xs
xsm
sm
md
lg

จากรูปโป๊ถึงธิดา : วิถีเผด็จการรัฐสภา

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

รัฐสภาก็คือภาพสะท้อนของประชาชนคนส่วนใหญ่ในประเทศ ตามคำกล่าวที่ว่า “ประชาชนเป็นแบบใด ส.ส.ของพวกเขาก็เป็นแบบนั้น”ซึ่งที่สุดแล้วต้องยอมรับความจริงโดยดีว่ารัฐสภาไทยยังห่างไกลจากเส้นมาตรฐานที่ได้การยอมรับจากสากลในฐานะศูนย์กลางอำนาจของประชาชนและยังเป็นหลักของอำนาจอธิปไตยทางด้านนิติบัญญัติ เพื่อการถ่วงดุลและคานอำนาจซึ่งกันและกันในทางทฤษฎี

โลกประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า ไม่มีหรอกครับที่ประชาชนสังคมภายนอกจะวางเฉยกับพฤติกรรมแปลกประหลาดขาดความรับผิดชอบ ถ่อยสถุลขาดจรรยาบรรณแบบที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายคราในรัฐสภา ไม่ใช่เฉพาะเรื่องดูภาพโป๊ผ่านมือถือที่กำลังดราม่ากันอยู่หรอกนะ แต่สังคมของเขาจะไม่ยอมรับพฤติกรรมแบบเดียวกันไม่ว่าการตะโกนแจกของลับระหว่างการประชุม การเมาหรือแอบดื่มตามห้องกรรมาธิการระหว่างประชุม การโดดประชุมแล้วเสียบบัตรแทนกัน ไปจนถึงอากัปกริยาถ่อยสถุลแบบที่ไปกระโดดเตะชาวบ้าน ฯลฯ

การควบคุมพฤติกรรมและจริยธรรมกันเองของสมาชิกรัฐสภาเป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้นเพราะคนแสดงไม่ได้เชื่อมั่นและศรัทธาใน “หลักการ” ที่ตนอ้างอิง อย่างฝ่ายเพื่อไทยแต่ละคนทำท่ายังกะสมภารเพิ่งสึกออกมายอมไม่ได้ที่ ส.ส.ปชป.ดูภาพโป๊ระหว่างประชุมอ้างไปถึงกาลเทศะทำเสื่อมเสียจริยธรรมบ้างให้ลาออก แต่พอพวกเดียวกันแจกอวัยวะลั่นห้องประชุมไอ้เจ้าพวกนี้ก็เงียบเป็นเป่าสากราว ทั้งๆ ที่อวัยวะดังกล่าวเพิ่งจะทะลุรูหูของตัวเองไปหยกๆ เช่นเดียวกับฝั่ง ปชป. ที่ออกมาปกป้องคนของตัวแล้วก็จะเป็นจะตายเมื่อ ส.ส.เพื่อไทยพลาดในเรื่องแบบนี้

มีแต่ประชาชนในสังคมเท่านั้นที่จะกดดันและแสดงความต้องการว่าอยากเห็นระดับมาตรฐานทางจริยธรรมขนาดไหนแบบไหนที่ต้องขอโทษแบบไหนที่ต้องลงโทษ สังคมที่มีพื้นฐานวัฒนธรรมประชาธิปไตยเข้มแข็งเท่านั้นจึงจะสามารถกดดันผู้แทนประชาชนในรัฐสภาให้อยู่ในร่องในรอย ให้อยู่ภายใต้การกำกับของหลักจริยธรรมทั้งแบบที่เขียนไว้และไม่ได้เขียน ไม่ให้เล่นลิ้นตะแบงเหมือนศรีธนนไชย เห็นการตะแบงเป็นเรื่องสนุกเช่นพ่อไอ้ปื๊ดไม่มีวันกลัวการตรวจสอบว่าเมาหรือไม่เมา เล่นลิ้นสนุกกับโรคหูอักเสบอะไรของเขาไปได้เรื่อย ๆ

