วันหยุดวิสาขบูชาที่ผ่านมา ผมเดินทางไปพักผ่อนที่ จ.เชียงใหม่ คืนนั้นระหว่างที่ผมเข้าเฟซบุ๊กจากโทรศัพท์มือถือก่อนเข้านอน ก็ทราบว่าคุณเอกวิทย์ เศรษฐเสถียร หรือต่อไปนี้ผมขอเรียกว่า “พี่เอก” ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดที่รู้จักกันผ่านทวิตเตอร์ได้เสียชีวิตลงแล้ว เมื่อเวลา 07.32 น. ของวันที่ 24 พฤษภาคม 2556
คุณผู้อ่านอาจสงสัยว่า พี่เอกคนนี้เป็นใคร มาจากไหน ผมอธิบายให้ก็ได้ว่า เขาเป็นคนหนึ่งที่เคยนำของสะสมอเมริกันฟุตบอลมาประมูลโดยตั้งกระทู้ในเว็บไซต์พันทิป ห้องศุภชลาศัย ใช้ชื่อล็อกอิน Hed Question ซึ่งเงินที่ได้จากการประมูลจะมอบให้คุณแม่เป็นค่าใช้จ่ายรักษาโรคมะเร็ง โดยเฉพาะค่ายาต่อเดือนที่คุณแม่ต้องจ่ายสูงถึง 6-8 หมื่นบาท
หนุ่มวัย 32 ปีคนนี้ จบวิศวะจากลาดกระบัง ทำงานด้านโทรคมนาคมตั้งแต่บริษัทสามารถ กระทั่งเรียนต่อและจบปริญญาโทวิศวกรรมโทรคมนาคมจากสหรัฐอเมริกา ก่อนทำงานที่บริษัท ฟอร์ธ คอร์เปอเรชั่น เรียกได้ว่าหน้าที่การงานกำลังก้าวหน้า แต่วันหนึ่งเมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอดด้านขวาระยะสามบี ชีวิตของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป
ผมรู้จักพี่เอกโดยบังเอิญผ่านทางทวิตเตอร์ ด้วยความที่เขามีนิสัยขี้เล่น ชอบพูดคุย วันหนึ่งเคยเล่นเกมส์ทายชื่อเพลงโดยพี่เอกจะเอาเนื้อเพลงบางท่อนมาให้ทาย ตอบถูกบ้างไม่ถูกบ้าง ถูกแย่งกันตอบบ้างแต่ก็สนุกดี กระทั่งผมได้ติดตามเขาแล้วทักทายเรื่อยมา เคยคิดจะไปเยี่ยม ไปกินข้าวสักครั้งแต่บ้านเขาอยู่ไกลถึงสี่แยกเกษตร จึงไม่มีโอกาสสักที
ด้วยเวลาทำงานของผมที่ไม่เหมือนชาวบ้าน ไม่สะดวกที่จะไปงานศพด้วยตัวเอง จึงไหว้วานให้ พี่กอล์ฟ หรือ ภก.อภิชาติ จันทนิสร์ พี่ที่รู้จักกันในทวิตเตอร์ซึ่งจะไปงานศพพอดี ฝากเงินให้ไปช่วยงานพร้อมซื้อหนังสือ “มะเร็งแง่บวก” ไปด้วย ซึ่งวัน-สองวันต่อมาผมก็แวะไปเอาหนังสือจากมือพี่กอล์ฟก่อนที่จะเข้างาน
นับว่าเป็นบุญตาที่ได้เห็นหนังสือเล่มนี้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง เพราะช่วงนั้นพี่เอกต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลราชวิถี ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา เนื่องจากค่ามะเร็งที่เพิ่มมากขึ้น กระทั่งช่วยตัวเองไม่ได้ มือแขนชา ลุกนั่งและยืนไม่ได้ ต้องนอนอยู่บนเตียงตลอด กระทั่งหนังสือจัดพิมพ์แล้วเสร็จก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเพียงแค่ 1 สัปดาห์เท่านั้น
