ในเมืองไทยมีการจัดงานมหกรรมยานยนต์สองหนใหญ่ๆ จากสองผู้จัดรายใหญ่นั้นคือมอเตอร์เอ็กซ์โป และมอเตอร์โชว์ ทั้งสองงานเป็นที่รวบรวมนวัตกรรมด้านยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ได้มีงานมหกรรมยานยนต์อย่างมอเตอร์เอ็กซ์โป ซึ่งงานนี้จัดขึ้นทุกๆปีในช่วงเวลาใกล้ๆปีใหม่ตอนต้นเดือนธันวาคม ล่าสุดยอดขายรถในงานนี้สูงถึงแปดหมื่นคัน
ทั้งสองงานนี้จัดที่อิมแพ็คเมืองทองธานี และเป็นงานที่มีคนเข้าชมเยอะมากทุกๆปี และทำให้รถติดขนาดหนักทุกครั้งที่มีงาน ยิ่งใครมีบ้านอยู่แถวแจ้งวัฒนะหรือเมืองทองด้วยแล้ว ต้องเซ็งกับการขับรถในช่วงเวลาที่มีการจัดงาน
คนไทยปั่นป่วนกับการซื้อรถใหม่ ตามนโยบายประชานิยมรถคันแรกของรัฐบาลชุดนี้ เริ่ม มาตั้งแต่ 16 กันยายน 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2555 เรียกว่ามีการซื้อรถใหม่กันถล่มทลาย เพราะฟังดูสวยหรูยั่วต่อมกิเลสกันมาพักใหญ่
รัฐบาลจะคืนภาษีสำหรับคนที่ซื้อรถคันแรก โดยมุ่งเน้นไปที่รถประหยัดน้ำมัน รถอีโคคาร์ หรือรถขนาดเล็กนั่นแหละครับ
หลักการคืนเงินของโครงการรถคันแรก ต้องเป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อ ต้องทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2554-31 ธันวาคม พ.ศ.2555 เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถกระบะ (Pick up)/รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab) เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ
รัฐบาลจะจ่าย คืนเงินให้ผู้ซื้อรถเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี หากผู้ซื้อรถไม่สามารถผ่อนต่อได้ หรือมีเหตุอย่างอื่น จะต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับให้กรมสรรพสามิต หากไม่ดำเนินการ ทางกรมสรรพสามิตจะใช้วิธีการทางศาล เพื่อให้สั่งให้คืนทะเบียนรถยนต์ การคืนเงินจะคืนเมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปีไปแล้ว โดยจะเริ่มจ่ายคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป ซึ่งกรมสรรพสามิตจะจ่ายผ่านทางเช็คเงินสดครั้งเดียวเต็มจำนวน
รัฐบาลควักเงินจากภาษีชาวบ้านมาละเลงเล่นเพื่อผลประโยชน์ประชานิยทางการเมือง ผลประโยชน์ชองบริษัทผลิตและขายรถยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทุนต่างชาติ ที่สำคัญรถทุกคันจะวิ่งได้ต้องเติมพลังงาน บริษัทขายน้ำมันรายได้เพิ่มอีกมหาศาล
รัฐอนุมัติและจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 100 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอนุมัติและจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 จำนวน 30,000 ล้านบาท เพื่อคืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรกเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินคันละ 100,000 บาท
รายงานข่าวจากกรมสรรพสามิต ระบุว่า ขณะนี้ยอดการขอใช้สิทธิในโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก ไม่เกิน 1 แสนบาท อยู่ที่ 8.5 แสนราย คิดเป็นเงินภาษีที่ต้องคืนประมาณ 7.6 หมื่นล้านบาท คาดว่าภายหลังสิ้นสุดโครงการ ในวันที่ 31 ธ.ค.2555 จะมีประชาชนทยอยขอใช้สิทธิในโครงการดังกล่าว ไม่ต่ำกว่า 9 แสนราย ซึ่งคิดเป็นเงินภาษีที่ต้องคืน ไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นล้านบาท
