เป็นเรื่องร้อนกันไปในอาทิตย์ที่แล้ว เกี่ยวกับการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมในเหตุการณ์เมษา – พฤษภา 53 ที่เสนอมาโดยญาติของฝ่ายผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เรียกกันสั้นๆ ให้เข้าใจได้ว่า “ร่างญาติ” ซึ่งมีหัวเรี่ยวหัวแรงคือ คุณพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ ที่สูญเสียบุตรชาย คือ สมาพันธ์ ศรีเทพ หรือ “น้องเฌอ” ไปจากกระสุนปืนที่ซอยรางน้ำ ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 และ นางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสา ที่เสียชีวิตในวัดปทุมวนารามในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553
ต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนนะครับ ว่า ทั้งพ่อน้องเฌอ และแม่พยาบาลเกดนั้นแรกทีเดียวไม่ใช่ “คนเสื้อแดง” และทั้งน้องเฌอและพยาบาลเกดเองก็ไม่ใช่ผู้ชุมนุม แต่เป็นผู้ถูกลูกหลงหรือได้รับผลกระทบจากการชุมนุมจนเสียชีวิต
แต่ส่วนหนึ่งเพราะการร่วมชะตากรรมเดียวกัน จากการสูญเสียคนในครอบครัว ทำให้ทั้งพ่อน้องเฌอและแม่พยาบาลเกด จึงเหมือนกับเป็นแนวร่วมของคนเสื้อแดง แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมก็ยังไม่คิดว่า ทั้งสองคนนี้จะเป็นเสื้อแดงเต็มร้อย
เพราะ “เสื้อแดงที่แท้” นั้น จะต้องมีทักษิณเป็นจุดหมาย มีแม้วเป็นสรณะ และกระทำการทุกอย่าง “เพื่อแม้ว”
แต่ทั้งสองคนนี้ไม่ใช่ครับ เพราะเขาไม่ได้สนใจว่าแม้วจะได้กลับบ้านไหม กลับมาอย่างไร เขาสนใจแต่ว่าใครฆ่าลูกเขา และเขาก็คงจะกลัวโดนเบี้ยวด้วยวิธีเกี๊ยะเซี้ยเพื่อให้แม้วกลับบ้านโดยไม่สนใจคนเจ็บคนตาย ด้วยเหตุนี้ เขาเลยเสนอร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมขึ้นมาประกบ ซึ่งร่างฉบับนี้ก่อ “ปัญหา” ให้แก๊ง “แดงถั่งเช่า” กันมาก เพราะนั่นเท่ากับทำให้ “ตัวเลือก” ของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนี้ในสภาเพิ่มเข้ามาให้ปวดหัวอีก นอกจากร่างของ วรชัย และร่างของเฉลิมแล้ว
และที่มันเจ็บคือ พวกนักการเมืองแดงทั้งหลาย เคยป้อเคยอวยผู้ตาย และญาติผู้ตายในเหตุการณ์ ว่าเป็น “วีรบุรุษ” ผู้สละชีพเพื่อประชาธิปไตย และญาติคนตายก็เป็นญาติวีรชน ในเมื่อพวกเขาเทิดทูนคนกลุ่มนี้ขึ้นมาขนาดนั้น อยู่ดีๆ เมื่อคนกลุ่มญาติผู้ตายนี้เสนอกฎหมายขึ้นมาแข่ง ก็มีแต่จะเป็นผลเสีย ทั้งในเชิงภาพลักษณ์ และเชิงกลยุทธ์
เพราะในทางภาพลักษณ์ เท่ากับว่า ญาติๆ วีรชนที่พวกเขาเคย “เทิดทูน” ก็ไม่ไว้วางใจพวกนักการเมืองแดงอีกแล้ว การเสนอร่างเข้ามาเป็นคู่เทียบ ก็เหมือนการประจานว่า ฝ่ายนักการเมืองแดง “เบี้ยว” ฝ่ายญาติคนตายจนเขาทนไม่ไหว ต้องเสนอกฎหมายของฝ่ายญาติขึ้นมาบ้าง
