ข่าวใหญ่ที่จะไม่พูดถึงเสียไม่ได้เลยที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว คือการเสียชีวิตจากการถูกอุ้มฆ่า ของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร
แม้ในทางสืบสวนของตำรวจจะสรุปได้ว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์โดยคนใกล้ชิดคือคนขับรถ แต่กระนั้น ก็คงจะห้ามความสงสัยของสังคมไปไม่ได้หรอกครับ
ในเมื่อนายเอกยุทธนั้นใช้ชีวิตโลดโผนมาแล้วขนาดไหน ไม่ว่าจะตกเป็นผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงประชาชนในคดีแชร์ชาร์เตอร์ ตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าปี
และร่วมมือกับทหารเตรียมก่อการรัฐประหาร 9 กันยายน 2528 ที่ทำไม่สำเร็จกลายเป็นกบฏ ในขณะที่อายุไม่ถึงสามสิบ หนีไปเปิดร้านอาหารอยู่ที่อังกฤษ ก่อนจะย้อนกลับมาแผ่นดินแม่อีกครั้งเมื่อคดีหมดอายุความ มาเพื่อขับไล่รัฐบาลทักษิณ ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 กันยา รวมทั้งเป็นผู้เปิดโปงกรณีอื้อฉาวหลายเรื่องของรัฐบาลนี้ ผ่านทางเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ของเขา
ครับ คนไม่ธรรมดาขนาดนี้ ใช้ชีวิตโลดโผนเกินครึ่งโลก มาเสียท่าจบชีวิตด้วยฝีมือของเด็กหนุ่มคนขับรถ อายุยี่สิบสามปี น่าแปลกว่า ฆาตกรที่จบชีวิตของเขา ก็มีอายุเท่ากับเขา ในช่วงที่รุ่งเรือง “แจ้งเกิด” จากแชร์ชาร์เตอร์นั่นเอง
แต่ความสมเหตุสมผลของเรื่องนี้มันมีหรือไม่ ในเมื่อกลุ่มฆาตกรเองก็ให้การว่า “บอสเป็นคนระวังตัวมาก” ทั้งจากประสบการณ์ที่ผ่านมา และจากที่รู้ตัวอยู่ว่า ทำตัวล่อแหลมขัดใจผู้มีอำนาจมากขนาดไหน ในช่วงเวลาหลังจากกลับไทยในปี 2547 เพื่อมาขับไล่ระบอบทักษิณ
เหตุประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความแคลงใจอยู่มากว่าการตายของนายเอกยุทธจะมีอะไรหรือเป็นอะไรไปมากกว่านั้น นั่นก็เพราะการ “อุ้ม” ใครสักคนที่ “ขวางหูขวางตา” อำนาจรัฐที่ครองประเทศอยู่ในขณะนั้นให้หายไปอย่างลึกลับนั้นเป็นเสมือน “ลายเซ็น” ของรัฐไทยและคนมีสีมานับตั้งแต่สมัยไหนถึงไหน เอาว่าตั้งแต่คดี “เคลื่อนย้าย” 4 อดีตรัฐมนตรีไปสู่จุดจบจากคมกระสุนปืนกลกลางดึกในสมัยจอมพลป. พิบูลสงคราม และ อ.ตร. พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ซึ่งเป็นยุครัฐตำรวจ ซึ่งในตอนนั้น มีคำฮิตติดปากที่ชาวบ้านเอาไว้เรียกถึงการพาใครไป “เก็บ” ว่า “พาไปบางเขน”
หลังจากนั้นที่เป็นคดีครึกโครมก็ได้แก่การหายตัวของอดีตผู้นำแรงงาน นายทนง โพธิ์อ่าน ที่หายตัวไปอย่างลึกลับในช่วงหลังการรัฐประหารของคณะ รสช.ซึ่งไม่มีใครได้พบตัวเขาและร่องรอยอื่นๆ อีก
และในยุคทักษิณสมัยแรก ก็มีการหายตัวของทนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความมุสลิมคนสำคัญของวงการสิทธิมนุษยชนและเป็นทนายความให้ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย คดีละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ คดีคนพม่าลี้ภัยการเมือง คดีวางระเบิดสถานทูตอิสราเอล ซึ่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ออกมาให้ข่าวอย่างไม่ยี่หระ หรือทำเรื่องที่ควรเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบนี้ให้เป็นเรื่องเหลวไหลว่า