หลังจากที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจาก ทั้งเรื่องหลักคิดในการใช้ชีวิตที่ไม่ปล่อยให้ตัวเองคิดมาก จมอยู่กับความเครียด ท้อแท้ สิ้นหวัง เทียบกับคนธรรมดาที่รู้สึกว่าร่างกายยังปกติดีเช่นผมแล้วกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย แม้โดยอารมณ์คนเราจะหม่นหมองไปบ้างแต่ก็ไม่ได้เจ็บปวดเท่ากับผู้ป่วยโรคมะเร็งจริงๆ แต่อย่างใดเลย
อีกด้านหนึ่งผมกลับมีความรู้สึกว่า โรคมะเร็งถือเป็นเพชฆาตเงียบที่คุกคามชีวิตคนเรา แม้จะรักษาให้หายขาดได้ แต่เมื่อคนส่วนใหญ่ละเลยที่จะดูแลสุขภาพ ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความเสี่ยง คำว่า “ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการใช้ชีวิตประจำวันอย่างประมาท อีกส่วนหนึ่งก็เป็นความบังเอิญจากผลกระทบที่เราคาดไม่ถึง
โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนไทยติดต่อกันหลายสิบปี เฉลี่ยชั่วโมงละเกือบ 7 ราย สถิติจำนวนและอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคสำคัญ ปี 2537 – 2554 จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เทียบกันแล้วพบว่าผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง ยังมีมากกว่าโรคเอดส์ที่เรารณรงค์อย่างต่อเนื่องด้วยซ้ำ
มะเร็งที่ผู้ชายป่วยมากที่สุดได้แก่มะเร็งตับ ปอด ลำไส้และทวารหนัก ต่อมลูกหมากและมะเร็งเม็ดเลือดขาว ส่วนในผู้หญิงได้แก่ มะเร็งเต้านม ตับ ปากมดลูก ปอดลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น จากการใช้ชีวิตแบบคนเมืองนิยมกินแต่เนื้อสัตว์ กินผักผลไม้น้อย ออกกำลังกายน้อย
ที่น่ากลัวก็คือ พฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ก็มาจากการใช้ชีวิตอย่างที่เราชื่นชอบ เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ดื่มน้ำอัดลมประเภทน้ำดำ ซึ่งเซลล์มะเร็งดูดซึมน้ำตาลบางประเภทไปใช้ได้ทันที กินอาหารปิ้งย่างเป็นประจำ ซึ่งมีร้านบุฟเฟ่ต์เกิดขึ้นจำนวนมาก มนุษย์เงินเดือนชอบไปสังสรรค์ การปิ้งย่างที่ไม่ถูกต้อง สภาพไหม้เกรียมจะมีสารก่อมะเร็ง
แม้แต่กิจกรรมทางเพศ เมื่อไม่นานมานี้ ไมเคิล ดักลาส ดารานักแสดงรุ่นใหญ่ฮอลลีวูด เจ้าของรางวัลออสการ์ ป่วยเป็นมะเร็งลำคอ เพราะมีพฤติกรรมชอบทำรักด้วยปาก หรือออรัลเซ็กซ์กับฝ่ายหญิงที่มีเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) บริเวณปากมดลูก ในขณะที่ช่องปากของฝ่ายชายไม่สะอาด มีแผล และพฤติกรรมการเปลี่ยนคู่นอนหรือมีกิ๊กบ่อยครั้ง
อาจเรียกได้ว่า ไม่ว่าจะไปทางไหน หรือทำอะไร ความเสี่ยงต่อการก่อมะเร็งอยู่รอบตัวเราจริงๆ...