กรมสรรพสามิตได้ทยอยจ่ายเงินภาษีคืนให้แก่ประชาชนที่ถือครองสิทธิครบ 1 ปี ไปแล้ว ทั้งสิ้น 3.1 หมื่นราย คิดเป็นเงินภาษีทั้งสิ้น 2.3 พันล้านบาท โดยภายในปี 2556 ได้ตั้งเป้าหมายจ่ายคืนเงินภาษีให้แก่ประชาชนไม่น้อยกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปี 2557 คาดว่ายอดการจ่ายคืนเงินภาษีจะอยู่ในระดับสูงสุด ที่ 3-3.5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณที่จะใช้ในการจ่ายคืนเงินภาษีตามโครงการดังกล่าวให้แก่ประชาชน เป็นหน้าที่ของกรมบัญชีกลางในการบริหารจัดการ โดยในปีงบประมาณ 2556 กรมบัญชีกลางได้เสนอใช้งบกลางปี วงเงิน 1.1 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในการจ่ายคืนเงินภาษีให้แก่ประชาชน ส่วนในปีงบประมาณ 2557 คาดว่าจะมีการขอใช้งบกลาง วงเงินสูงถึง 3-3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อจ่ายคืนภาษีให้แก่ประชาชน ขณะที่ปีงบประมาณ 2555 ได้มีการตั้งงบประมาณเพื่อใช้จ่ายคืนเงินภาษีให้ประชาชนอยู่ที่ 7.5 พันล้านบาท
นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตยังได้มีการขยายระยะเวลาในการยื่นเอกสารเพื่อขอใช้สิทธิในโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก โดยเปิดรับเอกสารในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 07.00-20.00 น. รวมทั้งเปิดบริการในวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ ด้วย
เนื่องจากผู้ประกอบการรถยนต์อ้างผลกระทบจากน้ำท่วม ทำให้ไม่สามารถส่งมอบรถให้ผู้ซื้อรถคันแรกได้ทันภายในปีนี้ กรมสรรพสามิต จึงขยายโครงการรถคันแรกออกไปอีก 3 เดือน ถึงเดือนมี.ค.2556 จากเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.2555 เพื่อให้ผู้ที่ถือใบจองรถภายในปีนี้ สามารถรับรถภายในเดือนมีนาคมปีหน้า
ผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาดค้าปลีก บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด เผยถึงทิศทางความต้องการใช้พลังงาน โดยเฉพาะพลังงานน้ำมันในปี 2556 จะมีความต้องการสูงมากกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีอัตราเติบโตที่ 4.5%
การเพิ่มขึ้นของปริมาณรถยนต์จากโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาล คาดว่าจะส่งผลให้อัตราความต้องการใช้น้ำมันเติบโตขึ้นเพิ่มเป็น 5—6% สูงขึ้นกว่าการเติบโตของการขยายตัวทางเศรษฐกิจเสียอีก
หากมองเผินๆตื่นๆ เอาแต่ได้แล้ว โครงการประชานิยมของรัฐบาลนี้ดูเหมือนว่าจะดี เพราะทำให้คนมีรายได้น้อย สามารถมีรถเป็นของตัวเองได้อย่างไม่ยากเย็น แถมได้เงินคืนอีกต่างหาก ฟังดูแล้วมันช่างดีเหลือเกิน
แต่ความจริงแล้ว โครงการนี้จะสร้างความเสียหายต่อประชาชน และจะก่อปัญหาตามมาอีกมากมายรัฐบาลควักเงินจากภาษีชาวบ้านมาละเลงเล่นเพื่อผลประโยชน์ประชานิยมทางการเมือง ผลประโยชน์ของบริษัทผลิตและขายรถยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทุนต่างชาติ ที่สำคัญรถทุกคันจะวิ่งได้ต้องเติมพลังงาน ราคาน้ำมันและแก๊สในบ้านเราราคาแพงรีดเลือดเนื้อประชาชนเลือดซิบๆทีเดียว คนได้ประโยชน์มหาศาลคือบริษัทน้ำมัน
ไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ที่หาวิธีให้ประชาชนเดินทางสะดวกด้วยการให้ประชาชนซื้อรถ เพราะเป็นการเพิ่มจำนวนรถบนถนน ทำให้เกิดรถติดหนักกว่าเดิม ก่อมลภาวะอากาศเป็นพิษในเมืองอย่างหนัก สำหรับเมืองใหญ่ในประเทศไทย เวลานี้มีปัญหารถติดหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ชีวิตคน ในกรุงเทพฯต้องทนรถติดอยู่บนถนนวันละสามสี่ชั่วโมง ลามไปชานเมืองรอบกรุงเทพฯและเมืองใหญ่อื่นๆอย่างเชียงใหม่ หาดใหญ่ หรือแม้แต่เมืองที่เคยสงบอย่างสงขลา เดี่ยวนี้ก็มีสภาพรถติด
ประเทศอื่นๆที่ไม่ใช่ประเทศไทยวิธีแก้ปัญหาของเขาคือการวางระบบขนส่งมวลชนที่ดี เอาเงินงบประมาณไปลงทุนในการทำรถไฟฟ้าความเร็วสูง หรือปรับปรุงรถเมล์ให้ดีขึ้น
ก็รู้ๆกันอยู่ว่าระบบขนส่งมวลชนบ้านเราห่วยขนาดไหน รัฐบาลควรใส่ใจเอาเงินงบประมาณมาแก้ปัญหา เป็นบริการพื้นฐานของรัฐในการดูแลประชาชน
ดูกันไป ไม่ต้องยาวนักหรอกครับ เราจะได้เห็นชีวิตคนที่เป็นหนี้จากโครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาล ไหนจะต้องผ่อนรถ ไหนจะต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงหูฉี่ ไหนจะค่าซ่อมบำรุง ไหนจะอุบัติเหตุบนท้องถนน ปริมาณรถยนต์จะเพิ่มบนถนนอีกอย่างน้อยๆก็หลักแสนคัน จราจรติดขัดสาหัสกว่าเดิม งานนี้ดูไม่จืดเลยทีเดียว
โครงการรถคันแรกนั้น เป็นนโยบายประชานิยม พรรคเพื่อไทยหวังสร้างภาพหวังผลการหาเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไป เอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจน้ำมันและพลังงานเติบโตขึ้นอย่างมหาศาล อย่างที่เรารู้ๆกันผู้ที่มีหุ้นหรือผู้บริหารบริษัทเหล่านี้ก็หนีไม่พ้นกลุ่มทุนหรือกลุ่มของนักการเมือง ที่พร้อมจะกอบโกยเงินทองจากกระเป๋าประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อ มาเข้ากระเป๋าตัวเอง เป็นการปล้นประชาชนอย่างเหี้ยมโหดชัดๆ
ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ได้มีงานมหกรรมยานยนต์อย่างมอเตอร์เอ็กซ์โป ซึ่งงานนี้จัดขึ้นทุกๆปีในช่วงเวลาใกล้ๆปีใหม่ตอนต้นเดือนธันวาคม ล่าสุดยอดขายรถในงานนี้สูงถึงแปดหมื่นคัน
ทั้งสองงานนี้จัดที่อิมแพ็คเมืองทองธานี และเป็นงานที่มีคนเข้าชมเยอะมากทุกๆปี และทำให้รถติดขนาดหนักทุกครั้งที่มีงาน ยิ่งใครมีบ้านอยู่แถวแจ้งวัฒนะหรือเมืองทองด้วยแล้ว ต้องเซ็งกับการขับรถในช่วงเวลาที่มีการจัดงาน
คนไทยปั่นป่วนกับการซื้อรถใหม่ ตามนโยบายประชานิยมรถคันแรกของรัฐบาลชุดนี้ เริ่ม มาตั้งแต่ 16 กันยายน 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2555 เรียกว่ามีการซื้อรถใหม่กันถล่มทลาย เพราะฟังดูสวยหรูยั่วต่อมกิเลสกันมาพักใหญ่
รัฐบาลจะคืนภาษีสำหรับคนที่ซื้อรถคันแรก โดยมุ่งเน้นไปที่รถประหยัดน้ำมัน รถอีโคคาร์ หรือรถขนาดเล็กนั่นแหละครับ
หลักการคืนเงินของโครงการรถคันแรก ต้องเป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อ ต้องทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2554-31 ธันวาคม พ.ศ.2555 เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถกระบะ (Pick up)/รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab) เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ
รัฐบาลจะจ่าย คืนเงินให้ผู้ซื้อรถเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี หากผู้ซื้อรถไม่สามารถผ่อนต่อได้ หรือมีเหตุอย่างอื่น จะต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับให้กรมสรรพสามิต หากไม่ดำเนินการ ทางกรมสรรพสามิตจะใช้วิธีการทางศาล เพื่อให้สั่งให้คืนทะเบียนรถยนต์ การคืนเงินจะคืนเมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปีไปแล้ว โดยจะเริ่มจ่ายคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป ซึ่งกรมสรรพสามิตจะจ่ายผ่านทางเช็คเงินสดครั้งเดียวเต็มจำนวน
รัฐบาลควักเงินจากภาษีชาวบ้านมาละเลงเล่นเพื่อผลประโยชน์ประชานิยทางการเมือง ผลประโยชน์ชองบริษัทผลิตและขายรถยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทุนต่างชาติ ที่สำคัญรถทุกคันจะวิ่งได้ต้องเติมพลังงาน บริษัทขายน้ำมันรายได้เพิ่มอีกมหาศาล
รัฐอนุมัติและจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 100 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอนุมัติและจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 จำนวน 30,000 ล้านบาท เพื่อคืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรกเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินคันละ 100,000 บาท
รายงานข่าวจากกรมสรรพสามิต ระบุว่า ขณะนี้ยอดการขอใช้สิทธิในโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก ไม่เกิน 1 แสนบาท อยู่ที่ 8.5 แสนราย คิดเป็นเงินภาษีที่ต้องคืนประมาณ 7.6 หมื่นล้านบาท คาดว่าภายหลังสิ้นสุดโครงการ ในวันที่ 31 ธ.ค.2555 จะมีประชาชนทยอยขอใช้สิทธิในโครงการดังกล่าว ไม่ต่ำกว่า 9 แสนราย ซึ่งคิดเป็นเงินภาษีที่ต้องคืน ไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นล้านบาท
กรมสรรพสามิตได้ทยอยจ่ายเงินภาษีคืนให้แก่ประชาชนที่ถือครองสิทธิครบ 1 ปี ไปแล้ว ทั้งสิ้น 3.1 หมื่นราย คิดเป็นเงินภาษีทั้งสิ้น 2.3 พันล้านบาท โดยภายในปี 2556 ได้ตั้งเป้าหมายจ่ายคืนเงินภาษีให้แก่ประชาชนไม่น้อยกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปี 2557 คาดว่ายอดการจ่ายคืนเงินภาษีจะอยู่ในระดับสูงสุด ที่ 3-3.5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณที่จะใช้ในการจ่ายคืนเงินภาษีตามโครงการดังกล่าวให้แก่ประชาชน เป็นหน้าที่ของกรมบัญชีกลางในการบริหารจัดการ โดยในปีงบประมาณ 2556 กรมบัญชีกลางได้เสนอใช้งบกลางปี วงเงิน 1.1 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในการจ่ายคืนเงินภาษีให้แก่ประชาชน ส่วนในปีงบประมาณ 2557 คาดว่าจะมีการขอใช้งบกลาง วงเงินสูงถึง 3-3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อจ่ายคืนภาษีให้แก่ประชาชน ขณะที่ปีงบประมาณ 2555 ได้มีการตั้งงบประมาณเพื่อใช้จ่ายคืนเงินภาษีให้ประชาชนอยู่ที่ 7.5 พันล้านบาท
นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตยังได้มีการขยายระยะเวลาในการยื่นเอกสารเพื่อขอใช้สิทธิในโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก โดยเปิดรับเอกสารในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 07.00-20.00 น. รวมทั้งเปิดบริการในวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ ด้วย
เนื่องจากผู้ประกอบการรถยนต์อ้างผลกระทบจากน้ำท่วม ทำให้ไม่สามารถส่งมอบรถให้ผู้ซื้อรถคันแรกได้ทันภายในปีนี้ กรมสรรพสามิต จึงขยายโครงการรถคันแรกออกไปอีก 3 เดือน ถึงเดือนมี.ค.2556 จากเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.2555 เพื่อให้ผู้ที่ถือใบจองรถภายในปีนี้ สามารถรับรถภายในเดือนมีนาคมปีหน้า
ผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาดค้าปลีก บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด เผยถึงทิศทางความต้องการใช้พลังงาน โดยเฉพาะพลังงานน้ำมันในปี 2556 จะมีความต้องการสูงมากกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีอัตราเติบโตที่ 4.5%
การเพิ่มขึ้นของปริมาณรถยนต์จากโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาล คาดว่าจะส่งผลให้อัตราความต้องการใช้น้ำมันเติบโตขึ้นเพิ่มเป็น 5—6% สูงขึ้นกว่าการเติบโตของการขยายตัวทางเศรษฐกิจเสียอีก
หากมองเผินๆตื่นๆ เอาแต่ได้แล้ว โครงการประชานิยมของรัฐบาลนี้ดูเหมือนว่าจะดี เพราะทำให้คนมีรายได้น้อย สามารถมีรถเป็นของตัวเองได้อย่างไม่ยากเย็น แถมได้เงินคืนอีกต่างหาก ฟังดูแล้วมันช่างดีเหลือเกิน
แต่ความจริงแล้ว โครงการนี้จะสร้างความเสียหายต่อประชาชน และจะก่อปัญหาตามมาอีกมากมายรัฐบาลควักเงินจากภาษีชาวบ้านมาละเลงเล่นเพื่อผลประโยชน์ประชานิยมทางการเมือง ผลประโยชน์ของบริษัทผลิตและขายรถยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทุนต่างชาติ ที่สำคัญรถทุกคันจะวิ่งได้ต้องเติมพลังงาน ราคาน้ำมันและแก๊สในบ้านเราราคาแพงรีดเลือดเนื้อประชาชนเลือดซิบๆทีเดียว คนได้ประโยชน์มหาศาลคือบริษัทน้ำมัน
ไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ที่หาวิธีให้ประชาชนเดินทางสะดวกด้วยการให้ประชาชนซื้อรถ เพราะเป็นการเพิ่มจำนวนรถบนถนน ทำให้เกิดรถติดหนักกว่าเดิม ก่อมลภาวะอากาศเป็นพิษในเมืองอย่างหนัก สำหรับเมืองใหญ่ในประเทศไทย เวลานี้มีปัญหารถติดหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ชีวิตคน ในกรุงเทพฯต้องทนรถติดอยู่บนถนนวันละสามสี่ชั่วโมง ลามไปชานเมืองรอบกรุงเทพฯและเมืองใหญ่อื่นๆอย่างเชียงใหม่ หาดใหญ่ หรือแม้แต่เมืองที่เคยสงบอย่างสงขลา เดี่ยวนี้ก็มีสภาพรถติด
ประเทศอื่นๆที่ไม่ใช่ประเทศไทยวิธีแก้ปัญหาของเขาคือการวางระบบขนส่งมวลชนที่ดี เอาเงินงบประมาณไปลงทุนในการทำรถไฟฟ้าความเร็วสูง หรือปรับปรุงรถเมล์ให้ดีขึ้น
ก็รู้ๆกันอยู่ว่าระบบขนส่งมวลชนบ้านเราห่วยขนาดไหน รัฐบาลควรใส่ใจเอาเงินงบประมาณมาแก้ปัญหา เป็นบริการพื้นฐานของรัฐในการดูแลประชาชน
ดูกันไป ไม่ต้องยาวนักหรอกครับ เราจะได้เห็นชีวิตคนที่เป็นหนี้จากโครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาล ไหนจะต้องผ่อนรถ ไหนจะต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงหูฉี่ ไหนจะค่าซ่อมบำรุง ไหนจะอุบัติเหตุบนท้องถนน ปริมาณรถยนต์จะเพิ่มบนถนนอีกอย่างน้อยๆก็หลักแสนคัน จราจรติดขัดสาหัสกว่าเดิม งานนี้ดูไม่จืดเลยทีเดียว
โครงการรถคันแรกนั้น เป็นนโยบายประชานิยม พรรคเพื่อไทยหวังสร้างภาพหวังผลการหาเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไป เอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจน้ำมันและพลังงานเติบโตขึ้นอย่างมหาศาล อย่างที่เรารู้ๆกันผู้ที่มีหุ้นหรือผู้บริหารบริษัทเหล่านี้ก็หนีไม่พ้นกลุ่มทุนหรือกลุ่มของนักการเมือง ที่พร้อมจะกอบโกยเงินทองจากกระเป๋าประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อ มาเข้ากระเป๋าตัวเอง เป็นการปล้นประชาชนอย่างเหี้ยมโหดชัดๆ