ภายหลังผลการเลือกตั้งออกมา ใครที่เป็นแฟนคลับพรรคเพื่อไทยคงดีใจเฮกันลั่น ดูได้จากเมืองหลวงคนเสื้อแดงและชาวเพื่อไทยที่มีการจุดพลุฉลองหลังว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ออกมาแถลงภายหลังผลคะแนนของพรรคเพื่อไทยนำอยู่ ในเวลานั้น
เอาเถอะครับ เพื่อไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์ เป็นอะไรที่ไม่เกินความคาดหมาย เพราะต้องไม่ลืมว่าสัดส่วนของ ส.ส. ส่วนใหญ่อยู่ที่ภาคอีสานและภาคเหนือซึ่งถือเป็นพื้นที่ของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย
ถึงแม้ว่าประชาธิปัตย์จะยึดพื้นที่กรุงเทพฯได้ ด้วยการชนะพรรคเพื่อไทย จาก 33 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์ได้ไปยี่สิบกว่าที่นั่ง ก็ชัดเจนแล้วว่าคนกรุงเทพฯยังไงๆ ก็ยังไม่เชื่อใจพรรคเพื่อไทยที่มีมวลชนคนเสื้อแดงหนุนหลัง กลุ่มคนเผาบ้านเผาเมือง จนกรุงเทพฯถูกปล้นถูกเผาจนควันดำโขมงและอยู่ภายใต้การครอบงำของนักโทษหนีคดีอย่างทักษิณ
แต่ด้วยข้อมูลข่าวสารที่ไม่สามารถส่งลงไปจนถึงชาวบ้านตาดำๆได้ รวมไปถึงการจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อให้ชาวบ้านที่ชื่นชอบในตัวอดีตนายกทักษิณเกาะกลุ่มกันได้ดีมากขึ้น แถมมิหนำซ้ำยังมีการกรอกหูปั่นหัวให้ชาวบ้านเกิดความเชื่อผิดๆในหลายหลายๆเรื่อง หรือพูดง่ายๆก็มีการล้างสมองกันกันทั้งวงกว้างและวงลึกเลยทีเดียว
เมื่อมองขึ้นเหนือไปแล้วก็ต้องมองกลับลงมาที่ภาคใต้ ภาคใต้ยังคงปกคลุมไปด้วยสีฟ้าจากประชาธิปัตย์เหมือนเดิม ฐานเสียงอันเหนียวแน่นทางภาคใต้ซึ่งมีขนาดพื้นที่และจำนวน ส.ส.น้อยกว่าภาคอีสานและเหนือมาก ยังไงก็ไม่สามารถจะสู้เสียงจัดตั้งจากมวลชนคนเสื้อแดงอยู่ดี
ปีนี้เป็นที่น่าดีใจว่าคนไทยตื่นตัวกันมากขึ้นจริงๆ เพราะมีผู้มาใช้สิทธิ กว่า 35,203,107 คนเลยทีเดียวซึ่งคิดเป็น 75.03 % ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด
เขียนถึงตรงนี้เข้าเรื่องสำคัญของเรากันดีกว่า ผมไม่สนว่าเพื่อไทยได้กี่ล้านคะแนน พรรคประชาธิปัตย์ตามอยู่กี่คะแนน แต่สิ่งที่ผมสนใจคือ เสียงที่หายไป และความหมายของเสียงที่หายไป
การเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมามีกาหย่อนกล่องลงคะแนนในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนแบบแบ่งเขต 1,419,088 บัตร คิดเป็น 4.03 % ของบัตรทั้งหมด และแบบบัญชีรายชื่อ 958,052 หรือคิดเป็น 2.72 % ของบัตรทั้งหมด
