ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร แชมป์เก่าเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ที่สามารถรักษาตำแหน่งได้อีกหนึ่งสมัยจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา
อ๊ะอ๊ะ ผมไม่ได้เขียนเรื่องการเมืองนะ ท่านผู้อ่านอย่าเข้าใจผิด
เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีข่าวว่าน้าปู คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไปเที่ยว เอ๊ย ไปปฏิบัติภารกิจที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เห็นแว่บนึงในข่าวบอกว่า แกไปเยี่ยมชมสถานีรถไฟใต้ดินฮ่องกง ด้วย ตามข่าวบอกว่าเป็นจุดซึ่งศูนย์กลางการคมนาคมของเมืองเลยก็ว่าได้ อันนี้จากประสบการณ์ที่ได้ไปมาเมื่อกลางเดือนก็เห็นว่าก็น่าจะพูดไม่ผิดนัก
สถานีรถไฟใต้ดินฮ่องกง เป็นเหมือนสถานีเชื่อมต่อในหลายช่องทางการคมนาคมของเมือง ซึ่งหากเอาตัวสถานีเป็นจุดศูนย์กลาง ก็เป็นต้นสายของรถไฟใต้ดินสายแอร์พอร์ต เอ็กซ์เพรส ที่ยิงตรงสู่สนามบินนานาชาติฮ่องกง หรือต้นสายของรถไฟใต้ดินสายทุงฉุง(Tung Chung) ที่ไปสู่เกาะลั่นเถา (Lantau Island) เกาะรอบนอกที่ใหญ่เป็นอันดับ ๑ ของเมือง ถ้าเดินขึ้นมาจากสถานีนี้ ก็จะพบกับท่าเรือต่างๆ ที่จะนำไปสู่เกาะใหญ่ๆ ของฮ่องกง
อีกสถานีหนึ่งที่ถือว่าเป็นจุดเชื่อมต่อทางคมนาคมเช่นกันนั่นคือ สถานีเซ็นทรัล (Central) อยู่ทางใต้ของสถานีฮ่องกง สถานีนี้ เป็นสถานีที่ ๒ ของรถไฟใต้ดินสายไอส์แลนด์ ซึ่งสามารถนั่งต่อไปลงที่สถานีฉ้วงหวัน (Sheung Wan ) ปลายทาง เพื่อขึ้นเรือเฟอร์รี่ไปยังเขตบริหารพิเศษ มาเก๊า หรือจะนั่งเข้าเมืองในเขตเกาะฮ่องกง หรือจะข้ามไปยังเขตเกาลูนและนิวเทอร์ริเตอรี่ส์ (New Territories) โดยนั่งไปลงจุดเปลี่ยนเส้นทางที่สถานีแอดไมรัลตี้ (Admiralty) ได้
ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านเราก็คงเป็น.... เป็น.... เป็นที่ไหนดี เป็นสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพง ที่ไปต่อรถไฟยังสายเหนือ-อีสาน หรือสถานีรถไฟฟ้าตากสิน ที่ไปต่อเรือด่วนเจ้าพระยา ประมาณนั้น
จริงๆ การคมนาคมในเมืองนี้ดีมากๆ เลยนะครับ ในความรู้สึกผมคือ มันทำให้รู้สึกว่า ไปไหนก็ได้ .... ที่อยู่ในเขตรถไฟฟ้าผ่าน ไม่หลงแน่นอน ... แถมรถไฟเขานั่งไปสุดสายยันโน้นล่ะครับ ชายแดนเมืองเซิ้นเจิ้น ไกลโพ้นกันเลย
