กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา วันสำคัญวันหนึ่งคือวันที่มีการพิจารณาคำสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวนายจุตพรและพวก เนื่องจากมีพฤติกรรมเข้าข่ายผิดเงื่อนไขการให้ประกันตัว โดยขึ้นเวทีปราศรัยที่บริเวณหน้ารัฐสภา กล่าวโจมตีข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้อง ขอให้วินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ๖๘ เป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่
ในการนัดฟังคำตัดสิน บรรยากาศหน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก มีกลุ่มเสื้อแดงหลายร้อยคนเดินทางมาให้กำลังใจแกนนำ ทุกคนชุมนุมอย่างสงบ ไม่ใช้เครื่องขยายเสียง แต่มีการนำรถมาจอดริมฟุตบาทรวมทั้งตั้งเต็นท์ขนาดใหญ่บนผิวจราจร ๒ ช่องทาง เพื่อให้มวลชนหลบแดด รวมทั้งเป็นเต็นท์พยาบาลดูแลผู้ชุมนุมส่งผลให้ถนนรัชดาภิเษกดังกล่าวการจราจรติดขัดทั้งวัน
เมื่อได้เวลา ทีมงานกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ประกอบด้วย นายนิพิฏฐ์ พร้อมด้วย ส.ส.จำนวนหนึ่งก็เดินทางมาถึงศาล ขณะที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของ นายยศวริศ ชูกล่อม เตรียมพยานเบิกความ ๓ ปาก ประกอบด้วย พ.ต.อ.ไกรเลิศ บัวแก้ว รองผบก.น ๑ ซึ่งควบคุมสถานการณ์การชุมนุมวันที่ ๗มิ.ย. ที่หน้ารัฐสภา นายฐานิสร์ เทียนทอง รมช.มหาดไทย ในฐานะผู้บังคับบัญชาของ นายยศวริศและนายจรินทร์ สวนแก้ว ประธานมูลนิธิ ๕ ธันวามหาราช พร้อมทั้งเตรียมวีซีดีบันทึกการปราศรัยเมื่อวันที่ ๗ มิ.ย.ช่วงที่ขึ้นเวทีกล่าวขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญความยาว ๓ นาที และเอกสารถอดคำปราศรัย
นายยศวริศแถลงต่อศาลว่า การปราศรัยเป็นการพูดตามสไตล์ตลก แต่หลังเกิดเหตุได้กล่าวขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อหน้าประชาชนจำนวนมาก และบอกกับประชาชนว่าอย่าโทรศัพท์ไปก่อกวนครอบครัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่มีใครโทรศัพท์ไปรบกวนตุลาการและครอบครัว ที่สำคัญหมายเลขโทรศัพท์ที่นำไปประกาศก็ไม่ได้ตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่ ยืนยันว่าไม่มีเจตนายุยงปลุกปั่นสร้างความวุ่นวาย ในทางกลับกันได้ประสานกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมบริเวณหน้าศาลอาญา โดยขอให้อยู่ในระเบียบวินัยของศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้มีรัฐบาลเพื่อไทยและตนเป็นสมาชิกอยู่ รวมทั้งตนมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการ รมว.มหาดไทย จึงไม่มีเจตนากระทำวุ่นวาย ไม่เคยใช้จ้างวานยุยงใช้ใครไปข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีแต่จะห้ามปรามไม่ให้ก่อกวน วันนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากขอความเมตตาจากศาล หากมีการกระทำผิดก็ขออภัยและน้อมรับปฏิบัติตามคำสั่งศาลอย่างเต็มใจและเคร่งครัด
ขณะที่พยานคือ นายวิญญัติเปิดหลักฐานวีซีดีวันปราศรัยให้ศาลดูเพิ่มเติม จากนั้นนำนายฐานิสร์แถลงต่อศาลว่า จากการทำงานร่วมกับนายยศวริศเป็นเวลา ๑ ปี เห็นว่าเป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง อารมณ์ดี ไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าวและไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม ส่วนการวิจารณ์การทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าสามารถทำได้และที่ผ่านมาก็มีนักวิชาการวิจารณ์จำนวนมาก
พ.ต.อ.ไกรเลิศแถลงว่า วันที่ ๗-๘ มิ.ย. ตนอยู่ในพื้นที่ตลอด ตั้งแต่เริ่มชุมนุมจนถึงยุติการชุมนุม ตนได้รับรายงานว่า มีการนำใบปลิวระบุหมายเลขโทรศัพท์ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาที่ข้างเวที จึงให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและตามเก็บแต่ไม่ทัน ขณะที่ปราศรัยของนายยศวริศในช่วงเย็นมีกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งเป็นกลุ่มรากหญ้า จึงไม่ได้สนใจรายละเอียดหมายเลขโทรศัพท์ แต่ผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นตั้งแต่ ๒๐.๐๐-๒๒.๐๐น. ซึ่งเป็นช่วงที่นายยศวริศขึ้นกล่าวขอโทษ จากนั้นตำรวจได้มีการถอดเทปเกี่ยวกับการปราศรัย