ส่วนในทางการเมืองนั้นก็เท่ากับทำให้เรื่องมันยากขึ้นไปอีกในกระบวนการพาแม้วกลับบ้าน เนื่องจากมีประเด็นกฎหมายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งฉบับ และเหมือนกับการจี้ให้ตอบคำถามว่า ตกลงฝ่ายทหารจะได้รับการนิรโทษกรรมด้วยหรือเปล่า? แล้วชายชุดดำละ? จะมีการสอบสวนเพื่อหาคนที่ดำเนินการ และอยู่เบื้องหลังความตายของผู้คนมารับโทษตามกฎหมายหรือไม่ หรือแค่เกี๊ยะเซี้ยเลิกแล้วต่อกัน ยัดมันลงไว้ในพรม เอาทักษิณกลับบ้านได้เป็นพอ ส่วนใครเสียลูกเสียผัวก็ “จ่ายเงิน” (ภาษีของประชาชน) ให้แล้วนี่หว่า
เพราะเช่นนี้แหละ ทำให้บรรดานักการเมืองเสื้อแดงทั้งหลายแทบจะวิ่งเข้ามาใส่ฝ่ายญาติผู้ตาย มีทั้งขู่ทั้งปลอบจนครบ เช่น พี่ตู่ จตุพร พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ขอให้ญาติถอนร่างออกไปเสีย เดี๋ยวจะเข้าทางอีกฝ่ายหนึ่งแล้วจะอดนิรโทษกรรมกันนะเออ
ส่วนฝ่ายไม้แข็ง ก็มีพวกหมอเหวง ที่ถึงขนาดมาป้ายสีเลยว่า ร่างของฝ่ายญาตินั้น “ต้องการช่วยอภิสิทธิ์ สุเทพ และทหารทั้งหลายที่มีส่วนร่วมในการฆ่าประชาชนและลงโทษคนเสื้อแดงและแกนนำ” ถึงขนาดตั้งคำถามว่า “ใครเป็นร่างให้ท่าน และด้วยจุดมุ่งหมายอะไรกันแน่ครับ”
เหมือนกับดูถูกกันกลายๆ ว่า ฝ่ายญาติผู้ตายโดนใครเขาหลอกร่างมาให้โดยตัวเองอ่านไม่เข้าใจอย่างนั้น
ไม่รวมถึงฝ่ายนักวิชาการหรือคอลัมนิสต์แดงๆ หรือแม้แต่ “กวีศรีแดง” อีกหลายคนที่ดาหน้าออกมา “อัด” ร่างนิรโทษกรรมฉบับญาติแบบเละเทะ หนักบ้างเบาบ้างตามสมควร ว่าขัดขวางการสกัดตรวนนักโทษบ้าง ยิงซ้ำเพื่อนในคุกบ้าง หรือหาว่าใครสักคนเป็น “แม่ค้าคนกลาง” จะขอ “ซองแดง” จากพ่อเจ้าบ่าวไปโน่นเลย
ซึ่งน่าแปลกใจว่า ทำไมแดงทั้งหลายที่เข้าไปใกล้ชิดกับ “รัฐบาล” นั้น ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร เจอร่างญาติผู้เสียชีวิตเข้าไป เป็นอันเต้นเข้าจังหวะเพลง “ดิ้นกันไหมลุง” โดยพร้อมหน้ากันถึงขนาดนี้
เรียกว่าการเสนอร่างฉบับญาตินี้ฉบับเดียว สามารถแยกตัว “แดงทักษิณ” กับ “แดงไม่แคร์ทักษิณ” ออกจากกันได้เหมือนน้ำกับน้ำมัน แยกชั้นกันชัดเลยทีเดียว
ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์โดยชวนนท์เจ้าเก่า ก็ถือโอกาสนี้เข้ามา “ตอกลิ่ม” เข้าให้ ด้วยการหนุนร่างของฝ่ายญาติ ซึ่งก็เลยยิ่งทำให้ฝ่ายญาติ “โดนหนัก” เข้าอีก ในข้อหาว่า เป็นไงละ เขี่ยบอลเข้าเท้าพวกแมลงสาบแล้ว
สาระสำคัญของร่างฝ่ายญาตินั้น ได้แก่ การนิรโทษกรรมให้ประชาชนในความผิดสถานเบา เช่น ความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ความผิดลหุโทษ หรือการกระทำความผิดต่อทรัพย์สินของทางราชการ ซึ่งการนิรโทษกรรมนี้รวมถึงฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำตามคำสั่งด้วย แต่ร่างของฝ่ายญาตินั้น มีจุดที่แตกต่างจากร่างอื่นๆ อยู่ประการสำคัญคือ ไม่ให้นิรโทษกรรมกับกรณี “เผาบ้านเผาเมือง” คือการทำลายทรัพย์สินของเอกชน ปล้น เผา และที่สำคัญ คือ ไม่ให้นิรโทษกรรมพวกแกนนำทั้งหลายด้วย ตามร่างมาตรา 3 (4) ดังนี้