หนังสือ “มะเร็งแง่บวก” หรือชื่อภาษาอังกฤษ HAPPY WITH CANCER เป็นการรวบรวมงานเขียนของเขาในบล็อกระหว่างพักรักษาตัว ซึ่งเขียนได้ไม่กี่เรื่องก็ล้มป่วยหนัก เขียนต่อไปไม่ได้ แต่ก็ยังรวมทั้งบทสัมภาษณ์ในเว็บไซต์ข่าว และรายการโทรทัศน์ ซึ่งคุณแม่และน้องชายอย่าง “พี่เอ้” เป็นคนรวบรวมจากคอมพิวเตอร์
พี่เอกเล่าให้ฟังถึงช่วงที่ก่อนจะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง เขายอมรับว่าใช้ชีวิตค่อนข้างประมาท นอกจากกิน เล่น เที่ยวแล้ว ในช่วงปี 2550-2553 เขาไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปีเลยสักครั้ง ด้วยความที่ร่างกายทุกส่วนยังแข็งแรงดี ไม่มีปัญหาอะไร ประกอบกับที่บริษัทไม่มีสวัสดิการให้ ก็เลยประมาทไม่ยอมไปตรวจเองสักที
พอเข้าสู่ปี 2553 เริ่มมีอาการปวดไหล่ ปวดหลัง แถวๆ สะบัก กับชายโครงด้านขวา ตอนแรกคิดว่าเป็นแค่ออฟฟิศซินโดรมเพราะนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์มากเกินไป ตอนหลังเริ่มเหนื่อยง่าย หายใจไม่เต็มที่ เวลาเล่นฟุตบอลกับเพื่อนก็รู้สึกเหนื่อยตั้งแต่วอร์มอัพ วิ่งได้แค่ 3-4 ก้าวแล้วก็ต้องหยุดเปลี่ยนเป็นเดิน วิ่งเลี้ยงบอลต่อไม่ไหว
เขาตัดสินใจไปหาหมอผู้เชี่ยวชาญด้านระบบหายใจที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เมื่อเอ็กซเรย์ปอดแล้วพบว่าเขามีน้ำท่วมปอดซีกขวาจำนวนมาก จากนั้นหมอก็ให้เข้าเป็นผู้ป่วยในเพื่อทำการเจาะปอด ก่อนนำน้ำในปอดไปตรวจหาเชื้อวัณโรครวม ทั้งตรวจหาเนื้องอกหรือมะเร็งด้วย เมื่อน้ำในปอดจางลงก็พบชื้นเนื้อในปอด จึงนำชิ้นเนื้อส่งห้องแล็บ
ผลการตรวจชิ้นเนื้อที่อยู่ในปอด พบว่าพี่เอกเป็นเนื้องอก หรือมะเร็งที่ปอดด้านขวา ระยะ 3 บี ซึ่งถือเป็นระยะเกือบสุดท้าย แต่ยังไม่ลุกลามออกไประยะอื่นๆ หมอได้แนะนำให้ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลที่มีสิทธิ์เบิกประกันสังคมได้เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย จากนั้นเป็นต้นมาพี่เอกก็เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลราชวิถีเรื่อยมา รวมแล้วเกือบ 3 ปี
แม้ในช่วงที่หมอได้บอกข่าวร้ายว่าเป็นโรคมะเร็ง ต้องเข้ารับการรักษา ถือว่าเป็นช่วงเวลาอันเลวร้ายที่สุดของชีวิต เพราะต้องเจอกับการทำเคมีบำบัด แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พี่เอกกล้าที่จะสู้กับโรคมะเร็งก็คือ กำลังใจจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะคุณแม่ซึ่งบอกกับเขาก่อนที่จะรับยาคีโมว่า “ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรยังไง เราก็ต้องสู้ ต้องรักษานะ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ”
ผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายราย เข้ามารับการรักษาด้วยความห่อเหี่ยว ท้อแท้ และก็เครียด แต่สำหรับพี่เอกในใจก็คิดว่า มันเป็นโรคที่รักษาได้ มีโอกาสหายขาด จึงไม่ลังเลที่จะเข้ารับการรักษาในทันที แม้จะแอบคิดว่าทำไมต้องมาป่วยเป็นโรคมะเร็งด้วย แต่ก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับการคิดฟุ้งซ่านแบบนั้น
เขาบอกว่า “คิดไปมันก็ไม่หายหรอก” อย่างน้อยก็มีทางรักษา ดีกว่าหมอบอกว่าไม่มีทางรักษาแล้ว
ผมสะดุดตากับคำๆ นี้มาก พลันให้นึกถึงปัญหาชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน ครอบครัว ปัญหาเงินทอง แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัว ที่ผ่านมาผมเคยเก็บเอามาคิด กระทั่งคิดมากจนนอนไม่หลับก็มี แต่เมื่อได้นึกถึงชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่มีความเป็นความตายเป็นเดิมพัน มันทำให้คนปกติอย่างผมรู้สึกว่าปัญหาของผมมันเรื่องเล็กน้อยมาก
นานมาแล้ว รุ่นพี่ที่ทำงานเดียวกันอย่าง “พี่ม่อน” เคยเล่าให้ฟังระหว่างนั่งทานก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาบางลำพู บอกว่า ที่ผ่านมาเขาเคยคิดมากกับปัญหาส่วนตัวบางประการ บางครั้งคิดแทนคนอื่นก็มี แต่ตอนหลังเขากลับไม่คิดอะไรมากกับชีวิต โดยเฉพาะการคิดแทนคนอื่น ซึ่งสิ่งที่เราคิดไป จริงๆ คนอื่นอาจจะไม่ได้คิดอะไรมากมายอย่างที่เราคิดก็ได้
ก็อย่างว่าแหละครับ ประโยคจากพี่เอกที่ว่า “คิดไปมันก็ไม่หาย” หากเปรียบเทียบกับชีวิตจริง ปัญหามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้หนี อย่างน้อยการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็มีอยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคน ซึ่งก็ยังดีกว่าต้องคอยหลีกหนีปัญหาโดยไม่มีเหตุผล แล้วพอปัญหามันลุกลามมากขึ้นก็ได้แต่บ่นเสียดาย
บางทีคนเราก็แอบบ่นน้อยใจตัวเองบ้างเป็นธรรมดา ... แต่ก็จริงที่ว่า คนเราจะคิดอะไรมากมาย
พี่เอกยังบอกเล่าถึงประสบการณ์ในช่วงเข้ารับการรักษา โดยเฉพาะช่วงที่ทำเคมีบำบัด จากที่เคยคิดว่าหลังรับยาเคมีบำบัดแล้ววันสองวันแรกไม่เป็นอะไร กระทั่งออกจากบ้านไปทำบุญ ระหว่างทางเกิดอาเจียนเพราะพิษคีโมครั้งแรก นำไปสู่อาการปวดตามตัว ลึกไปถึงกระดูก ทำให้ได้เรียนรู้ว่าผลข้างเคียงจากเคมีบำบัดเป็นอย่างไร และจะรับมืออย่างไร
ขณะเดียวกัน เขายังบอกเล่าถึงผู้ป่วยโรคมะเร็งคนอื่นๆ ที่ต้องเข้ารับยาเคมีบำบัดที่แผนกมะเร็งวิทยาเป็นประจำ ซึ่งมะเร็งเป็นโรคที่ไม่เข้าใครออกใคร ไม่ว่าจะรวยหรือจนทุกคนมีสิทธิ์เป็นได้ทั้งนั้น เปรียบได้กับนิยายเรื่อง “หลายชีวิต” ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขาเปรยว่าน่าใจหายที่ผู้ป่วยเข้ารักษาตัวพร้อมกันปี 2553 แทบจะไม่เหลือให้เห็นหน้ากันแล้ว