ยอมรับว่าพัฒนาการของสังคมประชาธิปไตยบ้านเราไม่ได้หยุดนิ่งดอกนะครับ มันก็มีความก้าวหน้าของมันไปตามประสา ตัวอย่างเช่นกรณีส.ส.เพื่อไทยเมืองปทุมธานีถูกคนเสื้อแดงลงโทษเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เมื่อพิจารณาลึกลงไปสาเหตุหลักของการลงโทษคือข้อหาที่ไม่ได้ดูแลประชาชนใกล้ชิด คือไม่ได้ทำหน้าที่รับใช้บริการอำนวยความสะดวก เปรียบเทียบกับประชาชนส่วนใหญ่แทบไม่ได้ให้น้ำหนักความสนใจกับ ส.ส.แจกอวัยวะ ส.ส.ดูภาพโป๊ ส.ส.โดดประชุม ส.ส.เสียบบัตรแทน ฯลฯ และที่สำคัญคือ ส.ส.ที่ไม่มีความคิดเห็นของตัวเอง ไปนั่งเพื่อรอยกมือตามสั่ง สะท้อนได้ว่าความต้องการและคาดหวังของประชาชนในสังคมต่อกระบวนการประชาธิปไตยแบบบ้านเราแม้จะเดินหน้าไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ก้าวหน้าอย่างที่สังคมประชาธิปไตยเข้มแข็งเขาเป็นกัน

อาจเพราะสังคมและประชาชนส่วนใหญ่ของเรายังไม่ได้ต้องการประชาธิปไตยที่ฝังลึกเป็นวิถีวัฒนธรรม ดังนั้นจึงพอใจอยู่กับแค่รูปแบบพิธีกรรม แค่มีการเลือกตั้งแบบที่ได้เลือกเองกับมือ ถ้ามันไม่บริการไม่มาดูแลก็สั่งสอนไม่เลือกซ้ำเป็นพอ ซึ่งถามว่าดีกว่าสมัยเผด็จการทหารหรืออำมาตยาธิปไตยยุคหลัง พ.ศ.2500 มั้ย ? ก็ต้องตอบว่าดีกว่าอย่างแน่นอน แต่ทว่ามันยังไม่เพียงพอ ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างคนในประเทศระยะที่ผ่านมาส่วนหนึ่งมาจากระดับความคาดหวังและความต้องการทางการเมืองที่แตกต่างกันในหมู่คน

ภายใต้สภาพแวดล้อมของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการประชาธิปไตยแบบพิธีกรรมที่มีผู้แทนเพื่อการดูแลบริการและนโยบายรัฐประชานิยม จึงเป็นปุ๋ยชั้นดีให้กับเผด็จการรัฐสภาให้เติบโตขึ้น กลายเป็นสภาที่ไม่ต้องแยแสสนใจหลักการ เห็นจริยธรรมเป็นเครื่องละเล่น ไม่มีแรงกดดันคาดหวังต่อการแสดงทัศนะจุดยืนของสมาชิกสภาแบบว่าวันโน้นพูดอย่างวันนี้ลงมติอย่าง ช่างฉันใครจะทำไม

จริงอยู่ครับไม่ว่ารัฐสภาแบบประชาะธิปไตยของที่ใดย่อมต้องใช้เสียงข้างมากในการตัดสินใจไปทางใดทางหนึ่ง แต่มันต้องอยู่บนการพิจารณาถกเถียงแบบเปิดท่ามกลางการเฝ้าดูติดตามของสังคมภายนอก สมาชิกแต่ละคนต้องแสดงจุดยืน ใครที่เคยพูดแบบไหนไว้มาพลิกลิ้นตลบตะแลงไม่ได้เพราะระบบการบันทึกของเขามีประสิทธิภาพเอามาประจานต่อสังคมมีผลต่อการเลือกตั้งได้ทันที หลักการและเหตุผลที่แสดงผ่านสภาเป็นเรื่องจริงจังเพราะเป็นการพูดให้สังคมได้ยินและร่วมตัดสินใจ

การลงมติเสียงข้างมากของเขาจึงเป็นการลงมติที่ต้องแคร์กับสังคมอย่างยิ่ง ขณะที่เผด็จการรัฐสภาจะลงมติโดยไม่ต้องแคร์ใดๆ ไม่ต้องสนใจหลักการ ไม่ต้องสนใจเหตุผล ไม่ต้องยี่หระแยแสใดๆ เพราะมีประชาชนที่ไม่สนใจเรื่องยากๆ เหล่านี้ไว้หนุนหลังอยู่แล้ว

เรื่องการดูภาพโป๊เป็นเรื่องเล็กๆ ที่แม้สะท้อนความพิกลพิการของรัฐสภาแต่ก็สะท้อนมุมเล็กๆ ไม่เหมือนกับการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่ใหญ่กว่า.. ใหญ่มากจริงๆ เพราะมาตรานี้มาตราเดียวสามารถกำหนดหน้าตาของ ส.ส.ร.ไปจนถึงเนื้อหาภายในรัฐธรรมนูญใหม่ได้เลย

ผู้รู้ท่านว่าไว้ ….