“ ...การกระทำใดๆ หรือการตระเตรียมการของผู้ใด ทั้งผู้ชุมนุมและผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุม โดยมุ่งต่อการประทุษร้ายผู้อื่นโดยใช้อาวุธ ให้บุคคลนั้นยังคงมีความผิดตามกฎหมาย.... การกระทำใดๆ ของประชาชนทั้งผู้ชุมนุมและผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมอันมุ่งต่อการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน หรือการกระทำผิดต่อทรัพย์ เช่น การวางเพลิงเผาทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ลักทรัพย์ อันเป็นของเอกชนให้บุคคลนั้นยังคงมีความผิดตามกฎหมาย ... บทบัญญัติในวรรคที่หนึ่งและสอง รวมถึงการกระทำใดๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจหรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ในห้วงระยะเวลาดังกล่าวนั้นด้วย”
สงสัยอันหลังนี้นั่นแหละครับ ที่ทำให้บรรดาเสื้อแดงตัวใหญ่เกิดอาการ “ดิ้นกันไหมลุง” ตามที่ว่า เนื่องจากไม่ได้อานิสงส์เกาะชายผ้าแดงรอดคุกไปด้วย ส่วนทักษิณก็ไม่ได้กลับ เพราะตามร่างของญาตินี้ ชัดเจนว่า นิรโทษกรรมเฉพาะกรณีการเดินขบวนประท้วงต่างๆ เริ่มนับตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นไป ดังนั้นคดีทุจริตทั้งหลายของทักษิณที่ศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว ก็ไม่อยู่ในขอบเขตของร่างฉบับญาตินี้
ครับ แม้วก็ไม่ได้กลับ แกนนำก็ยังเสี่ยงคุกเท่าเดิม รอดแต่ตัวเล็กตัวน้อย แถมค้านมากก็กลัวจะเสียภาพที่เคย “อวย” วีรชนไว้อีก นี่แหละครับ ทำให้แดงแม้วพร้อมหน้ากันออกมาดิ้นพร้อมหน้าตั้งแต่ขวัญชัยไปยันชูวัส! ถึงอย่างไรก็ต้องช่วยกันระดมยิงให้ “ร่างญาติ” ฉบับนี้ตกไป
แต่ร่างนิรโทษกรรมฉบับญาติฉบับนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ฝ่ายค้านรัฐบาลควรจะพรวดพราดออกมาสนับสนุน อย่างที่พวกประชาธิปัตย์ทำ เพียงเพื่อฉวยโอกาสชิงความได้เปรียบทางการเมือง เพราะบางมาตราของร่างนี้ ก็เหมือนจะหมกเม็ดปล่อยพวกคดีความมั่นคง ซึ่งรวมถึงพวกหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามประมวลอาญา มาตรา 112 ออกมาด้วย โดยอาศัยช่องว่างเป็นคดีที่กระทำไปเนื่องจากมีเหตุจูงใจเกี่ยวกับสถานการณ์รัฐประหาร
สิ่งที่เราควรจะทำ คือ “รอดู” ว่า ร่างฉบับญาตินี้จะสามารถแยกคนที่อ้างว่าเป็นเสื้อแดงเพราะเห็นแก่ความยุติธรรม ประชาธิปไตยต่างๆ นานาออกจาก “แดงเพื่อแม้ว” ได้แค่ไหน
และบรรดาญาติของผู้เสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดงหรือไม่ก็ดี ก็น่าจะ “ตื่น” ได้แล้ว ว่าเพื่อไทยเพื่อแม้วนั้น จริงใจกับพวกท่านแค่ไหน หรือแค่อาศัยศพลูกหลานท่านเอาไว้ชูข่มขู่อีกฝ่ายหนึ่ง และพร้อมจะโยนทิ้งทุกเมื่อ ถ้าเกี๊ยะเซี้ยะสำเร็จ!