อย่างเรือโดยสารนี่ความปลอดภัยก็เยี่ยมครับ แค่เรือข้ามฟาก อย่างท่าฮ่องกง สู่ จิมซาจุ่ย ภายในเรือก็มีระบบไฮดรอลิกปิดเปิดก่อนขึ้นหรือลง ตัวท่าเรือเองก็ทำแข็งแรงและมั่นคงมาก เมื่อมองดูโป๊ะบ้านเรา เอาอย่างง่ายๆ ท่าเรือพระอาทิตย์ ที่ทำงานผม โป๊ะโล่งๆ ลมโกรกๆ ก็ดีไปอีกแบบ (อันนี้ชอบจริงๆ นะไม่ได้ประชด) นี่ยังไม่ได้พูดถึงท่าเรือเฟอรี่ที่มีระบบจัดการ ทั้งการขายตั๋ว ที่นั่งรอเวลาเรือออก อย่างดี
แต่สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นงานยากขึ้นมาหน่อย คือ รถประจำทาง รถเมล์ที่นี่ หลักๆ จะมีอยู่ ๒ ชนิด คือ รถเมล์ ๒ ชั้นปกติ วิ่งเหมือนขสมก.บ้านเรา และ รถเมล์มินิบัสสีเขียว,แดง วิ่งในระยะที่ไม่ไกลมาก และเป็นที่จุดสำคัญ นอกจากนี้รถเมล์ด่วนพิเศษ รวมทั้งรถรางให้นั่งเล่นๆ ชมวิวบนเกาะฮ่องกงด้วย
แต่ตรงนี้ผู้เดินทางควรศึกษาให้ดีอย่างยิ่งครับ
เพราะป้ายรถเมล์ที่นี่ในความรู้สึกผมเมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเรา มันช่างประหลาดยิ่งนัก สมมุติง่ายๆ ว่า ท่านต้องการขึ้นสาย ๖๐ จากสำนักงานสลากินแบ่งรัฐบาล หรือกองสลาก ไป ม.รามคำแหง ท่านสามารถวิ่งขึ้นได้เลยเมื่อเห็นรถมันเข้ามาจอด แต่ที่นั่นไม่ใช่ คุณจะต้องเดินไปเข้าคอกของสายรถเมล์นั้นๆ อย่างจะขึ้นสาย ๖๐ ก็มีป้ายเขียนไว้ชัดเจนว่า อันนี้คอกสำหรับรอรถเมล์สาย ๖๐ ห้ามขึ้นคอกอื่นเด็ดขาด เนื่องจากรถมันจะวิ่งมาจอดเปิดประตูที่ปากทางคอกพอดี ราวกับรถไฟฟ้ายังไงอย่างงั้น
ตรงนี้ผมถือว่า เป็นข้อดีครับ มันทำให้การคมนาคมเป็นระเบียบโคตรๆ ไม่ต้องมาแย่งยืนออกันหน้าประตูเมื่อรถวิ่งเข้ามาจอดบดบังทางลงของคนที่จะลง จนแทบอยากจะถีบให้กระเด็นไปเลยทีเดียว (โหดแท้ๆ )
นอกจากนี้ ตรงเสาป้ายหน้าคอก ยังมีบอกด้วยว่า ตอนนี้เราอยู่จุดไหน และสายนี้มันไปไหนได้บ้าง มันจะบอกตั้งแต่ต้นสายยันปลายทางเลย แถมยังบอกด้วยว่า แต่ละช่วงเวลารถจะมากี่นาที หมดกี่โมง ไม่ต้องมายืนลุ้นว่า เฮ้ย สายนี้มันไปไหนวะ มันจะหมดหรือยังว้า ..... ลองนึกสภาพคุณอยู่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จุดที่ถือว่าเป็นทางเชื่อมต่อรถเมล์เยอะที่สุดในบางกอก ตอนราวๆ สี่ทุ่มดู เฮ้ย สายนี้หมดหรือยังวะ สายนั้นไปบ้านกูได้มั้ย ถามใครได้บ้างเนี่ย ยิ่งถ้าพวกนักท่องเที่ยวต่างชาติ นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย สุดท้ายก็พึ่งบริการก้าว ๓๕ แท็กซี่โลดเหมือนเดิม ....