นายจรินทร์ แถลงเป็นปากสุดท้ายว่า เคยเชิญนายยศวริศช่วยดูแลงานเฉลิมพระเกียรติ ๑๒ สิงหาฯโดยมอบหมายให้ดูแลเรื่องตลก นายยศวริศร่วมงานเต็มที่มาโดยตลอด
หลังจากนั้นนายนิพิฏฐ์ผู้ร้องแถลงว่า ได้ยื่นคำร้องและวีซีดีบันทึกคำปราศรัยของนายยศวริศ ๕ ครั้งเป็นการกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนในการทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรม บางครั้งวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของกกต.และป.ป.ช.โดยเฉพาะการปราศรัยเมื่อวันที่ ๕ ก.ค.ที่ จ.สมุทรปราการ มีการกล่าวถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทำนองว่า ส่วนใหญ่เป็นคนแก่ๆ ก็ควรอยู่ให้ลูกหลานสรรเสริญ แต่ตุลาการกลับมีคนก่นด่าสาปแช่งทุกวัน ตนเห็นว่าไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต ถึงเวลา ๑๕.๐๐น. ศาลอ่านคำสั่งว่าเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญและนายนิพิฏฐ์มีอำนาจยื่นคำร้องขอเพิกถอนการปล่อยตัวและศาลมีอำนาจพิจารณาเพิกถอนคำสั่ง ทั้งนี้ศาลเห็นว่าจำเลยอื่นที่ไม่ใช่นายจตุพรกับนายยศวริศแม้จะมีการปราศรัยจริง แต่ไม่ปรากฏเหตุว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไข จึงยกคำร้อง ส่วนนายจตุพรกล่าวถ้อยคำมีลักษณะเสียดสีประชดประชันไม่พอใจการทำงานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเพียงคำไม่สุภาพหยาบคายเท่านั้นยังไม่เป็นการก่อให้เกิดอันตราย จึงยกคำร้อง
ส่วนนายยศวริศเห็นว่า จำเลยรับว่าเป็นคนพูดในภาพวีดีโอขณะปราศรัยจริงแม้อ้างว่าเป็นการพูดเชิงสนุกสนาน และพูดขณะมีคนน้อยและได้ขอขมาแล้วแต่เป็นคำพูดในลักษณะให้คนที่อยู่ในอารมณ์เกลียดชังตุลาการฟัง ทำให้เกิดการกดดันและคุกคามศาลรัฐธรรมนูญ ถึงจำเลยจะขอขมาแต่ก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ จึงมีคำสั่งเพิกถอนประกันนายยศวริศ
ในการนัดฟังคำตัดสิน บรรยากาศหน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก มีกลุ่มเสื้อแดงหลายร้อยคนเดินทางมาให้กำลังใจแกนนำ ทุกคนชุมนุมอย่างสงบ ไม่ใช้เครื่องขยายเสียง แต่มีการนำรถมาจอดริมฟุตบาทรวมทั้งตั้งเต็นท์ขนาดใหญ่บนผิวจราจร ๒ ช่องทาง เพื่อให้มวลชนหลบแดด รวมทั้งเป็นเต็นท์พยาบาลดูแลผู้ชุมนุมส่งผลให้ถนนรัชดาภิเษกดังกล่าวการจราจรติดขัดทั้งวัน
เมื่อได้เวลา ทีมงานกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ประกอบด้วย นายนิพิฏฐ์ พร้อมด้วย ส.ส.จำนวนหนึ่งก็เดินทางมาถึงศาล ขณะที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของ นายยศวริศ ชูกล่อม เตรียมพยานเบิกความ ๓ ปาก ประกอบด้วย พ.ต.อ.ไกรเลิศ บัวแก้ว รองผบก.น ๑ ซึ่งควบคุมสถานการณ์การชุมนุมวันที่ ๗มิ.ย. ที่หน้ารัฐสภา นายฐานิสร์ เทียนทอง รมช.มหาดไทย ในฐานะผู้บังคับบัญชาของ นายยศวริศและนายจรินทร์ สวนแก้ว ประธานมูลนิธิ ๕ ธันวามหาราช พร้อมทั้งเตรียมวีซีดีบันทึกการปราศรัยเมื่อวันที่ ๗ มิ.ย.ช่วงที่ขึ้นเวทีกล่าวขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญความยาว ๓ นาที และเอกสารถอดคำปราศรัย