ต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนนะครับ ว่า ทั้งพ่อน้องเฌอ และแม่พยาบาลเกดนั้นแรกทีเดียวไม่ใช่ “คนเสื้อแดง” และทั้งน้องเฌอและพยาบาลเกดเองก็ไม่ใช่ผู้ชุมนุม แต่เป็นผู้ถูกลูกหลงหรือได้รับผลกระทบจากการชุมนุมจนเสียชีวิต
แต่ส่วนหนึ่งเพราะการร่วมชะตากรรมเดียวกัน จากการสูญเสียคนในครอบครัว ทำให้ทั้งพ่อน้องเฌอและแม่พยาบาลเกด จึงเหมือนกับเป็นแนวร่วมของคนเสื้อแดง แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมก็ยังไม่คิดว่า ทั้งสองคนนี้จะเป็นเสื้อแดงเต็มร้อย
เพราะ “เสื้อแดงที่แท้” นั้น จะต้องมีทักษิณเป็นจุดหมาย มีแม้วเป็นสรณะ และกระทำการทุกอย่าง “เพื่อแม้ว”
แต่ทั้งสองคนนี้ไม่ใช่ครับ เพราะเขาไม่ได้สนใจว่าแม้วจะได้กลับบ้านไหม กลับมาอย่างไร เขาสนใจแต่ว่าใครฆ่าลูกเขา และเขาก็คงจะกลัวโดนเบี้ยวด้วยวิธีเกี๊ยะเซี้ยเพื่อให้แม้วกลับบ้านโดยไม่สนใจคนเจ็บคนตาย ด้วยเหตุนี้ เขาเลยเสนอร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมขึ้นมาประกบ ซึ่งร่างฉบับนี้ก่อ “ปัญหา” ให้แก๊ง “แดงถั่งเช่า” กันมาก เพราะนั่นเท่ากับทำให้ “ตัวเลือก” ของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนี้ในสภาเพิ่มเข้ามาให้ปวดหัวอีก นอกจากร่างของ วรชัย และร่างของเฉลิมแล้ว
และที่มันเจ็บคือ พวกนักการเมืองแดงทั้งหลาย เคยป้อเคยอวยผู้ตาย และญาติผู้ตายในเหตุการณ์ ว่าเป็น “วีรบุรุษ” ผู้สละชีพเพื่อประชาธิปไตย และญาติคนตายก็เป็นญาติวีรชน ในเมื่อพวกเขาเทิดทูนคนกลุ่มนี้ขึ้นมาขนาดนั้น อยู่ดีๆ เมื่อคนกลุ่มญาติผู้ตายนี้เสนอกฎหมายขึ้นมาแข่ง ก็มีแต่จะเป็นผลเสีย ทั้งในเชิงภาพลักษณ์ และเชิงกลยุทธ์
เพราะในทางภาพลักษณ์ เท่ากับว่า ญาติๆ วีรชนที่พวกเขาเคย “เทิดทูน” ก็ไม่ไว้วางใจพวกนักการเมืองแดงอีกแล้ว การเสนอร่างเข้ามาเป็นคู่เทียบ ก็เหมือนการประจานว่า ฝ่ายนักการเมืองแดง “เบี้ยว” ฝ่ายญาติคนตายจนเขาทนไม่ไหว ต้องเสนอกฎหมายของฝ่ายญาติขึ้นมาบ้าง
ส่วนในทางการเมืองนั้นก็เท่ากับทำให้เรื่องมันยากขึ้นไปอีกในกระบวนการพาแม้วกลับบ้าน เนื่องจากมีประเด็นกฎหมายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งฉบับ และเหมือนกับการจี้ให้ตอบคำถามว่า ตกลงฝ่ายทหารจะได้รับการนิรโทษกรรมด้วยหรือเปล่า? แล้วชายชุดดำละ? จะมีการสอบสวนเพื่อหาคนที่ดำเนินการ และอยู่เบื้องหลังความตายของผู้คนมารับโทษตามกฎหมายหรือไม่ หรือแค่เกี๊ยะเซี้ยเลิกแล้วต่อกัน ยัดมันลงไว้ในพรม เอาทักษิณกลับบ้านได้เป็นพอ ส่วนใครเสียลูกเสียผัวก็ “จ่ายเงิน” (ภาษีของประชาชน) ให้แล้วนี่หว่า