ทนายสมชายทะเลาะกับเมียจึงหายตัวไปเอง คำพูดนี้เหมือนราดน้ำมันลงไปในกองไฟของบรรดาคนในครอบครัวและผู้คนที่เป็นมิตรสหายของทนายสมชายเป็นอันมาก ในคดีทนายสมชายนี้ มีการดำเนินคดีกับตำรวจจำนวนหนึ่ง แต่ก็เกิดเรื่องน่าแปลกว่า จำเลยคนสำคัญของคดีก็หายสาบสูญไปอีกโดยอ้างว่าจมน้ำตายหายไปตอนน้ำท่วมใหญ่ที่พิษณุโลก แต่ก็ไม่มีใครพบศพ! ส่วนตำรวจคนอื่นในทีมก็ยังรับราชการกันอยู่ แถมยังมีเรื่องน่าสะพรึงกลัวว่า ตำรวจนายหนึ่งในทีม ยังเป็นคนหนึ่งในทีมสืบสวนในการหายตัวของนายเอกยุทธไปเสียอีก! ยิ่งทำให้ประชาชนสงสัยว่า ทำไมตัวละครในวงการ “อุ้มหาย” มันถึงพันกันไปพันกันมาเช่นนี้ จึงยังคงต้องติดตามข่าวกันไปว่า คดีเอกยุทธจะปิดลงง่ายๆ เช่นนี้หรือไม่
อันที่จริง คดีอาจจะไม่มีอะไรสลับซับซ้อนจริงๆ ก็ได้ อาจจะเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ธรรมดาๆ แบบ “ตายน้ำตื้น” นั่นแหละ แต่นั่นเพราะการใช้มาตรการ “อุ้ม” คนที่มีบทบาท “แหลม” ออกมาขัดหูขัดตาผู้ครองอำนาจรัฐนี้ เป็นเหมือน “จารีตประเพณีอันชั่วร้าย” ของวงการคนมีสีและอำนาจรัฐมานมนาน เมื่อมีกรณีต้องสงสัย เพราะคนที่หายและตายไป ก็เป็นหนามตำใจของฝ่ายผู้มีอำนาจ ประกอบกับอยู่ดีๆ มีความสัมพันธ์กันแบบน่าขนลุกระหว่างคดีนี้กับคดีทนายสมชายเสียอีก
การอุ้มฆ่าอุ้มหายมักจะเป็น “สัญญาณเตือน” ของรัฐตำรวจ หรือรัฐเผด็จการที่มีต่อประชาชนผู้ต่อต้านมาเสมอ จากบทเรียนของประวัติศาสตร์ประเทศไทย ส่วนอาวุธชิ้นต่อมา คือการให้ประชาชนกันเองจัดการประชาชนผู้ต่อต้านในรูปแบบของม็อบชนม็อบ
ลองนึกภาพตามว่า ลักษณะของการบุกเข้าถล่มม็อบหน้ากากขาวของกลุ่มคนเสื้อแดงกลุ่มรักษ์เชียงใหม่ และการที่จัดกลุ่มเสื้อแดงไปตามประกบม็อบหน้ากากขาวทุกฝีก้าว เช่นที่เซ็นทรัลเวิลด์ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หรือที่เสื้อแดงไปตั้งด่านรอดักกลุ่มหน้ากากขาวที่เชียงราย
เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่แกนนำเสื้อแดงคนสำคัญอย่าง บก.ลายจุดเอง ยังถึงกับแสดงออกว่า “รับไม่ได้” ผ่าน Facebook หากฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายเสื้อแดงระดับแกนนำเอง กลับไม่ได้มีท่าทีเดือดร้อนห้ามปรามหรือพยายามแก้ไขป้องกันใดๆ ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างถึงที่สุด หรือคิดง่ายๆ ว่า ถ้าในรัฐใดประเทศใด ปล่อยให้มีการรวมกลุ่มกันกระทืบคนเห็นต่างหรือฝ่ายตรงข้ามอย่างโจ๋งครึ่มขนาดนี้ แถมยังนัดกันมาถล่มแบบต่อเนื่องอีก รัฐนั้นคงใกล้เป็น Fail State เต็มประดาอยู่แล้ว
อีกทั้งมันช่างคล้ายกับเหตุการณ์ในปี 2519 ช่วงก่อน 6 ตุลา 2519 ที่เริ่มมีการก่อกวนการชุมนุมของนักศึกษา โดยกลุ่มช่างกลกระทิงแดงจริงๆ ซึ่งจากนั้นไม่นาน ก็มีรายการล้อมฆ่าในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519
การใช้ “คนชนคน” นั้น เป็นวิธีการที่ฝ่ายอำนาจรัฐจะหลบออกมาจากความขัดแย้งได้อย่างเนียนๆ โดยอ้างว่า ประชาชนจัดการกันเอง เล่นงานกันเอง กระทบกระทั่งกันเอง ทางฝ่ายรัฐไม่รู้เห็น ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็น่าจับตาว่าบรรยากาศอาณาจักรแห่งความกลัวและความรุนแรงนี้ จะเดินไปไกลได้ถึงจุดไหน!