สำหรับโหวต โน ที่ได้มาล้านกว่าเสียงนี้แหละครับ คือแฟนพันธุ์แท้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งที่มาชุมนุมและที่เป็นพันธมิตรหน้าจอ ถึงจะไม่มากจนถล่มทลาย แต่ก็มากมายพอที่จะทำให้รู้ว่า คนเหล่านี้เข้าใจปัญหาและปฏิเสธการคอรัปชั่นโกงกิน ระบบการเมืองน้ำเน่าและนักการเมืองชั่ว
ส่วนบัตรเสีย นั้นก็เยอะแซงคะแนนโหวตโนไปเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเยอะมากทีเดียว บัตรเสียแบบแบ่งเขตอย่างเดียวก็ ปาเข้าไป 2,039,694 บัตร คิดเป็น 5.79 % และบัตรเสียแบบบัญชีรายชื่ออีก 1,726,051 บัตร ซึ่งมาจากจำนวนผู้ใช้สิทธิที่บางส่วนอาจทับซ้อนกันอยู่ คิดเป็น4.9% ของบัตรทั้งหมด
ที่ผมหยิบตัวเลขบัตรเสียและโหวตโนมานั้น ผมมีเหตุผลนะครับ เพราะว่าผมเชื่อว่าตัวเลขเหล่านี้กำลังสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนที่กำลังเผชิญกับระบบการเมืองน้ำเน่าและความล้มเหลวของระบบการเมืองไทย
เมื่อเอา เสียงโหวตโนล้วนๆ เลยทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ ซึ่งอาจมาจากจำนวนผู้ใช้สิทธิบางส่วนทับซ้อนกันเช่นกัน มารวมกันจะได้ทั้งหมดกว่า 2,377,140 บัตรหรือคิดเป็น 6.75%ของผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด
แล้วลองมารวมบัตรเสียทั้งหมดมารวมกันดูบ้าง ผลที่ได้คือบัตรเสียงทั้งหมด 3,765,745 บัตร และคิดเป็น 10.69% เลยทีเดียว บัตรเสียจำนวนมากเกินปกติเช่นนี้ คงไม่ใช่เกิดจากความเข้าใจผิด หรือความผิดพลาดเล็กๆน้อยในการลงคะแนน แต่น่าจะมาจากความต้องการและจงใจให้เป็นบัตรเสียของผู้ใช้สิทธิ รวมทั้งอาจเกิดจากการสกัดกั้นจำนวนโหวตโน ด้วยการถูกขานให้เป็นบัตรเสีย
ที่บัตรเสียเยอะกว่าโหวตโนที่พวกเรากลุ่มพันธมิตรฯ พยายามเรียกร้องให้คนช่วยกันกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน อาจจะเป็นเพราะว่าประชาชนที่ทำบัตรเสีย รู้สึกว่าไม่อยากตกเป็นเครื่องมือของทั้งพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองกลุ่มใดๆ จึงเลือกทำบัตรเสียดีกว่า เรื่องนี้ผมได้รับการคอนเฟิร์มจากหลายๆคนที่ผมรู้จัก รวมทั้งทัศนะของคนบางส่วนในสังคมออนไลน์ คนกลุ่มนี้ไม่เหลืองไม่แดง ไม่ได้ชอบหรือรักทักษิณ หรือเป็นแม่ยกท่านอดีตนายกฯอภิสิทธิ์
พูดง่ายๆคือคนสองกลุ่มนี้ไม่ว่าจะบัตรเสียหรือว่าโหวตโน ก็คือประชาชนที่เบื่อการเมือง แต่ก็ยังมารักษาสิทธิและทำหน้าที่ด้วยการไปเลือกตั้ง
และเมื่อลองเอาเสียงจากทั้งบัตรเสียและโหวตโนมารวมกัน เราจะได้ตัวเลขออกมาดังนี้ บัตรเสียบวกโหวตโนได้ 6,142,885 และคิดเป็น 17.44% ซึ่งถือว่าเยอะมาก
