางซื่อ จากนั้นก็ขึ้นรถไฟความเร็วสูงไปหัวหิน ไปเที่ยวเพลินวาน ถ่ายรูป เดินชายหาด กินไอศกรีม เดินชมตลาดกลางคืน แล้วนั่งรถไฟความเร็วสูงเที่ยวสุดท้ายเดินทางกลับบ้านที่กรุงเทพฯ อีกครั้งได้ภายในวันเดียว ความฝันแสนสุขนี้จะต้องถูกปลุกขึ้นมาด้วยความจริงต่างๆ ที่กล่าวมา

แต่การนอนฝันนานๆ โดยไม่ยอมตื่นขึ้นมาในโลกของความจริงเลย ในที่สุดก็จะสมองตายกลายเป็นมนุษย์ผักที่ได้แต่หายใจกับเสพความฝันอยู่บนเตียง.
กำลังโหลดความคิดเห็น