แต่ที่แย่หน่อยคือ .... รถบางสายจะจอดเฉพาะป้าย ยกตัวอย่างเดิมคือ สาย ๖๐ ถ้าเป็นเมืองไทย สมมุติคุณไม่ได้ขึ้นที่กองสลาก คุณจะไปขึ้นหน้าศึกษาภัณฑ์ ก็ได้ แต่ที่นี่ไม่ใช่ ถ้าคุณไม่ได้ขึ้นที่ป้ายที่คุณวางแผนไว้ คุณอาจจะต้องไปขึ้นอีกทีที่ป้ายสะพานผ่านฟ้า หรือแยกอุรุพงษ์ เลย
ภายในรถเมล์ เวลาคุณขึ้นไปจะมีการบอกป้ายรถเมล์ข้างหน้าตลอดระยะทาง ทั้งเป็นตัวอักษร และเสียง ๓ ภาษา จีนกลาง จีนกวางตุ้ง และอังกฤษ เพื่อให้ผู้โดยสารได้รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้วนะ อย่างนี้ก็ช่วยอุ่นใจ คลายกังวลหลงได้หน่อย (ยกเว้นหลับเพลิน จบเลย) ใครที่เคยขึ้นรถปอ.เอกชนสีเหลืองรุ่นใหม่ๆ จะเห็นว่า ตรงชั้นบนหัวคนขับจะมีจอป้ายไฟแสดงบอกเวลาและภาษาจีนอะไรไม่รู้อยู่ นั่นล่ะครับเขาเอาไว้ใช้เพื่อจุดประสงค์นี้
รถโดยสารที่นี่ ไม่มีพนักงานเก็บค่าโดยสาร หรือกระเป๋ารถเมล์ครับ มีแค่คนขับคนเดียว แล้วเก็บเงินยังไง ใครเคยนั่งไมโครบัสคงจะนึกภาพออก มีกล่องใส่เงินให้ใส่ค่าโดยสาร ซึ่งค่าโดยสารก็แพงมหาโหดจริงๆ (เมื่อเทียบกับบ้านเรา) บางสายวิ่งไกลๆ ราคา ๑๐ เฮชเคดอลล่าร์ หรือราว ๓๗ บาท บ้านเรา มันคิดราคาแบบเหมาจ่าย สมมติสายเดิม สาย ๖๐ เนี่ยล่ะ ถ้าเราขึ้นต้นทางป้ายปากคลองตลาด,กองสลาก คิดราคา ๓๗ บาทตลอดสาย แม้จะนั่งไปลงแค่ ๒ ป้ายรถเมล์ก็ตาม แต่ถ้าขึ้นที่ป้ายประตูน้ำ อาจจะคิดแค่ ๒๘ บาท และถ้าขึ้นป้าย ม.รามคำแหง อาจจะคิดแค่ ๒๐ บาท ตามลำดับ .... ที่สำคัญคือ ไม่มีการทอนเงินใดๆ ทั้งสิ้น .. โอ้พระสงฆ์!!!
ท่านกำลังประสบปัญหาเงินไม่พอจ่ายค่ารถเมล์ใช่หรือไม่ ..... มีแบงค์แต่ไม่มีเหรียญหยอดตู้รถเมล์ หรือมีเหรียญแต่ไม่มีเศษสตางค์ กลัวไม่ได้เงินทอน .... ทีวีเมียด่าวันนี้ขอเสนอ "ออคโทปุสการ์ด!!"
"ผลั่ก!! ..... ถีบตกจอไป ไอ้บ้า นี่มันคอลัมน์มีสาระนะเฟ้ย"
กลับมาเรื่องของเราครับ ไอ้เจ้าบัตรปลาหมึกเนี่ย มันคือบัตรอิเลคทรอนิกส์แทนเงินสด เสมือนว่า บัตรเดียวจ่ายได้ทุกอย่าง คล้ายๆ บัตรสมาร์ทเพิร์สของเซเว่นบ้านเรา คือจ่ายได้ตั้งแต่บริการขนส่งสาธารณะ ไปยันซื้อของเซเว่น แม้แต่ไอติมรถตู้ ก็ยังจ่ายด้วยบัตรนี้ได้ มันทำให้อะไรๆ ง่ายขึ้นมากในเมืองนี้ เวลาขึ้นรถเมล์ รถไฟ ก็แตะบัตรหักไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาควักเหรียญ แถมถ้าขึ้นรถไฟใต้ดินก็อาจได้ส่วนรถในบางระยะทางด้วย
ในบ้านเรา เห็นว่า จะทำๆ อยู่ ล่าสุดก็มีข่าวว่ากระทรวงคมนาคมจะเชิญบริษัทต่างชาติมาประมูลทำอยู่ราวๆ หลักร้อยล้าน และคาดว่าจะเสร็จในอีก ๔ ปี รองรับรถไฟฟ้า รถเมล์เอ็นจีวี .... ก็รอดูกันต่อไปแล้วกัน
ว่าแต่ จะขออะไรถึงท่านผู้ว่าฯ แชมป์เก่าล่ะ ร่ายยาวมาซะขนาดนี้