เสียงกว่าหกล้านเสียงเบื่อการเมือง เป็นอะไรที่ผมอยากให้นักการเมืองหันกลับมามองคนกลุ่มนี้บ้างว่าทำไมประชาชนถึงเบื่อการเมืองขนาดนี้ นักการเมืองต้องหัดหันมามองตัวเองบ้างนะครับ งานนี้ก่อนที่ตัวเลขตรงนี้เยอะขึ้นไปกว่านี้ในการเลือกตั้งรอบหน้า หรือในการเลือกตั้งท้องถิ่นต่างๆ ที่ผมเชื่อว่ามีแนวโน้มที่บัตรเสียหรือปริมาณคนโหวตโนจะมากขึ้นอีก
ความคิดทวนกระแส ของกลุ่มคนโหวตโน และใช้สิทธิลงคะแนนเป็นบัตรเสีย เป็นคนกลุ่มน้อย ผมว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทฤษฏี แนวคิด ความเชื่อ หลักการ จำนวนมาก ก่อเกิดในคนกลุ่มน้อยก่อน เมื่อผ่านการพิสูจน์สัจธรรมจึงขยายได้รับการยอมรับจากคนหมู่มาก
แนวคิดของคนกลุ่มน้อยต้องการสร้างทางออกให้สังคมไทย หลุดออกไปจากวังวนระบบการเมืองเก่า ด้วยการปฏิรูปการเมือง และแสดงให้นักการเมืองเห็นว่า ประชาชนที่ปฏิเสธการเมืองน้ำเน่าและนักการเมืองชั่วจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นๆ
นักการเมืองชั่วต้องถูกขับออกไป การเมืองน้ำเน่าจะต้องถูกล้างถ่ายเทน้ำเน่าออกไป เพื่อให้เกิดระบบการเมืองน้ำใส
หากต้องการการยอมรับจากประชาชน นักการเมืองต้องมีคุณภาพมีความรู้ความสามารถ มีจริยธรรมซื่อสัตย์สุจริตไม่คดโกง มีคุณสมบัติพอให้ประชาชนเชื่อถือได้
ต่อไปก็ต้องคอยดูหน้าตารัฐบาลว่าจะออกมาแย่และขี้เหร่แค่ไหน เพราะมีแนวโน้มว่าจะมีการแบ่งชามข้าวเพื่อตอบแทนความดีความชอบของคนบางกลุ่ม แถมเมื่อปูแดงจับมือกับปลาไหลบวกเสือหิวกระทิงโหยทั้งหลาย ประชาชนต้องผะอืดผะอมทนดูการเมืองน้ำเน่า ที่มันน้ำเน่าเสียยิ่งกว่าละครหลังข่าวเสียอีก
เอาเถอะครับ เพื่อไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์ เป็นอะไรที่ไม่เกินความคาดหมาย เพราะต้องไม่ลืมว่าสัดส่วนของ ส.ส. ส่วนใหญ่อยู่ที่ภาคอีสานและภาคเหนือซึ่งถือเป็นพื้นที่ของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย
ถึงแม้ว่าประชาธิปัตย์จะยึดพื้นที่กรุงเทพฯได้ ด้วยการชนะพรรคเพื่อไทย จาก 33 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์ได้ไปยี่สิบกว่าที่นั่ง ก็ชัดเจนแล้วว่าคนกรุงเทพฯยังไงๆ ก็ยังไม่เชื่อใจพรรคเพื่อไทยที่มีมวลชนคนเสื้อแดงหนุนหลัง กลุ่มคนเผาบ้านเผาเมือง จนกรุงเทพฯถูกปล้นถูกเผาจนควันดำโขมงและอยู่ภายใต้การครอบงำของนักโทษหนีคดีอย่างทักษิณ
แต่ด้วยข้อมูลข่าวสารที่ไม่สามารถส่งลงไปจนถึงชาวบ้านตาดำๆได้ รวมไปถึงการจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อให้ชาวบ้านที่ชื่นชอบในตัวอดีตนายกทักษิณเกาะกลุ่มกันได้ดีมากขึ้น แถมมิหนำซ้ำยังมีการกรอกหูปั่นหัวให้ชาวบ้านเกิดความเชื่อผิดๆในหลายหลายๆเรื่อง หรือพูดง่ายๆก็มีการล้างสมองกันกันทั้งวงกว้างและวงลึกเลยทีเดียว