“ประชาชนเป็นแบบไหน…ส.ส.ก็จะเป็นแบบนั้น”

“ชนชั้นใดร่างกฏหมาย กฏหมายที่ออกมาก็จะรับใช้ชนชั้นนั้น”

ในเมื่อเหล่าเผด็จการรัฐสภากำหนดสเปกไว้ว่า ส.ส.ร.มีได้จังหวัดละคน เพื่อให้ง่ายต่อฝ่ายการเมืองกำหนดคะแนนบล็อกโหวตตั้งแต่ต้นทาง ส.ส.ร.ที่เป็นตัวแทนไปนั่งย่อมเป็นตัวแทนจากระบบเผด็จการรัฐสภาเสียเป็นส่วนใหญ่

ดังนั้นในเมื่อตัวแทนของเผด็จการรัฐสภาร่างกฏหมาย กฎหมายนั้นย่อมรับใช้เผด็จการรัฐสภาอยู่นั่นเอง !!

ผมไม่แปลกใจใดๆ หรอกครับที่ ส.ส.เสียงข้างมาก อุดหูนิ่งเฉยไม่หือไม่อือในระหว่างการพิจารณามาตรา 291 วาระสอง เพราะตามประสาระบบเผด็จการรัฐสภาที่ ส.ส.เป็นเพียงหุ่นยนต์รับคำสั่งว่าจะยกมือแบบไหน แต่ที่แปลกใจคือกลุ่มคนที่ประกาศตัวเป็นนักต่อสู้ เป็นนักประชาธิปไตย แกนนำมวลชนที่อยู่ข้างนอก ไม่ว่าจรัล ดิษฐาอภิชัย วิสา คัญทัพ ไปจนถึงคนสำคัญอย่างธิดา ถาวรเศรฐ ประธาน นปช.ที่เห็นพ้องต้องกันกับเทคนิคการแก้กฎหมายแบบพวกมากลากไปเพื่อส่งเสริมเผด็จการรัฐสภา

มาถึงตรงนี้ขอยืนยันอีกรอบว่าผมไม่เคยค้านการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะถือว่าเขียนได้ก็แก้ได้ ไปพูดคุยสนทนาในวงไหนงานไหนก็ยืนยันเสมอว่าไม่ค้าน แต่มีเงื่อนไขว่ากระบวนการแก้ไขต้องเป็นประชาธิปไตยโดยเนื้อหา เป็นกระบวนการที่เคารพต่อประชาชนวางอยู่บนหลักการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง และให้กระบวนการแก้ไขเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งปรากฏว่าร่างแก้ไขของธิดา นปช.กลับไม่เป็นตามที่ว่าเลยแม้แต่ข้อเดียว

ซึ่งน่าผิดหวังมากเพราะป้าคนนี้ประกาศตัวเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เชื่อในหลักการสำคัญๆ เพื่อประโยชน์ประชาชนส่วนใหญ่แต่กลับหนุนแนวทางแก้ไขที่เน้นยุทธวิธีคุมง่าย กำหนดผลง่าย ไม่ต้องแยแสประชาชนส่วนอื่นๆ ไม่ต้องเน้นการมีส่วนร่วม ไม่ต้องรับผิดชอบประชาชนโดยไม่ต้องบังคับให้ผู้สมัครแสดงวิสัยทัศน์ประกาศแนวทางการแก้ไขไว้ล่วงหน้า ฯลฯ นี่จึงเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เน้นผลรวบรัดเบ็ดเสร็จตามที่ผู้มีอำนาจต้องการบนหน้ากากประชาธิปไตยเท่านั้น หาใช่การแก้รัฐธรรมนูญบนกระบวนการประชาธิปไตยที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงไม่

เผด็จการรัฐสภาฝ่ายนักการเมือง กับองค์กรมวลชนที่สนับสนุนแนวทางเผด็จการรัฐสภาจึงสอดคล้องกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้เห็นประชาชนสีแดงลงโทษนักการเมืองที่ปทุมธานี

ก็ไม่แน่นะ ที่ต่อไปเราอาจเป็นมวลชนสีแดงฝ่ายก้าวหน้าที่เชื่อในอำนาจประชาชนจริงๆ จะลงโทษแกนนำที่เอียงข้างให้กับเผด็จการรัฐสภา (และสามีนักการเมือง-ฮา) มากกว่าประโยชน์ของฝ่ายประชาชนจริงๆ

คุณปลุกมวลชนให้ออกมาสู่กับเผด็จการอำมาตย์ทหาร แล้วพามาจมปลักกับเผด็จการรัฐสภา ไม่ได้นำพาไปสู่สถานีประชาธิปไตยที่แท้จริง คุณก็ย่อมต้องถูกมวลชนลงโทษในวันหนึ่งข้างหน้าอย่างแน่นอน !
กำลังโหลดความคิดเห็น