ผมไม่ขออะไรมากครับ เอาเรื่องง่ายๆ ที่ กทม.ทำได้ นั่นคือ .... ป้ายรถเมล์ครับ
ป้ายรถเมล์บ้านเรา เอาง่ายๆ คุณลองเดินไปดูป้ายหน้าบ้าน (สำหรับท่านที่ไม่ได้อยู่ กทม.ต้องขออภัยด้วย) จะเห็นอะไรครับ .... ป้ายโดดๆ บนป้ายมีสายรถเมล์เป็นตัวเลข อยู่ตรงส่วนบนสุด ตรงกลางมีบอร์ดสีขาวโฆษณาผลงาน กทม. บางแห่งมีที่นั่ง มีกันสาดใหญ่โต แต่พื้นหลังเป็นป้ายโฆษณาจิปาถะมากมาย .... คำถามคือ พวกผมได้อะไรจากป้ายรถเมล์ครับ .... นอกจากยืนบังแดด บังฝน รอรถเมล์แล้ว มันแทบไม่มีประโยชน์อะไรกับคนนอกเมือง หรือพวกนักท่องเที่ยวเลย
คุณลองคิดว่าคุณเป็นนักท่องเที่ยวดู มันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับการขึ้นรถเมล์ ๑ คัน จะไปไหนมาไหน ถ้าไม่มีแผนที่ ไม่มีแผนการวางไว้ จบเลยนะ สมมติรถเมล์มา เฮ้ย สายนี้ไปไหนได้ ต้องมาไล่ดูในคู่มือที่ซื้อมา มันไปไหนบ้างว้า แล้วข้างรถเมล์ ก็ไม่มีป้ายภาษาอังกฤษบอก แถมบางคันก็ติดป้ายขึ้นทางด่วน,เสริม อย่าว่าแต่ต่างชาติเลย คนต่างเมืองเข้ามาก็งง แล้วกูจะรู้กับมึงไหมเนี่ยว่าไอ้คันนี้มันไม่ไป ก็เขา (คนที่บ้าน) บอกมาว่ามันไปได้ๆ
ฉะนั้น ผมขอให้แก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจังครับ เราไม่สามารถไปสั่ง ขสมก.ได้ เพราะเขาขึ้นกับกระทรวงคมนาคม (อาจจะทำได้แค่ขอความร่วมมือ) แต่สิ่งที่เราทำได้คือ บอกให้ชัดครับ ว่า ป้ายนี้คือป้ายอะไร มีสายอะไรผ่าน ไปไหนได้ หมดกี่โมง วิ่งราวๆ กี่นาทีมาถึง เอาให้ชัดกันไปเลย แก้ปัญหาคนหลงได้ด้วย แถมยังทำให้นักท่องเที่ยวกระจายตัวไปเที่ยวต่างๆ ในเมืองได้ง่ายขึ้นด้วย จะแบ่งครึ่งหรือเศษ ๑ ส่วน ๓ ของป้ายโฆษณาก็ได้ หรือใช้เป็นแบบกล่องหมุนๆ เอาก็ได้
บางคนอาจจะบอกว่า เฮ้ย เดี๋ยวก็มีไอ้พวกมือบอนมาพ่นกราฟิคตี้ หรือนักขายตรงทั้งหลายเอาสติ๊กเกอร์มาแปะโฆษณาฟรีให้เต็มไปหมด อันนี้มีวิธีแก้ครับ .... ไหนๆ นโยบายท่านก็บอกแล้วว่า จะสร้างความปลอดภัยให้กับเมืองหลวง ก็เอาเลยครับ ติดกล้องวงจรปิด (ที่ไม่ใช่กล้องดัมมี่นะ) ไว้แถวๆ เสาไฟฟ้าป้ายรถเมล์ ช่วยได้เยอะเลยครับ จับพวกมือบอน ป้องกันอาชญากรรม ทั้งโจรจี้ปล้นที่ป้ายรถเมล์ที่เคยเป็นข่าว รวมทั้งสามารถแก้ปัญหาอุบัติเหตุได้ด้วย เช่นเหตุรถเมล์หรือรถยนต์พุ่งชนป้าย อย่างที่เคยมีข่าว รวมทั้งกรณีรถเมล์ทับผู้โดยสาร หรือใช้สำหรับจับปรับพวกแท็กซี่ รถตู้จอดแช่กีดขวางการจราจรทำให้รถติดก็ได้ ...... เห็นม่ะ ยิงนักเดียวได้ตั้งหลายต่อ
ก็ได้แต่หวังว่า น้าสุขุมพันธ์ จะนำข้อเสนอของผมไปใช้เพื่อปรับปรุงกทม. ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น เอาแค่เรื่องง่ายๆ ท่านก็ได้ใจคนกรุงเพิ่มแล้ว...