แม้ในทางสืบสวนของตำรวจจะสรุปได้ว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์โดยคนใกล้ชิดคือคนขับรถ แต่กระนั้น ก็คงจะห้ามความสงสัยของสังคมไปไม่ได้หรอกครับ
ในเมื่อนายเอกยุทธนั้นใช้ชีวิตโลดโผนมาแล้วขนาดไหน ไม่ว่าจะตกเป็นผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงประชาชนในคดีแชร์ชาร์เตอร์ ตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าปี
และร่วมมือกับทหารเตรียมก่อการรัฐประหาร 9 กันยายน 2528 ที่ทำไม่สำเร็จกลายเป็นกบฏ ในขณะที่อายุไม่ถึงสามสิบ หนีไปเปิดร้านอาหารอยู่ที่อังกฤษ ก่อนจะย้อนกลับมาแผ่นดินแม่อีกครั้งเมื่อคดีหมดอายุความ มาเพื่อขับไล่รัฐบาลทักษิณ ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 กันยา รวมทั้งเป็นผู้เปิดโปงกรณีอื้อฉาวหลายเรื่องของรัฐบาลนี้ ผ่านทางเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ของเขา
ครับ คนไม่ธรรมดาขนาดนี้ ใช้ชีวิตโลดโผนเกินครึ่งโลก มาเสียท่าจบชีวิตด้วยฝีมือของเด็กหนุ่มคนขับรถ อายุยี่สิบสามปี น่าแปลกว่า ฆาตกรที่จบชีวิตของเขา ก็มีอายุเท่ากับเขา ในช่วงที่รุ่งเรือง “แจ้งเกิด” จากแชร์ชาร์เตอร์นั่นเอง
แต่ความสมเหตุสมผลของเรื่องนี้มันมีหรือไม่ ในเมื่อกลุ่มฆาตกรเองก็ให้การว่า “บอสเป็นคนระวังตัวมาก” ทั้งจากประสบการณ์ที่ผ่านมา และจากที่รู้ตัวอยู่ว่า ทำตัวล่อแหลมขัดใจผู้มีอำนาจมากขนาดไหน ในช่วงเวลาหลังจากกลับไทยในปี 2547 เพื่อมาขับไล่ระบอบทักษิณ
เหตุประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความแคลงใจอยู่มากว่าการตายของนายเอกยุทธจะมีอะไรหรือเป็นอะไรไปมากกว่านั้น นั่นก็เพราะการ “อุ้ม” ใครสักคนที่ “ขวางหูขวางตา” อำนาจรัฐที่ครองประเทศอยู่ในขณะนั้นให้หายไปอย่างลึกลับนั้นเป็นเสมือน “ลายเซ็น” ของรัฐไทยและคนมีสีมานับตั้งแต่สมัยไหนถึงไหน เอาว่าตั้งแต่คดี “เคลื่อนย้าย” 4 อดีตรัฐมนตรีไปสู่จุดจบจากคมกระสุนปืนกลกลางดึกในสมัยจอมพลป. พิบูลสงคราม และ อ.ตร. พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ซึ่งเป็นยุครัฐตำรวจ ซึ่งในตอนนั้น มีคำฮิตติดปากที่ชาวบ้านเอาไว้เรียกถึงการพาใครไป “เก็บ” ว่า “พาไปบางเขน”
หลังจากนั้นที่เป็นคดีครึกโครมก็ได้แก่การหายตัวของอดีตผู้นำแรงงาน นายทนง โพธิ์อ่าน ที่หายตัวไปอย่างลึกลับในช่วงหลังการรัฐประหารของคณะ รสช.ซึ่งไม่มีใครได้พบตัวเขาและร่องรอยอื่นๆ อีก
และในยุคทักษิณสมัยแรก ก็มีการหายตัวของทนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความมุสลิมคนสำคัญของวงการสิทธิมนุษยชนและเป็นทนายความให้ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย คดีละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ คดีคนพม่าลี้ภัยการเมือง คดีวางระเบิดสถานทูตอิสราเอล ซึ่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ออกมาให้ข่าวอย่างไม่ยี่หระ หรือทำเรื่องที่ควรเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบนี้ให้เป็นเรื่องเหลวไหลว่า ทนายสมชายทะเลาะกับเมียจึงหายตัวไปเอง