เพราะเช่นนี้แหละ ทำให้บรรดานักการเมืองเสื้อแดงทั้งหลายแทบจะวิ่งเข้ามาใส่ฝ่ายญาติผู้ตาย มีทั้งขู่ทั้งปลอบจนครบ เช่น พี่ตู่ จตุพร พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ขอให้ญาติถอนร่างออกไปเสีย เดี๋ยวจะเข้าทางอีกฝ่ายหนึ่งแล้วจะอดนิรโทษกรรมกันนะเออ
ส่วนฝ่ายไม้แข็ง ก็มีพวกหมอเหวง ที่ถึงขนาดมาป้ายสีเลยว่า ร่างของฝ่ายญาตินั้น “ต้องการช่วยอภิสิทธิ์ สุเทพ และทหารทั้งหลายที่มีส่วนร่วมในการฆ่าประชาชนและลงโทษคนเสื้อแดงและแกนนำ” ถึงขนาดตั้งคำถามว่า “ใครเป็นร่างให้ท่าน และด้วยจุดมุ่งหมายอะไรกันแน่ครับ”
เหมือนกับดูถูกกันกลายๆ ว่า ฝ่ายญาติผู้ตายโดนใครเขาหลอกร่างมาให้โดยตัวเองอ่านไม่เข้าใจอย่างนั้น
ไม่รวมถึงฝ่ายนักวิชาการหรือคอลัมนิสต์แดงๆ หรือแม้แต่ “กวีศรีแดง” อีกหลายคนที่ดาหน้าออกมา “อัด” ร่างนิรโทษกรรมฉบับญาติแบบเละเทะ หนักบ้างเบาบ้างตามสมควร ว่าขัดขวางการสกัดตรวนนักโทษบ้าง ยิงซ้ำเพื่อนในคุกบ้าง หรือหาว่าใครสักคนเป็น “แม่ค้าคนกลาง” จะขอ “ซองแดง” จากพ่อเจ้าบ่าวไปโน่นเลย
ซึ่งน่าแปลกใจว่า ทำไมแดงทั้งหลายที่เข้าไปใกล้ชิดกับ “รัฐบาล” นั้น ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร เจอร่างญาติผู้เสียชีวิตเข้าไป เป็นอันเต้นเข้าจังหวะเพลง “ดิ้นกันไหมลุง” โดยพร้อมหน้ากันถึงขนาดนี้
เรียกว่าการเสนอร่างฉบับญาตินี้ฉบับเดียว สามารถแยกตัว “แดงทักษิณ” กับ “แดงไม่แคร์ทักษิณ” ออกจากกันได้เหมือนน้ำกับน้ำมัน แยกชั้นกันชัดเลยทีเดียว
ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์โดยชวนนท์เจ้าเก่า ก็ถือโอกาสนี้เข้ามา “ตอกลิ่ม” เข้าให้ ด้วยการหนุนร่างของฝ่ายญาติ ซึ่งก็เลยยิ่งทำให้ฝ่ายญาติ “โดนหนัก” เข้าอีก ในข้อหาว่า เป็นไงละ เขี่ยบอลเข้าเท้าพวกแมลงสาบแล้ว
สาระสำคัญของร่างฝ่ายญาตินั้น ได้แก่ การนิรโทษกรรมให้ประชาชนในความผิดสถานเบา เช่น ความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ความผิดลหุโทษ หรือการกระทำความผิดต่อทรัพย์สินของทางราชการ ซึ่งการนิรโทษกรรมนี้รวมถึงฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำตามคำสั่งด้วย แต่ร่างของฝ่ายญาตินั้น มีจุดที่แตกต่างจากร่างอื่นๆ อยู่ประการสำคัญคือ ไม่ให้นิรโทษกรรมกับกรณี “เผาบ้านเผาเมือง” คือการทำลายทรัพย์สินของเอกชน ปล้น เผา และที่สำคัญ คือ ไม่ให้นิรโทษกรรมพวกแกนนำทั้งหลายด้วย ตามร่างมาตรา 3 (4) ดังนี้