ว่าแต่ ถ้ากระทรวงคมนาคม หรือขสมก.จะนำระบบติดป้ายไฟบอกป้ายรถเมล์บนรถประจำทางมาใช้ก็คงจะดีต่อประชาชาติไม่น้อยเหมือนกัน
อ๊ะอ๊ะ ผมไม่ได้เขียนเรื่องการเมืองนะ ท่านผู้อ่านอย่าเข้าใจผิด
เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีข่าวว่าน้าปู คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไปเที่ยว เอ๊ย ไปปฏิบัติภารกิจที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เห็นแว่บนึงในข่าวบอกว่า แกไปเยี่ยมชมสถานีรถไฟใต้ดินฮ่องกง ด้วย ตามข่าวบอกว่าเป็นจุดซึ่งศูนย์กลางการคมนาคมของเมืองเลยก็ว่าได้ อันนี้จากประสบการณ์ที่ได้ไปมาเมื่อกลางเดือนก็เห็นว่าก็น่าจะพูดไม่ผิดนัก
สถานีรถไฟใต้ดินฮ่องกง เป็นเหมือนสถานีเชื่อมต่อในหลายช่องทางการคมนาคมของเมือง ซึ่งหากเอาตัวสถานีเป็นจุดศูนย์กลาง ก็เป็นต้นสายของรถไฟใต้ดินสายแอร์พอร์ต เอ็กซ์เพรส ที่ยิงตรงสู่สนามบินนานาชาติฮ่องกง หรือต้นสายของรถไฟใต้ดินสายทุงฉุง(Tung Chung) ที่ไปสู่เกาะลั่นเถา (Lantau Island) เกาะรอบนอกที่ใหญ่เป็นอันดับ ๑ ของเมือง ถ้าเดินขึ้นมาจากสถานีนี้ ก็จะพบกับท่าเรือต่างๆ ที่จะนำไปสู่เกาะใหญ่ๆ ของฮ่องกง
อีกสถานีหนึ่งที่ถือว่าเป็นจุดเชื่อมต่อทางคมนาคมเช่นกันนั่นคือ สถานีเซ็นทรัล (Central) อยู่ทางใต้ของสถานีฮ่องกง สถานีนี้ เป็นสถานีที่ ๒ ของรถไฟใต้ดินสายไอส์แลนด์ ซึ่งสามารถนั่งต่อไปลงที่สถานีฉ้วงหวัน (Sheung Wan ) ปลายทาง เพื่อขึ้นเรือเฟอร์รี่ไปยังเขตบริหารพิเศษ มาเก๊า หรือจะนั่งเข้าเมืองในเขตเกาะฮ่องกง หรือจะข้ามไปยังเขตเกาลูนและนิวเทอร์ริเตอรี่ส์ (New Territories) โดยนั่งไปลงจุดเปลี่ยนเส้นทางที่สถานีแอดไมรัลตี้ (Admiralty) ได้
ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านเราก็คงเป็น.... เป็น.... เป็นที่ไหนดี เป็นสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพง ที่ไปต่อรถไฟยังสายเหนือ-อีสาน หรือสถานีรถไฟฟ้าตากสิน ที่ไปต่อเรือด่วนเจ้าพระยา ประมาณนั้น
จริงๆ การคมนาคมในเมืองนี้ดีมากๆ เลยนะครับ ในความรู้สึกผมคือ มันทำให้รู้สึกว่า ไปไหนก็ได้ .... ที่อยู่ในเขตรถไฟฟ้าผ่าน ไม่หลงแน่นอน ... แถมรถไฟเขานั่งไปสุดสายยันโน้นล่ะครับ ชายแดนเมืองเซิ้นเจิ้น ไกลโพ้นกันเลย