เมื่อมองขึ้นเหนือไปแล้วก็ต้องมองกลับลงมาที่ภาคใต้ ภาคใต้ยังคงปกคลุมไปด้วยสีฟ้าจากประชาธิปัตย์เหมือนเดิม ฐานเสียงอันเหนียวแน่นทางภาคใต้ซึ่งมีขนาดพื้นที่และจำนวน ส.ส.น้อยกว่าภาคอีสานและเหนือมาก ยังไงก็ไม่สามารถจะสู้เสียงจัดตั้งจากมวลชนคนเสื้อแดงอยู่ดี
ปีนี้เป็นที่น่าดีใจว่าคนไทยตื่นตัวกันมากขึ้นจริงๆ เพราะมีผู้มาใช้สิทธิ กว่า 35,203,107 คนเลยทีเดียวซึ่งคิดเป็น 75.03 % ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด
เขียนถึงตรงนี้เข้าเรื่องสำคัญของเรากันดีกว่า ผมไม่สนว่าเพื่อไทยได้กี่ล้านคะแนน พรรคประชาธิปัตย์ตามอยู่กี่คะแนน แต่สิ่งที่ผมสนใจคือ เสียงที่หายไป และความหมายของเสียงที่หายไป
การเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมามีกาหย่อนกล่องลงคะแนนในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนแบบแบ่งเขต 1,419,088 บัตร คิดเป็น 4.03 % ของบัตรทั้งหมด และแบบบัญชีรายชื่อ 958,052 หรือคิดเป็น 2.72 % ของบัตรทั้งหมด
สำหรับโหวต โน ที่ได้มาล้านกว่าเสียงนี้แหละครับ คือแฟนพันธุ์แท้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งที่มาชุมนุมและที่เป็นพันธมิตรหน้าจอ ถึงจะไม่มากจนถล่มทลาย แต่ก็มากมายพอที่จะทำให้รู้ว่า คนเหล่านี้เข้าใจปัญหาและปฏิเสธการคอรัปชั่นโกงกิน ระบบการเมืองน้ำเน่าและนักการเมืองชั่ว
ส่วนบัตรเสีย นั้นก็เยอะแซงคะแนนโหวตโนไปเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเยอะมากทีเดียว บัตรเสียแบบแบ่งเขตอย่างเดียวก็ ปาเข้าไป 2,039,694 บัตร คิดเป็น 5.79 % และบัตรเสียแบบบัญชีรายชื่ออีก 1,726,051 บัตร ซึ่งมาจากจำนวนผู้ใช้สิทธิที่บางส่วนอาจทับซ้อนกันอยู่ คิดเป็น4.9% ของบัตรทั้งหมด
ที่ผมหยิบตัวเลขบัตรเสียและโหวตโนมานั้น ผมมีเหตุผลนะครับ เพราะว่าผมเชื่อว่าตัวเลขเหล่านี้กำลังสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนที่กำลังเผชิญกับระบบการเมืองน้ำเน่าและความล้มเหลวของระบบการเมืองไทย
เมื่อเอา เสียงโหวตโนล้วนๆ เลยทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ ซึ่งอาจมาจากจำนวนผู้ใช้สิทธิบางส่วนทับซ้อนกันเช่นกัน มารวมกันจะได้ทั้งหมดกว่า 2,377,140 บัตรหรือคิดเป็น 6.75%ของผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด
แล้วลองมารวมบัตรเสียทั้งหมดมารวมกันดูบ้าง ผลที่ได้คือบัตรเสียงทั้งหมด 3,765,745 บัตร และคิดเป็น 10.69% เลยทีเดียว บัตรเสียจำนวนมากเกินปกติเช่นนี้ คงไม่ใช่เกิดจากความเข้าใจผิด หรือความผิดพลาดเล็กๆน้อยในการลงคะแนน แต่น่าจะมาจากความต้องการและจงใจให้เป็นบัตรเสียของผู้ใช้สิทธิ รวมทั้งอาจเกิดจากการสกัดกั้นจำนวนโหวตโน ด้วยการถูกขานให้เป็นบัตรเสีย