“ ...การกระทำใดๆ หรือการตระเตรียมการของผู้ใด ทั้งผู้ชุมนุมและผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุม โดยมุ่งต่อการประทุษร้ายผู้อื่นโดยใช้อาวุธ ให้บุคคลนั้นยังคงมีความผิดตามกฎหมาย.... การกระทำใดๆ ของประชาชนทั้งผู้ชุมนุมและผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมอันมุ่งต่อการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน หรือการกระทำผิดต่อทรัพย์ เช่น การวางเพลิงเผาทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ลักทรัพย์ อันเป็นของเอกชนให้บุคคลนั้นยังคงมีความผิดตามกฎหมาย ... บทบัญญัติในวรรคที่หนึ่งและสอง รวมถึงการกระทำใดๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจหรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ในห้วงระยะเวลาดังกล่าวนั้นด้วย”
สงสัยอันหลังนี้นั่นแหละครับ ที่ทำให้บรรดาเสื้อแดงตัวใหญ่เกิดอาการ “ดิ้นกันไหมลุง” ตามที่ว่า เนื่องจากไม่ได้อานิสงส์เกาะชายผ้าแดงรอดคุกไปด้วย ส่วนทักษิณก็ไม่ได้กลับ เพราะตามร่างของญาตินี้ ชัดเจนว่า นิรโทษกรรมเฉพาะกรณีการเดินขบวนประท้วงต่างๆ เริ่มนับตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นไป ดังนั้นคดีทุจริตทั้งหลายของทักษิณที่ศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว ก็ไม่อยู่ในขอบเขตของร่างฉบับญาตินี้
ครับ แม้วก็ไม่ได้กลับ แกนนำก็ยังเสี่ยงคุกเท่าเดิม รอดแต่ตัวเล็กตัวน้อย แถมค้านมากก็กลัวจะเสียภาพที่เคย “อวย” วีรชนไว้อีก นี่แหละครับ ทำให้แดงแม้วพร้อมหน้ากันออกมาดิ้นพร้อมหน้าตั้งแต่ขวัญชัยไปยันชูวัส! ถึงอย่างไรก็ต้องช่วยกันระดมยิงให้ “ร่างญาติ” ฉบับนี้ตกไป
แต่ร่างนิรโทษกรรมฉบับญาติฉบับนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ฝ่ายค้านรัฐบาลควรจะพรวดพราดออกมาสนับสนุน อย่างที่พวกประชาธิปัตย์ทำ เพียงเพื่อฉวยโอกาสชิงความได้เปรียบทางการเมือง เพราะบางมาตราของร่างนี้ ก็เหมือนจะหมกเม็ดปล่อยพวกคดีความมั่นคง ซึ่งรวมถึงพวกหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามประมวลอาญา มาตรา 112 ออกมาด้วย โดยอาศัยช่องว่างเป็นคดีที่กระทำไปเนื่องจากมีเหตุจูงใจเกี่ยวกับสถานการณ์รัฐประหาร
สิ่งที่เราควรจะทำ คือ “รอดู” ว่า ร่างฉบับญาตินี้จะสามารถแยกคนที่อ้างว่าเป็นเสื้อแดงเพราะเห็นแก่ความยุติธรรม ประชาธิปไตยต่างๆ นานาออกจาก “แดงเพื่อแม้ว” ได้แค่ไหน
และบรรดาญาติของผู้เสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดงหรือไม่ก็ดี ก็น่าจะ “ตื่น” ได้แล้ว ว่าเพื่อไทยเพื่อแม้วนั้น จริงใจกับพวกท่านแค่ไหน หรือแค่อาศัยศพลูกหลานท่านเอาไว้ชูข่มขู่อีกฝ่ายหนึ่ง และพร้อมจะโยนทิ้งทุกเมื่อ ถ้าเกี๊ยะเซี้ยะสำเร็จ!