อย่างเรือโดยสารนี่ความปลอดภัยก็เยี่ยมครับ แค่เรือข้ามฟาก อย่างท่าฮ่องกง สู่ จิมซาจุ่ย ภายในเรือก็มีระบบไฮดรอลิกปิดเปิดก่อนขึ้นหรือลง ตัวท่าเรือเองก็ทำแข็งแรงและมั่นคงมาก เมื่อมองดูโป๊ะบ้านเรา เอาอย่างง่ายๆ ท่าเรือพระอาทิตย์ ที่ทำงานผม โป๊ะโล่งๆ ลมโกรกๆ ก็ดีไปอีกแบบ (อันนี้ชอบจริงๆ นะไม่ได้ประชด) นี่ยังไม่ได้พูดถึงท่าเรือเฟอรี่ที่มีระบบจัดการ ทั้งการขายตั๋ว ที่นั่งรอเวลาเรือออก อย่างดี
แต่สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นงานยากขึ้นมาหน่อย คือ รถประจำทาง รถเมล์ที่นี่ หลักๆ จะมีอยู่ ๒ ชนิด คือ รถเมล์ ๒ ชั้นปกติ วิ่งเหมือนขสมก.บ้านเรา และ รถเมล์มินิบัสสีเขียว,แดง วิ่งในระยะที่ไม่ไกลมาก และเป็นที่จุดสำคัญ นอกจากนี้รถเมล์ด่วนพิเศษ รวมทั้งรถรางให้นั่งเล่นๆ ชมวิวบนเกาะฮ่องกงด้วย
แต่ตรงนี้ผู้เดินทางควรศึกษาให้ดีอย่างยิ่งครับ
เพราะป้ายรถเมล์ที่นี่ในความรู้สึกผมเมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเรา มันช่างประหลาดยิ่งนัก สมมุติง่ายๆ ว่า ท่านต้องการขึ้นสาย ๖๐ จากสำนักงานสลากินแบ่งรัฐบาล หรือกองสลาก ไป ม.รามคำแหง ท่านสามารถวิ่งขึ้นได้เลยเมื่อเห็นรถมันเข้ามาจอด แต่ที่นั่นไม่ใช่ คุณจะต้องเดินไปเข้าคอกของสายรถเมล์นั้นๆ อย่างจะขึ้นสาย ๖๐ ก็มีป้ายเขียนไว้ชัดเจนว่า อันนี้คอกสำหรับรอรถเมล์สาย ๖๐ ห้ามขึ้นคอกอื่นเด็ดขาด เนื่องจากรถมันจะวิ่งมาจอดเปิดประตูที่ปากทางคอกพอดี ราวกับรถไฟฟ้ายังไงอย่างงั้น
ตรงนี้ผมถือว่า เป็นข้อดีครับ มันทำให้การคมนาคมเป็นระเบียบโคตรๆ ไม่ต้องมาแย่งยืนออกันหน้าประตูเมื่อรถวิ่งเข้ามาจอดบดบังทางลงของคนที่จะลง จนแทบอยากจะถีบให้กระเด็นไปเลยทีเดียว (โหดแท้ๆ )
นอกจากนี้ ตรงเสาป้ายหน้าคอก ยังมีบอกด้วยว่า ตอนนี้เราอยู่จุดไหน และสายนี้มันไปไหนได้บ้าง มันจะบอกตั้งแต่ต้นสายยันปลายทางเลย แถมยังบอกด้วยว่า แต่ละช่วงเวลารถจะมากี่นาที หมดกี่โมง ไม่ต้องมายืนลุ้นว่า เฮ้ย สายนี้มันไปไหนวะ มันจะหมดหรือยังว้า ..... ลองนึกสภาพคุณอยู่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จุดที่ถือว่าเป็นทางเชื่อมต่อรถเมล์เยอะที่สุดในบางกอก ตอนราวๆ สี่ทุ่มดู เฮ้ย สายนี้หมดหรือยังวะ สายนั้นไปบ้านกูได้มั้ย ถามใครได้บ้างเนี่ย ยิ่งถ้าพวกนักท่องเที่ยวต่างชาติ นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย สุดท้ายก็พึ่งบริการก้าว ๓๕ แท็กซี่โลดเหมือนเดิม ....
