สัปดาห์นี้ขอเขียนเรื่องใกล้ตัวแบบสุดๆ เพราะว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมได้พูดคุยกับคุณอาท่านหนึ่งซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเรานี่แหละครับ ทำให้ได้ทราบเรื่องราวหลายๆ อย่างเกี่ยวกับที่นี่ และได้รู้ที่มาที่ไปของบ้านพระอาทิตย์มากยิ่งขึ้น ใช่แล้วครับวันนี้ผมจะขอพูดถึงบ้านพระอาทิตย์ที่ทำงานของเอเอสทีวีผู้จัดการ
เป็นสถานที่ซึ่งเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ผ่านร้อนผ่านหนาว พายุถาโถมเข้ามาก็หลายครั้งหลายครา ฝ่าวิกฤตมาหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ก็ยังยืนหยัดอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้
ตัวผมเองก็เดินเข้าออกที่นี่มาตั้งแต่เป็นเด็กเป็นนักศึกษา จนเรียนจบและเริ่มทำงานด้านสื่อมวลชนที่นี่เป็นที่แรกก็ว่าได้ ผมมีโอกาสได้ทำหน้าที่พิธีกรของเอเอสทีวี ช่องสุวรรณภูมิ ก่อนที่ช่องนี้จะแยกตัวออกไป จำได้ว่าตอนนั้นเรียนอยู่ปีหนึ่ง ผมรู้สึกคุ้นเคยและผูกพันกับที่นี้มากเหมือนกับหลายๆท่าน ที่เป็นคนเก่าแก่ที่นี้ จนผมมีคำพูดติดตลกว่า มาทำงานที่นี่ปีแรก ผมต้องไหว้ทุกคน แต่ตอนนี้ผมเดินไปไหนมาไหนก็เริ่มมีคนในผู้จัดการรุ่นใหม่ๆ มาไหว้ผมบ้างแล้วเหมือนกัน
ประวัติคร่าวๆ ของบ้านพระอาทิตย์ที่ผมยกมาจากวิกิพีเดีย มีดังนี้ครับ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดียด้วยนะครับ
วังพระอาทิตย์ หรือ บ้านพระอาทิตย์ เป็นวังเก่าในสมัยรัชกาลที่ 1 และเป็นอาคารอนุรักษ์ ปัจจุบันเป็นสำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ บ้านพระอาทิตย์ตั้งอยู่เลขที่ 102/1 ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
พระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ สมเด็จพระบิดาโปรดให้สร้างวังพระราชทาน พระองค์เจ้าพงศ์อิศเรศร์ ณ ตำบลที่เรียก ถนนพระอาทิตย์ แต่เดิมสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯในรัชกาลที่1 ทรงจัดสรรเป็น บ้านข้าราชการ รวมถึง บ้านพระยาจ่าแสนยากร คุณหญิงแว่น ซึ่งเป็นที่นับถือว่าเป็นเจ้าที่เจ้าทาง ให้เส้นสังเวยตามธรรมเนียม ต่อมาที่ดินนี้ตกทอดมาสู่เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ (หม่อมราชวงศ์ เย็น อิศรเสนา) ซึ่งเป็นเสนาบดีกระทรวงวังในสมัยรัชกาลที่ 7
เนื่องจากวังเดิมชำรุดทรุดโทรมลงไปมาก เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ได้สร้างวังขึ้นมาใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2475 ลักษณะอาคารเป็นตึก 2 ชั้นยกพื้นสูงหลังคามุงกระเบื้องว่าว และต่อเติมเป็นอาคาร 5 ชั้น มียอดโดมประดับเเป็นหลังคาทรงสูงอยู่ด้านหลัง ประดับชายคาและช่องลมด้วยลวดลายไม้ฉลุ อาคารนี้ได้ตกทอดมาสู่ราชสกุลอิศรเสนา คือ หม่อมหลวง สันธยา อิศรเสนา ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อวังเป็น "บ้านพระอาทิตย์" ต่อมาได้ขายให้กับเอกชน เป็นสำนักงานของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
บ้านพระอาทิตย์เคยเป็นที่ตั้งของสถาบันเกอเธ่ (สถาบันวัฒนธรรมไทย-เยอรมัน) ระหว่าง พ.ศ. 2505-2533 ซึ่งปัจจุบันย้ายไปอยู่ที่ ซอยอรรถการประสิทธิ์ ถนนสาธรใต้
ทราบข้อมูลคราวๆแล้ว การที่ได้คุยกับคนเก่าแก่ที่นี่ทำให้ทราบว่าเมื่อก่อนหนังสือพิมพ์ผู้จัดการไม่ได้ใช้บ้านพระอาทิตย์เป็นออฟฟิศที่ทำงาน แต่ ใช้อีกตึกหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน
คุณอาคนที่เล่าให้ผมฟังยังบอกอีกว่าสมัยคุณลุงสนธิหนุ่มๆ ได้ยืนอยู่ที่กระจกห้องทำงานแล้วมองเข้ามายังฝั่งบ้านพระอาทิตย์อยู่บ่อยๆ
กระทั่งราวๆ ปี 2538 คุณลุงสนธิก็ได้ใช้เงินหลายร้อยล้านบาทซื้อบ้านพระอาทิตย์และทำการปรับปรุงครั้งใหญ่ ใส่ระบบปรับอากาศ ลิฟท์ และอีกมากมาย เพื่อให้พร้อมต่อการเป็นสำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
การที่เราทุกคนที่ทำงานที่นี่ หรือรวมไปถึงคนภายนอกก็ตาม เรียกที่นี่กันอย่างติดปากว่าบ้านพระอาทิตย์ มันทำให้เรารู้สึกอบอุ่นมากๆในการทำงาน แม้วันที่เราต้องเหนื่อยกันขนาดไหน เราก็ยังสู้อยู่ด้วยกัน แม้แต่วันที่ออฟฟิศของเราประสบปัญหาเรื่อวงเงินเดือนที่ ออกบ้าง ไม่ออกบ้าง ออกช้าบ้าง พวกเราก็ยังสามัคคีและช่วยกันจนสถานการณ์เริ่มดีขึ้น
ผมจำได้ว่าช่วงปลายปีที่แล้วมีภาพยนตร์เรื่องยอดมนุษย์เงินเดือนเข้ามาฉาย ผมยังพูดติดตลกกับหลายๆคนว่าคนทำหนังเรื่องนี้ยังไม่รู้จริง และในหนังนะยังเจอไม่เท่าพวกเราเลย ในหนังก็พูดถึงเรื่องการใช้เงินเดือนชนเดือน ลุ้นโบนัส อะไรพวกนี้ ขณะที่ตอนนั้นออฟฟิศเราเงินเดือนออกตรงบ้างไม่ตรงบ้างครบบ้างไม่ครบบ้าง คนอื่นเขาเดือนชนเดือน ของเรามีครึ่งเดือนคร่อมเดือนเลยทีเดียว
แต่สุดท้ายทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้นหลังจากคุณลงสนธิ ออกมาเป็นพรีเซนเตอร์ขายเครื่องทำน้ำด่างด้วยตัวเอง เพื่อหาเงินมาจ่ายเงินเดือนพนักงานอย่างพวกเรา
เอาละครับพูดเรื่องอื่นดีกว่า ในช่วงที่มีการชุมนุมประท้วง ที่ชุมนุมถูกยิงระเบิดเกือบทุกคืน มีคนจนบาดเจ็บล้มตาย พระอาทิตย์ที่ทำงานของสื่อมวลชนกลางกรุงเทพฯ ถูกคุกคามด้วยการลอบยิงหลายครั้ง จนต้องป้องกันตนเองจนพวกเราถูกค่อนขอดว่า อยู่กันในกรงนก เพราะบ้านพระอาทิตย์ติดตั้งตาข่ายดักลูกระเบิด ของพวกหมาลอบกัด ที่คอยมาป่วนเราเรื่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่เราประกาศตัวเป็นศัตรูกับบรรดาคนเลวๆ ที่โกงกินบ้านเมือง พวกวัวสันหลังหวะทั้งหลาย เวลาเราจี้ใจดำอะไรเข้าไป คนพวกนี้มักปรี๊ดแตกเสียทุกที พอมีเรื่องแบบนี้ทีไรพวกป่วนก็มักออกมาก่อกวนพวกเราเสมอ
บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่มีอุดมการณ์ เต็มไปด้วยผู้คนที่รักประเทศชาติ การได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่ครอบครัวนี้ บอกได้เลยว่าโคตรภูมิใจเลยละครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมภูมิใจมากคือผมรู้สึกว่าการได้เข้ามาคลุกคลีและเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ผมว่าทุกๆคนในบ้านหลังนี้เป็นคุณครูอาจารย์ของผมทุกคนเลยละครับ ผมยังมือใหม่ ยังเยาว์ ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ ที่สำคัญการเรียนรู้ไม่เคยมีที่สิ้นสุด
พี่น้องพันธมิตรหลายๆ คนก็คงเคยมาที่บ้านพระอาทิตย์ ผมเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ก้าวย่างเข้ามาที่ก็คงรู้สึกเหมือนผมว่าบ้านนี้เต็มไปด้วยมิตรภาพ ไมตรีจิต และเป็นที่ที่เราจะได้พบกับคนดีๆ ได้เจอสิ่งดีๆมากมาย
บทความนี้เขียนที่บ้านพระอาทิตย์ ในห้องทำงานของผมซึ่งมองออกไปนอกหน้าต่างก็จะได้เห็นห้องทำงานของคุณลุงสนธิอยู่อีกด้านหนึ่ง บางครั้งเวลารู้สึกเหนื่อย ผมจะมองไปทางนั้น และคิดว่ามีคนเหนื่อยกว่ามาก เราเหนื่อยยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของผู้อาวุโสอย่างคุณลุงสนธิเหนื่อยเลย ทำไมต้องให้คนวัยหกสิบกว่าต้องมาเหนื่อยขนาดนี้ แล้วก็หันกลับไปทำงานต่อแบบที่มีแรงฮึดขึ้นมาเลยละครับ