นายยศวริศแถลงต่อศาลว่า การปราศรัยเป็นการพูดตามสไตล์ตลก แต่หลังเกิดเหตุได้กล่าวขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อหน้าประชาชนจำนวนมาก และบอกกับประชาชนว่าอย่าโทรศัพท์ไปก่อกวนครอบครัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่มีใครโทรศัพท์ไปรบกวนตุลาการและครอบครัว ที่สำคัญหมายเลขโทรศัพท์ที่นำไปประกาศก็ไม่ได้ตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่ ยืนยันว่าไม่มีเจตนายุยงปลุกปั่นสร้างความวุ่นวาย ในทางกลับกันได้ประสานกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมบริเวณหน้าศาลอาญา โดยขอให้อยู่ในระเบียบวินัยของศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้มีรัฐบาลเพื่อไทยและตนเป็นสมาชิกอยู่ รวมทั้งตนมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการ รมว.มหาดไทย จึงไม่มีเจตนากระทำวุ่นวาย ไม่เคยใช้จ้างวานยุยงใช้ใครไปข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีแต่จะห้ามปรามไม่ให้ก่อกวน วันนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากขอความเมตตาจากศาล หากมีการกระทำผิดก็ขออภัยและน้อมรับปฏิบัติตามคำสั่งศาลอย่างเต็มใจและเคร่งครัด
ขณะที่พยานคือ นายวิญญัติเปิดหลักฐานวีซีดีวันปราศรัยให้ศาลดูเพิ่มเติม จากนั้นนำนายฐานิสร์แถลงต่อศาลว่า จากการทำงานร่วมกับนายยศวริศเป็นเวลา ๑ ปี เห็นว่าเป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง อารมณ์ดี ไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าวและไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม ส่วนการวิจารณ์การทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าสามารถทำได้และที่ผ่านมาก็มีนักวิชาการวิจารณ์จำนวนมาก
พ.ต.อ.ไกรเลิศแถลงว่า วันที่ ๗-๘ มิ.ย. ตนอยู่ในพื้นที่ตลอด ตั้งแต่เริ่มชุมนุมจนถึงยุติการชุมนุม ตนได้รับรายงานว่า มีการนำใบปลิวระบุหมายเลขโทรศัพท์ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาที่ข้างเวที จึงให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและตามเก็บแต่ไม่ทัน ขณะที่ปราศรัยของนายยศวริศในช่วงเย็นมีกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งเป็นกลุ่มรากหญ้า จึงไม่ได้สนใจรายละเอียดหมายเลขโทรศัพท์ แต่ผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นตั้งแต่ ๒๐.๐๐-๒๒.๐๐น. ซึ่งเป็นช่วงที่นายยศวริศขึ้นกล่าวขอโทษ จากนั้นตำรวจได้มีการถอดเทปเกี่ยวกับการปราศรัย
นายจรินทร์ แถลงเป็นปากสุดท้ายว่า เคยเชิญนายยศวริศช่วยดูแลงานเฉลิมพระเกียรติ ๑๒ สิงหาฯโดยมอบหมายให้ดูแลเรื่องตลก นายยศวริศร่วมงานเต็มที่มาโดยตลอด
หลังจากนั้นนายนิพิฏฐ์ผู้ร้องแถลงว่า ได้ยื่นคำร้องและวีซีดีบันทึกคำปราศรัยของนายยศวริศ ๕ ครั้งเป็นการกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนในการทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรม บางครั้งวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของกกต.และป.ป.ช.โดยเฉพาะการปราศรัยเมื่อวันที่ ๕ ก.ค.ที่ จ.สมุทรปราการ มีการกล่าวถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทำนองว่า ส่วนใหญ่เป็นคนแก่ๆ ก็ควรอยู่ให้ลูกหลานสรรเสริญ แต่ตุลาการกลับมีคนก่นด่าสาปแช่งทุกวัน ตนเห็นว่าไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต ถึงเวลา ๑๕.๐๐น. ศาลอ่านคำสั่งว่าเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญและนายนิพิฏฐ์มีอำนาจยื่นคำร้องขอเพิกถอนการปล่อยตัวและศาลมีอำนาจพิจารณาเพิกถอนคำสั่ง ทั้งนี้ศาลเห็นว่าจำเลยอื่นที่ไม่ใช่นายจตุพรกับนายยศวริศแม้จะมีการปราศรัยจริง แต่ไม่ปรากฏเหตุว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไข จึงยกคำร้อง ส่วนนายจตุพรกล่าวถ้อยคำมีลักษณะเสียดสีประชดประชันไม่พอใจการทำงานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเพียงคำไม่สุภาพหยาบคายเท่านั้นยังไม่เป็นการก่อให้เกิดอันตราย จึงยกคำร้อง
ส่วนนายยศวริศเห็นว่า จำเลยรับว่าเป็นคนพูดในภาพวีดีโอขณะปราศรัยจริงแม้อ้างว่าเป็นการพูดเชิงสนุกสนาน และพูดขณะมีคนน้อยและได้ขอขมาแล้วแต่เป็นคำพูดในลักษณะให้คนที่อยู่ในอารมณ์เกลียดชังตุลาการฟัง ทำให้เกิดการกดดันและคุกคามศาลรัฐธรรมนูญ ถึงจำเลยจะขอขมาแต่ก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ จึงมีคำสั่งเพิกถอนประกันนายยศวริศ