แต่ที่แย่หน่อยคือ .... รถบางสายจะจอดเฉพาะป้าย ยกตัวอย่างเดิมคือ สาย ๖๐ ถ้าเป็นเมืองไทย สมมุติคุณไม่ได้ขึ้นที่กองสลาก คุณจะไปขึ้นหน้าศึกษาภัณฑ์ ก็ได้ แต่ที่นี่ไม่ใช่ ถ้าคุณไม่ได้ขึ้นที่ป้ายที่คุณวางแผนไว้ คุณอาจจะต้องไปขึ้นอีกทีที่ป้ายสะพานผ่านฟ้า หรือแยกอุรุพงษ์ เลย
ภายในรถเมล์ เวลาคุณขึ้นไปจะมีการบอกป้ายรถเมล์ข้างหน้าตลอดระยะทาง ทั้งเป็นตัวอักษร และเสียง ๓ ภาษา จีนกลาง จีนกวางตุ้ง และอังกฤษ เพื่อให้ผู้โดยสารได้รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้วนะ อย่างนี้ก็ช่วยอุ่นใจ คลายกังวลหลงได้หน่อย (ยกเว้นหลับเพลิน จบเลย) ใครที่เคยขึ้นรถปอ.เอกชนสีเหลืองรุ่นใหม่ๆ จะเห็นว่า ตรงชั้นบนหัวคนขับจะมีจอป้ายไฟแสดงบอกเวลาและภาษาจีนอะไรไม่รู้อยู่ นั่นล่ะครับเขาเอาไว้ใช้เพื่อจุดประสงค์นี้
รถโดยสารที่นี่ ไม่มีพนักงานเก็บค่าโดยสาร หรือกระเป๋ารถเมล์ครับ มีแค่คนขับคนเดียว แล้วเก็บเงินยังไง ใครเคยนั่งไมโครบัสคงจะนึกภาพออก มีกล่องใส่เงินให้ใส่ค่าโดยสาร ซึ่งค่าโดยสารก็แพงมหาโหดจริงๆ (เมื่อเทียบกับบ้านเรา) บางสายวิ่งไกลๆ ราคา ๑๐ เฮชเคดอลล่าร์ หรือราว ๓๗ บาท บ้านเรา มันคิดราคาแบบเหมาจ่าย สมมติสายเดิม สาย ๖๐ เนี่ยล่ะ ถ้าเราขึ้นต้นทางป้ายปากคลองตลาด,กองสลาก คิดราคา ๓๗ บาทตลอดสาย แม้จะนั่งไปลงแค่ ๒ ป้ายรถเมล์ก็ตาม แต่ถ้าขึ้นที่ป้ายประตูน้ำ อาจจะคิดแค่ ๒๘ บาท และถ้าขึ้นป้าย ม.รามคำแหง อาจจะคิดแค่ ๒๐ บาท ตามลำดับ .... ที่สำคัญคือ ไม่มีการทอนเงินใดๆ ทั้งสิ้น .. โอ้พระสงฆ์!!!
ท่านกำลังประสบปัญหาเงินไม่พอจ่ายค่ารถเมล์ใช่หรือไม่ ..... มีแบงค์แต่ไม่มีเหรียญหยอดตู้รถเมล์ หรือมีเหรียญแต่ไม่มีเศษสตางค์ กลัวไม่ได้เงินทอน .... ทีวีเมียด่าวันนี้ขอเสนอ "ออคโทปุสการ์ด!!"
"ผลั่ก!! ..... ถีบตกจอไป ไอ้บ้า นี่มันคอลัมน์มีสาระนะเฟ้ย"
กลับมาเรื่องของเราครับ ไอ้เจ้าบัตรปลาหมึกเนี่ย มันคือบัตรอิเลคทรอนิกส์แทนเงินสด เสมือนว่า บัตรเดียวจ่ายได้ทุกอย่าง คล้ายๆ บัตรสมาร์ทเพิร์สของเซเว่นบ้านเรา คือจ่ายได้ตั้งแต่บริการขนส่งสาธารณะ ไปยันซื้อของเซเว่น แม้แต่ไอติมรถตู้ ก็ยังจ่ายด้วยบัตรนี้ได้ มันทำให้อะไรๆ ง่ายขึ้นมากในเมืองนี้ เวลาขึ้นรถเมล์ รถไฟ ก็แตะบัตรหักไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาควักเหรียญ แถมถ้าขึ้นรถไฟใต้ดินก็อาจได้ส่วนรถในบางระยะทางด้วย
ในบ้านเรา เห็นว่า จะทำๆ อยู่ ล่าสุดก็มีข่าวว่ากระทรวงคมนาคมจะเชิญบริษัทต่างชาติมาประมูลทำอยู่ราวๆ หลักร้อยล้าน และคาดว่าจะเสร็จในอีก ๔ ปี รองรับรถไฟฟ้า รถเมล์เอ็นจีวี .... ก็รอดูกันต่อไปแล้วกัน
ว่าแต่ จะขออะไรถึงท่านผู้ว่าฯ แชมป์เก่าล่ะ ร่ายยาวมาซะขนาดนี้
ผมไม่ขออะไรมากครับ เอาเรื่องง่ายๆ ที่ กทม.ทำได้ นั่นคือ .... ป้ายรถเมล์ครับ
