ปัญหาในเรื่องความขัดแย้งในเรื่องพ.ร.บ.กลาโหม ยังคงบานปลายไม่จบสิ้น ฝ่ายการเมืองก็พยายามชี้ว่า หากเป็นไปตามพ.ร.บ.กลาโหม นายกฯ กับรมว.กลาโหมก็ไม่มีอำนาจในการเข้าไปดูแลการโยกย้ายทหารและกฎหมายนั้นไม่มีธรรมาภิบาล เพราะเกิดขึ้นหลังการปฏิวัติรัฐประหาร ๑๙ ก.ย. ๒๕๔๙ และประเด็นของผบ.ทบ.พลเอกประยุทธที่กล่าวว่า การที่ทหารจะแข็งแรงหรือไม่แข็งแรงสำคัญอยู่ที่ถ้าแข็งแรงเกินไปทหารจะปฏิวัติอย่างเดียวเลยหรือ
พลเอกประยุทธยังกล่าวด้วยว่า ทำไมไม่ให้ทหารแข็งแรงเพื่อให้เขาทำหน้าที่ของเขาในการป้องกันชายแดนและการพัฒนาช่วยเหลือประชาชน ที่ผ่านมานั้นตนในฐานะผบ.ทบก็ไม่ได้มีประเด็นอะไรที่ขัดแย้งในพ.ร.บ.กลาโหม เพียงแต่มีคนมาถามตนว่ามีพ.ร.บ.กลาโหมอยู่แก้ได้หรือไม่ ตนก็ตอบว่าแก้ไม่ได้ เพราะตนเป็นคนพูดตรงไปตรงมา และขอพูดอีกครั้งว่าทหารเข็มแข็งก็เพื่อทำงานไม่ใช่เข็มแข็งเพื่อไปปฏิวัติ
ส่วนนายจตุพร พรหมพันธุ์แกนนำนปช. และส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ในเรื่องพ.ร.บ.กลาโหมนั้น ตนพูดชัดเจนหลังจากโยกย้ายนายทหารประจำปี โดยได้อธิบายว่ารัฐบาลและนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจในการโยกย้ายได้เลย เพราะโหวตเสียงอย่างไรก็แพ้เพราะมีแค่เสียงเดียวใน ๖ เสียงขอให้เข้าใจรัฐบาลด้วย เราจึงบอกว่าปัญหามาจากพ.ร.บ.กลาโหม ดังนั้น หลังน้ำลดค่อยมาสังคายนาแก้ปัญหากัน และแก้ปัญหากฎหมายที่ออกในสมัยคมช. ๑๗๗ ฉบับ ไม่ใช่แค่ฉบับเดียว
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยพยายามที่จะนำพ.ร.บ.กลาโหม เข้ามาแก้ไขในภาวะบ้านเมืองเกิดอุทกภัยร้ายแรงว่า ความพยายามเรื่องนี้เป็นประเด็นทางการเมืองหวังชำระแค้นกองทัพและคิดบัญชีในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือน พ.ค. ๕๓ และกล่าวด้วยว่า กองทัพมีพ.ร.บ.กลาโหมเพราะได้บทเรียนในยุครัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาฉวยโอกาสแทรกแซงเอาญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมรุ่นเข้ามารับตำแหน่งสำคัญในกองทัพเป็นตำแหน่งหลักทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นด้อยความสามารถ
นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการพรรคเพื่อไทยในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมายยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า ตนยืนยันว่าจะเสนอแก้พ.ร.บ.กลาโหมนี้แน่นอน แต่ไม่อยากให้กองทัพวิตกกังวลจนเกินไป ขอให้เคารพกติกา ผบ.ทบ.อย่ามาห้าม จะอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ทำให้สภาพเหมือนว่ากองทัพเป็นรัฐอิสระ ปกครองตัวเอง ห้ามรัฐบาลไปแตะต้อง ทั้งที่ต้องฟังกัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปหน่วยงานอื่นอาจขอให้ออกกฎหมายปกครองตนเองบ้าง อย่างไรก็ตามขณะนี้เป็นเพียงขั้นตอนการศึกษา ไม่ได้หมายความว่าจะต้องแก้ไข การจะแก้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความเห็นของสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่าทำเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่ทำเพื่อฝ่ายการเมือง