ที่บัตรเสียเยอะกว่าโหวตโนที่พวกเรากลุ่มพันธมิตรฯ พยายามเรียกร้องให้คนช่วยกันกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน อาจจะเป็นเพราะว่าประชาชนที่ทำบัตรเสีย รู้สึกว่าไม่อยากตกเป็นเครื่องมือของทั้งพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองกลุ่มใดๆ จึงเลือกทำบัตรเสียดีกว่า เรื่องนี้ผมได้รับการคอนเฟิร์มจากหลายๆคนที่ผมรู้จัก รวมทั้งทัศนะของคนบางส่วนในสังคมออนไลน์ คนกลุ่มนี้ไม่เหลืองไม่แดง ไม่ได้ชอบหรือรักทักษิณ หรือเป็นแม่ยกท่านอดีตนายกฯอภิสิทธิ์
พูดง่ายๆคือคนสองกลุ่มนี้ไม่ว่าจะบัตรเสียหรือว่าโหวตโน ก็คือประชาชนที่เบื่อการเมือง แต่ก็ยังมารักษาสิทธิและทำหน้าที่ด้วยการไปเลือกตั้ง
และเมื่อลองเอาเสียงจากทั้งบัตรเสียและโหวตโนมารวมกัน เราจะได้ตัวเลขออกมาดังนี้ บัตรเสียบวกโหวตโนได้ 6,142,885 และคิดเป็น 17.44% ซึ่งถือว่าเยอะมาก
เสียงกว่าหกล้านเสียงเบื่อการเมือง เป็นอะไรที่ผมอยากให้นักการเมืองหันกลับมามองคนกลุ่มนี้บ้างว่าทำไมประชาชนถึงเบื่อการเมืองขนาดนี้ นักการเมืองต้องหัดหันมามองตัวเองบ้างนะครับ งานนี้ก่อนที่ตัวเลขตรงนี้เยอะขึ้นไปกว่านี้ในการเลือกตั้งรอบหน้า หรือในการเลือกตั้งท้องถิ่นต่างๆ ที่ผมเชื่อว่ามีแนวโน้มที่บัตรเสียหรือปริมาณคนโหวตโนจะมากขึ้นอีก
ความคิดทวนกระแส ของกลุ่มคนโหวตโน และใช้สิทธิลงคะแนนเป็นบัตรเสีย เป็นคนกลุ่มน้อย ผมว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทฤษฏี แนวคิด ความเชื่อ หลักการ จำนวนมาก ก่อเกิดในคนกลุ่มน้อยก่อน เมื่อผ่านการพิสูจน์สัจธรรมจึงขยายได้รับการยอมรับจากคนหมู่มาก
แนวคิดของคนกลุ่มน้อยต้องการสร้างทางออกให้สังคมไทย หลุดออกไปจากวังวนระบบการเมืองเก่า ด้วยการปฏิรูปการเมือง และแสดงให้นักการเมืองเห็นว่า ประชาชนที่ปฏิเสธการเมืองน้ำเน่าและนักการเมืองชั่วจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นๆ
นักการเมืองชั่วต้องถูกขับออกไป การเมืองน้ำเน่าจะต้องถูกล้างถ่ายเทน้ำเน่าออกไป เพื่อให้เกิดระบบการเมืองน้ำใส
หากต้องการการยอมรับจากประชาชน นักการเมืองต้องมีคุณภาพมีความรู้ความสามารถ มีจริยธรรมซื่อสัตย์สุจริตไม่คดโกง มีคุณสมบัติพอให้ประชาชนเชื่อถือได้
ต่อไปก็ต้องคอยดูหน้าตารัฐบาลว่าจะออกมาแย่และขี้เหร่แค่ไหน เพราะมีแนวโน้มว่าจะมีการแบ่งชามข้าวเพื่อตอบแทนความดีความชอบของคนบางกลุ่ม แถมเมื่อปูแดงจับมือกับปลาไหลบวกเสือหิวกระทิงโหยทั้งหลาย ประชาชนต้องผะอืดผะอมทนดูการเมืองน้ำเน่า ที่มันน้ำเน่าเสียยิ่งกว่าละครหลังข่าวเสียอีก