นอกจากนี้ เขายังมีคำแนะนำสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต อาหารการกิน รวมทั้งประสบการณ์แบกเป้ไปดูฟุตบอลที่ประเทศอังกฤษกับคุณแม่ ซึ่งช่วงนั้นอาการกำลังเข้าที่เข้าทาง เขาคิดว่าในระหว่างที่ตัวเองแข็งแรงพอก็ควรทำในสิ่งที่คิด ตามคติประจำใจที่ว่า “ทำแล้วเสียใจ ดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ”
ในตอนท้าย พี่เอกกับคุณแม่ได้มานั่งวิเคราะห์ว่าอะไรบ้างที่ทำให้เขาเป็นมะเร็ง ไล่ตั้งแต่ควันบุหรี่มือสอง (เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้สูบ) อาหารปิ้งย่าง น้ำอัดลมประเภทน้ำดำ การสูดดมสารฟอร์มัลดีไฮน์จากสีและเฟอร์นิเจอร์ใหม่ หลังกลับมาอยู่เมืองไทย หรือการรับควันพิษที่เล็ดลอดเข้ามาในรถเพราะฉนวนปิดกั้นอากาศของรถโค้งงอ เขาแนะนำแก่ผู้อ่านเป็นการทิ้งท้ายก็คือ ขอทุกคนอย่าประมาท ตรวจสุขภาพทุกปี จะได้รู้อะไรแต่เนิ่นๆ รักษาได้หายขาด
สิ่งที่พี่เอกได้ถ่ายทอดออกมาจากหนังสือเล่มนี้ แม้จะเป็นเศษเสี้ยวประสบการณ์หนึ่ง เมื่อเทียบกับผู้ป่วยมะเร็งที่เสียชีวิตปีหนึ่งประมาณ 6 หมื่นราย แต่ก็เป็นเครื่องเตือนสติให้กับคนที่คิดว่าร่างกายปกติดีได้รู้จักคิดระมัดระวังตัว พร้อมกับให้กำลังใจผู้ป่วยมะเร็งผ่านตัวหนังสือ ซึ่งเขามักจะบอกเสมอว่าขอให้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีกำลังใจและสู้ต่อไป
แม้พี่เอกจะจากเราไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่เมื่อได้อ่านหนังสือ “มะเร็งแง่บวก” ที่เขาเขียนก่อนตาย ผมกลับมีความรู้สึกเหมือนกับว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และคอยบอก คอยแนะนำกับเราเสมอ เวลาที่เรายังแข็งแรงดีว่าให้รู้จักใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท มีสติ และรู้จักต่อสู้กับปัญหาชีวิต อย่างโรคมะเร็งที่เขาต่อสู้อยู่จนหมดลมหายใจ
ขอดวงวิญญาณของพี่เอกไปสู่สุขคติ ขอบคุณสำหรับมิตรภาพบนหน้าจอ คำหยอกล้อในทวิตเตอร์ที่ทำให้ผมยิ้มได้ หากชาติหน้ามีจริงหวังว่าคงได้พบกันอีก
รายการ Body & Mind ทาง ASTV ช่วงที่ 2 ช่วงห้องรับแขก "เอกวิทย์ เศรษฐเสถียร" ชายผู้ไม่พ่ายแพ้แก่มะเร็ง ออกอากาศเมื่อวันที่ 26 ม.ค.2556
หมายเหตุ : คุณแม่พี่เอกแจ้งว่า วันที่ 31 สิงหาคมนี้จะทำบุญครบรอบร้อยวัน ในช่วงเช้าจะมีการเลี้ยงพระเพล และช่วงเที่ยงเลี้ยงอาหารกลางวันแก่เด็กกำพร้า ที่วัดสระแก้ว จ.อ่างทอง ซึ่งเป็นวัดที่พี่เอกเคยเลี้ยงข้าวมันไก่แก่น้องๆ 1,700 จานเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ใครที่สนใจจะทำบุญร่วมกันก็ขอเชิญนะครับ
ผู้ที่สนใจหนังสือ “มะเร็งแง่บวก” จำหน่ายในราคา 120 บาท (ราคารวมค่าจัดส่ง 150 บาท) ติดต่อได้ที่เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/sripen.srestasathiern