น.พ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีส.ส.พรรคเพื่อไทยพยายามผลักดันให้แก้ไขพ.ร.บ.กลาโหมว่า วิปรัฐบาลยังไม่ได้มีการเคลื่อนไหวหารือเรื่องนี้ เพราะยังไม่ทราบว่าเนื้อหาที่จะมีการแก้ไขเป็นอย่างไร ส่วนที่นายประชา ประสพดี ยืนยันจะนำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎรในวันที่ ๑๙ ต.ค.นั้น ก่อนที่จะนำเข้าก็มีหลายขั้นตอน และคงห้ามส.ส.ไม่ได้เพราะแต่ละคนต่างก็มีเอกสิทธิ์ในการทำงานด้านกฎหมายอยู่
พลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหมกล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้มีการแก้ไขพ.ร.บ.กลาโหมว่า ส่วนตัวปล่อยให้เป็นเรื่องที่ฝ่ายรับผิดชอบพูดกันไปและแสดงความคิดเห็นกันไปก่อน แต่หากส่วนรวมเห็นอย่างไรก็ต้องว่ากันไปตามวิถีทางการเมืองของเสียงข้างมาก ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของสภาฯ อย่าปล่อยให้เป็นเรื่องของคนคนเดียว และฝ่ายที่จะแก้ไขควรศึกษาพ.ร.บ.นี้โดยละเอียดทุกมาตรา ให้ไปดูว่าหากจะแก้ไขต้องแก้ไขตรงไหนบ้าง ไม่ใช่ดูแค่มาตราเดียว เมื่อดูในพระราชบัญญัติแล้วก็ควรดูในระเบียบกระทรวงกลาโหมที่เขียนขึ้นจากพระราชบัญญัตินี้ด้วยเป็นการศึกษาครอบคลุมทั้งหมด ถ้าแก้ไขต้องแก้ไขพร้อมกันไปซึ่งการดำเนินการต้องทำไปเพื่อส่วนรวม และควรดูให้ครบถ้วนและพูดกันทีเดียวแล้วดูว่า จุดสมดุลอยู่ที่ไหนเชื่อว่าฝ่ายทหารและฝ่ายการเมืองเห็นจุดสมดุลที่เกิดขึ้นจะเข้าใจกันและไปด้วยกันได้ อย่าเอียงขวาหรือเอียงซ้ายมากเกินไป ตนอยู่ตรงกลางถ้าเรื่องนี้มาถึงเมื่อไร ตนมีหน้าที่นำเข้าสู่ที่ประชุมสภากลาโหมเพื่อพิจารณาร่วมกันก่อน
ครับเรื่องพ.ร.บ.กลาโหมยังคงเป็นเรื่องที่มีการยื้อยุดระหว่างหลายฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองกับฝ่ายทหารโดยมีฝ่ายค้านในสภาที่คอยจ้องจับผิดกับรัฐบาลเป็นระยะๆ เพราะฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขพ.ร.บ.ฉบับนี้
เรื่องพ.ร.บ.กลาโหมนี้ถ้าเข้าถึงสภาเมื่อไรคงมีการอภิปรายกันเผ็ดร้อนแน่
พลเอกประยุทธยังกล่าวด้วยว่า ทำไมไม่ให้ทหารแข็งแรงเพื่อให้เขาทำหน้าที่ของเขาในการป้องกันชายแดนและการพัฒนาช่วยเหลือประชาชน ที่ผ่านมานั้นตนในฐานะผบ.ทบก็ไม่ได้มีประเด็นอะไรที่ขัดแย้งในพ.ร.บ.กลาโหม เพียงแต่มีคนมาถามตนว่ามีพ.ร.บ.กลาโหมอยู่แก้ได้หรือไม่ ตนก็ตอบว่าแก้ไม่ได้ เพราะตนเป็นคนพูดตรงไปตรงมา และขอพูดอีกครั้งว่าทหารเข็มแข็งก็เพื่อทำงานไม่ใช่เข็มแข็งเพื่อไปปฏิวัติ
ส่วนนายจตุพร พรหมพันธุ์แกนนำนปช. และส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ในเรื่องพ.ร.บ.กลาโหมนั้น ตนพูดชัดเจนหลังจากโยกย้ายนายทหารประจำปี โดยได้อธิบายว่ารัฐบาลและนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจในการโยกย้ายได้เลย เพราะโหวตเสียงอย่างไรก็แพ้เพราะมีแค่เสียงเดียวใน ๖ เสียงขอให้เข้าใจรัฐบาลด้วย เราจึงบอกว่าปัญหามาจากพ.ร.บ.กลาโหม ดังนั้น หลังน้ำลดค่อยมาสังคายนาแก้ปัญหากัน และแก้ปัญหากฎหมายที่ออกในสมัยคมช. ๑๗๗ ฉบับ ไม่ใช่แค่ฉบับเดียว
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยพยายามที่จะนำพ.ร.บ.กลาโหม เข้ามาแก้ไขในภาวะบ้านเมืองเกิดอุทกภัยร้ายแรงว่า ความพยายามเรื่องนี้เป็นประเด็นทางการเมืองหวังชำระแค้นกองทัพและคิดบัญชีในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือน พ.ค. ๕๓ และกล่าวด้วยว่า กองทัพมีพ.ร.บ.กลาโหมเพราะได้บทเรียนในยุครัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาฉวยโอกาสแทรกแซงเอาญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมรุ่นเข้ามารับตำแหน่งสำคัญในกองทัพเป็นตำแหน่งหลักทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นด้อยความสามารถ
นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการพรรคเพื่อไทยในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมายยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า ตนยืนยันว่าจะเสนอแก้พ.ร.บ.กลาโหมนี้แน่นอน แต่ไม่อยากให้กองทัพวิตกกังวลจนเกินไป ขอให้เคารพกติกา ผบ.ทบ.อย่ามาห้าม จะอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ทำให้สภาพเหมือนว่ากองทัพเป็นรัฐอิสระ ปกครองตัวเอง ห้ามรัฐบาลไปแตะต้อง ทั้งที่ต้องฟังกัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปหน่วยงานอื่นอาจขอให้ออกกฎหมายปกครองตนเองบ้าง อย่างไรก็ตามขณะนี้เป็นเพียงขั้นตอนการศึกษา ไม่ได้หมายความว่าจะต้องแก้ไข การจะแก้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความเห็นของสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่าทำเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่ทำเพื่อฝ่ายการเมือง
น.พ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีส.ส.พรรคเพื่อไทยพยายามผลักดันให้แก้ไขพ.ร.บ.กลาโหมว่า วิปรัฐบาลยังไม่ได้มีการเคลื่อนไหวหารือเรื่องนี้ เพราะยังไม่ทราบว่าเนื้อหาที่จะมีการแก้ไขเป็นอย่างไร ส่วนที่นายประชา ประสพดี ยืนยันจะนำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎรในวันที่ ๑๙ ต.ค.นั้น ก่อนที่จะนำเข้าก็มีหลายขั้นตอน และคงห้ามส.ส.ไม่ได้เพราะแต่ละคนต่างก็มีเอกสิทธิ์ในการทำงานด้านกฎหมายอยู่
พลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหมกล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้มีการแก้ไขพ.ร.บ.กลาโหมว่า ส่วนตัวปล่อยให้เป็นเรื่องที่ฝ่ายรับผิดชอบพูดกันไปและแสดงความคิดเห็นกันไปก่อน แต่หากส่วนรวมเห็นอย่างไรก็ต้องว่ากันไปตามวิถีทางการเมืองของเสียงข้างมาก ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของสภาฯ อย่าปล่อยให้เป็นเรื่องของคนคนเดียว และฝ่ายที่จะแก้ไขควรศึกษาพ.ร.บ.นี้โดยละเอียดทุกมาตรา ให้ไปดูว่าหากจะแก้ไขต้องแก้ไขตรงไหนบ้าง ไม่ใช่ดูแค่มาตราเดียว เมื่อดูในพระราชบัญญัติแล้วก็ควรดูในระเบียบกระทรวงกลาโหมที่เขียนขึ้นจากพระราชบัญญัตินี้ด้วยเป็นการศึกษาครอบคลุมทั้งหมด ถ้าแก้ไขต้องแก้ไขพร้อมกันไปซึ่งการดำเนินการต้องทำไปเพื่อส่วนรวม และควรดูให้ครบถ้วนและพูดกันทีเดียวแล้วดูว่า จุดสมดุลอยู่ที่ไหนเชื่อว่าฝ่ายทหารและฝ่ายการเมืองเห็นจุดสมดุลที่เกิดขึ้นจะเข้าใจกันและไปด้วยกันได้ อย่าเอียงขวาหรือเอียงซ้ายมากเกินไป ตนอยู่ตรงกลางถ้าเรื่องนี้มาถึงเมื่อไร ตนมีหน้าที่นำเข้าสู่ที่ประชุมสภากลาโหมเพื่อพิจารณาร่วมกันก่อน
ครับเรื่องพ.ร.บ.กลาโหมยังคงเป็นเรื่องที่มีการยื้อยุดระหว่างหลายฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองกับฝ่ายทหารโดยมีฝ่ายค้านในสภาที่คอยจ้องจับผิดกับรัฐบาลเป็นระยะๆ เพราะฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขพ.ร.บ.ฉบับนี้
เรื่องพ.ร.บ.กลาโหมนี้ถ้าเข้าถึงสภาเมื่อไรคงมีการอภิปรายกันเผ็ดร้อนแน่