คำพูดนี้เหมือนราดน้ำมันลงไปในกองไฟของบรรดาคนในครอบครัวและผู้คนที่เป็นมิตรสหายของทนายสมชายเป็นอันมาก ในคดีทนายสมชายนี้ มีการดำเนินคดีกับตำรวจจำนวนหนึ่ง แต่ก็เกิดเรื่องน่าแปลกว่า จำเลยคนสำคัญของคดีก็หายสาบสูญไปอีกโดยอ้างว่าจมน้ำตายหายไปตอนน้ำท่วมใหญ่ที่พิษณุโลก แต่ก็ไม่มีใครพบศพ! ส่วนตำรวจคนอื่นในทีมก็ยังรับราชการกันอยู่ แถมยังมีเรื่องน่าสะพรึงกลัวว่า ตำรวจนายหนึ่งในทีม ยังเป็นคนหนึ่งในทีมสืบสวนในการหายตัวของนายเอกยุทธไปเสียอีก! ยิ่งทำให้ประชาชนสงสัยว่า ทำไมตัวละครในวงการ “อุ้มหาย” มันถึงพันกันไปพันกันมาเช่นนี้ จึงยังคงต้องติดตามข่าวกันไปว่า คดีเอกยุทธจะปิดลงง่ายๆ เช่นนี้หรือไม่
อันที่จริง คดีอาจจะไม่มีอะไรสลับซับซ้อนจริงๆ ก็ได้ อาจจะเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ธรรมดาๆ แบบ “ตายน้ำตื้น” นั่นแหละ แต่นั่นเพราะการใช้มาตรการ “อุ้ม” คนที่มีบทบาท “แหลม” ออกมาขัดหูขัดตาผู้ครองอำนาจรัฐนี้ เป็นเหมือน “จารีตประเพณีอันชั่วร้าย” ของวงการคนมีสีและอำนาจรัฐมานมนาน เมื่อมีกรณีต้องสงสัย เพราะคนที่หายและตายไป ก็เป็นหนามตำใจของฝ่ายผู้มีอำนาจ ประกอบกับอยู่ดีๆ มีความสัมพันธ์กันแบบน่าขนลุกระหว่างคดีนี้กับคดีทนายสมชายเสียอีก
การอุ้มฆ่าอุ้มหายมักจะเป็น “สัญญาณเตือน” ของรัฐตำรวจ หรือรัฐเผด็จการที่มีต่อประชาชนผู้ต่อต้านมาเสมอ จากบทเรียนของประวัติศาสตร์ประเทศไทย ส่วนอาวุธชิ้นต่อมา คือการให้ประชาชนกันเองจัดการประชาชนผู้ต่อต้านในรูปแบบของม็อบชนม็อบ
ลองนึกภาพตามว่า ลักษณะของการบุกเข้าถล่มม็อบหน้ากากขาวของกลุ่มคนเสื้อแดงกลุ่มรักษ์เชียงใหม่ และการที่จัดกลุ่มเสื้อแดงไปตามประกบม็อบหน้ากากขาวทุกฝีก้าว เช่นที่เซ็นทรัลเวิลด์ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หรือที่เสื้อแดงไปตั้งด่านรอดักกลุ่มหน้ากากขาวที่เชียงราย
เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่แกนนำเสื้อแดงคนสำคัญอย่าง บก.ลายจุดเอง ยังถึงกับแสดงออกว่า “รับไม่ได้” ผ่าน Facebook หากฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายเสื้อแดงระดับแกนนำเอง กลับไม่ได้มีท่าทีเดือดร้อนห้ามปรามหรือพยายามแก้ไขป้องกันใดๆ ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างถึงที่สุด หรือคิดง่ายๆ ว่า ถ้าในรัฐใดประเทศใด ปล่อยให้มีการรวมกลุ่มกันกระทืบคนเห็นต่างหรือฝ่ายตรงข้ามอย่างโจ๋งครึ่มขนาดนี้ แถมยังนัดกันมาถล่มแบบต่อเนื่องอีก รัฐนั้นคงใกล้เป็น Fail State เต็มประดาอยู่แล้ว
อีกทั้งมันช่างคล้ายกับเหตุการณ์ในปี 2519 ช่วงก่อน 6 ตุลา 2519 ที่เริ่มมีการก่อกวนการชุมนุมของนักศึกษา โดยกลุ่มช่างกลกระทิงแดงจริงๆ ซึ่งจากนั้นไม่นาน ก็มีรายการล้อมฆ่าในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519
การใช้ “คนชนคน” นั้น เป็นวิธีการที่ฝ่ายอำนาจรัฐจะหลบออกมาจากความขัดแย้งได้อย่างเนียนๆ โดยอ้างว่า ประชาชนจัดการกันเอง เล่นงานกันเอง กระทบกระทั่งกันเอง ทางฝ่ายรัฐไม่รู้เห็น ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็น่าจับตาว่าบรรยากาศอาณาจักรแห่งความกลัวและความรุนแรงนี้ จะเดินไปไกลได้ถึงจุดไหน!