ป้ายรถเมล์บ้านเรา เอาง่ายๆ คุณลองเดินไปดูป้ายหน้าบ้าน (สำหรับท่านที่ไม่ได้อยู่ กทม.ต้องขออภัยด้วย) จะเห็นอะไรครับ .... ป้ายโดดๆ บนป้ายมีสายรถเมล์เป็นตัวเลข อยู่ตรงส่วนบนสุด ตรงกลางมีบอร์ดสีขาวโฆษณาผลงาน กทม. บางแห่งมีที่นั่ง มีกันสาดใหญ่โต แต่พื้นหลังเป็นป้ายโฆษณาจิปาถะมากมาย .... คำถามคือ พวกผมได้อะไรจากป้ายรถเมล์ครับ .... นอกจากยืนบังแดด บังฝน รอรถเมล์แล้ว มันแทบไม่มีประโยชน์อะไรกับคนนอกเมือง หรือพวกนักท่องเที่ยวเลย
คุณลองคิดว่าคุณเป็นนักท่องเที่ยวดู มันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับการขึ้นรถเมล์ ๑ คัน จะไปไหนมาไหน ถ้าไม่มีแผนที่ ไม่มีแผนการวางไว้ จบเลยนะ สมมติรถเมล์มา เฮ้ย สายนี้ไปไหนได้ ต้องมาไล่ดูในคู่มือที่ซื้อมา มันไปไหนบ้างว้า แล้วข้างรถเมล์ ก็ไม่มีป้ายภาษาอังกฤษบอก แถมบางคันก็ติดป้ายขึ้นทางด่วน,เสริม อย่าว่าแต่ต่างชาติเลย คนต่างเมืองเข้ามาก็งง แล้วกูจะรู้กับมึงไหมเนี่ยว่าไอ้คันนี้มันไม่ไป ก็เขา (คนที่บ้าน) บอกมาว่ามันไปได้ๆ
ฉะนั้น ผมขอให้แก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจังครับ เราไม่สามารถไปสั่ง ขสมก.ได้ เพราะเขาขึ้นกับกระทรวงคมนาคม (อาจจะทำได้แค่ขอความร่วมมือ) แต่สิ่งที่เราทำได้คือ บอกให้ชัดครับ ว่า ป้ายนี้คือป้ายอะไร มีสายอะไรผ่าน ไปไหนได้ หมดกี่โมง วิ่งราวๆ กี่นาทีมาถึง เอาให้ชัดกันไปเลย แก้ปัญหาคนหลงได้ด้วย แถมยังทำให้นักท่องเที่ยวกระจายตัวไปเที่ยวต่างๆ ในเมืองได้ง่ายขึ้นด้วย จะแบ่งครึ่งหรือเศษ ๑ ส่วน ๓ ของป้ายโฆษณาก็ได้ หรือใช้เป็นแบบกล่องหมุนๆ เอาก็ได้
บางคนอาจจะบอกว่า เฮ้ย เดี๋ยวก็มีไอ้พวกมือบอนมาพ่นกราฟิคตี้ หรือนักขายตรงทั้งหลายเอาสติ๊กเกอร์มาแปะโฆษณาฟรีให้เต็มไปหมด อันนี้มีวิธีแก้ครับ .... ไหนๆ นโยบายท่านก็บอกแล้วว่า จะสร้างความปลอดภัยให้กับเมืองหลวง ก็เอาเลยครับ ติดกล้องวงจรปิด (ที่ไม่ใช่กล้องดัมมี่นะ) ไว้แถวๆ เสาไฟฟ้าป้ายรถเมล์ ช่วยได้เยอะเลยครับ จับพวกมือบอน ป้องกันอาชญากรรม ทั้งโจรจี้ปล้นที่ป้ายรถเมล์ที่เคยเป็นข่าว รวมทั้งสามารถแก้ปัญหาอุบัติเหตุได้ด้วย เช่นเหตุรถเมล์หรือรถยนต์พุ่งชนป้าย อย่างที่เคยมีข่าว รวมทั้งกรณีรถเมล์ทับผู้โดยสาร หรือใช้สำหรับจับปรับพวกแท็กซี่ รถตู้จอดแช่กีดขวางการจราจรทำให้รถติดก็ได้ ...... เห็นม่ะ ยิงนักเดียวได้ตั้งหลายต่อ
ก็ได้แต่หวังว่า น้าสุขุมพันธ์ จะนำข้อเสนอของผมไปใช้เพื่อปรับปรุงกทม. ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น เอาแค่เรื่องง่ายๆ ท่านก็ได้ใจคนกรุงเพิ่มแล้ว...
ว่าแต่ ถ้ากระทรวงคมนาคม หรือขสมก.จะนำระบบติดป้ายไฟบอกป้ายรถเมล์บนรถประจำทางมาใช้ก็คงจะดีต่อประชาชาติไม่น้อยเหมือนกัน