xs
xsm
sm
md
lg

ปชต.แบบหลอกใช้กันไป

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

สำนวนเสร็จนาฆ่าโคถึก-เสร็จศึกฆ่าขุนพลกำลังเป็นศัพท์ฮิตในฤดูเลือกตั้ง บรรดาโคถึกที่ออกข่าวโวยวายมีอยู่ทุกขั้วทุกพรรค...บ้างก็ไม่ได้ลงส.ส.ตามรับที่เคยรับปาก บ้างก็จู่ๆ ถูกดันขึ้นปาร์ตี้ลิสต์ไม่บอกกล่าว บ้างเป็นแกนนำมวลชนอีสานแต่ถูกนักเลือกตั้งมาเบียดต้องมาประท้วงที่หน้าพรรค และยังมีกรณีเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล แกนนำรักเชียงใหม่ 51 ออกมาโวยไม่พอใจที่ได้ลำดับปาร์ตี้ลิสต์ที่ 86 ซึ่งมีโอกาสเป็นส.ส.น้อยมากทั้ง ๆ ที่มีคดีติดตัวอยู่ถึง 57 คดี

ไอ้การโวยวายไม่ได้ดั่งใจของวงการเมืองแบบนี้เป็นเรื่องปกติมีมาทุกยุคสมัยระดับทำให้พรรคแตกมาแล้วก็มีเช่นกรณีกลุ่ม 10 มกราในพรรคประชาธิปัตย์ที่โด่งดัง หรือแม้กระทั่งกรณีที่สมชาย-เจ๊แดง-ทักษิณหักดิบสมัคร สุนทรเวชไม่ให้นั่งนายกฯรอบสองทำให้เนวิน ชิดชอบกลายหอบมุ้งหนีล้วนแต่เป็นอาการไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งก็ไม่รู้ใครหลอกใครกันแน่เพราะแท้จริงแล้วสัมพันธภาพในวงการเมืองมันก็คือการหลอกใช้ซึ่งกันและกัน ต่างก็มีเป้าหมายผลประโยชน์เฉพาะตัวแอบแฝงกันอยู่ทั้งสิ้นและที่สำคัญแต่ละคนแต่ละฝ่ายก็โต ๆ พอที่จะรู้ว่าหากจะหาดูตัวอย่างการทรยศหักหลังประดามีในโลกในนี้ให้ดูได้ในวงการเมือง

ดังนั้นการจะยกสำนวนโบราณมาเปรียบเปรยทำนองว่าถูกหักหลังเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลนั้นมันก็มีส่วนถูกอยู่บ้าง แต่หากจะโทษฝ่ายที่หักหลังไม่ทำตามสัญญาทั้งหมดก็ไม่น่าจะใช่เสียทีเดียวเพราะฝ่ายโคถึกที่ถูกหลอกนั้นก็เต็มใจให้หลอกอยู่เหมือนกัน ประหนึ่งว่าแทงพนันหวังรวยย่อมไม่ถูกไปเสียทุกตา การต่อรองทางการเมืองนั้นมีความเสี่ยงไม่ต่างจากการพนันเท่าใดนักหรอก อันว่าการเมืองมันก็ตาดีได้ตาร้ายเหมือนการพนันนั่นแลเพราะแท้จริงแล้วมันยากจะหา “ความจริง”ได้จากวงการเมืองอย่างคำให้สัมภาษณ์คำแถลงของรัฐมนตรีของส.ส.ไปจนถึงของแกนนำม็อบจตุพรที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์แต่ละวันมันคือความจริงแท้สักเท่าใดกัน หัวหน้าพรรคโน้นบอกจะได้เท่านี้เสียง คนนี้บอกจะได้มากกว่าอีกฝ่ายไม่น้อยกว่า 30 ล้วนแต่เป็นเรื่องไม่จริงทั้งสิ้นแต่คนส่วนใหญ่ก็เต็มใจที่รับฟัง เต็มใจให้หลอก

โคถึกหรือขุนพลที่อกหักผิดหวังในการต่อรองทางการเมืองบางรายอาจจะถูกหลอกจริง ๆ บางรายเก๋าหน่อยก็แค่คำรามต่อรอง บ้างก็เป็นโคถึกที่ถือคติกำขี้ดีกว่ากำตดก็มีเช่นกัน ดังนั้นในฐานะผู้บริโภคข่าวสารไม่ควรเชื่อกระแสข่าวปิงปองข่าวปล่อยข่าวโยนก้อนหินถามทางไปทั้งหมด นักข่าวไปสัมภาษณ์พวกอกหัก หน็อย ! ทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเหมือนโกรธแค้นผิดหวังจะเป็นจะตายเขาก็แค่อาศัยพื้นที่สื่อนำเสนอความไม่พอใจเพื่อจะต่อรองผลประโยชน์ให้มากขึ้น วันดีคืนดีพอเขาเกี้ยเซี๊ยะกันลงตัวก็โทษสื่อตามเคยอ้างแหล่งข่าวเขียนยุยงไปเรื่อย อย่างล่าสุดยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ว่าพี่ชายของเธอไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดโผปาร์ตี้ลิสต์เลยแม้แต่น้อย (โธ่ใครจะเชื่อ)

ยกตัวอย่างมาเพื่อบอกว่าโลกของการเมืองแบบที่เราเป็นอยู่มันเป็นโลกของการหลอกลวงจริง ๆ อย่าว่าแต่โคถึกที่เขาโวยวายกันชาวบ้านร้านถิ่นแบบเรา ๆ นี่แหละคือส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การหลอกลวงซึ่งกันและกันในนามของประชาธิปไตยไทย ๆ

ขอยกตัวอย่างเรื่องเล็ก ๆ นิดเดียวแต่มันสะท้อนถึงความตอแหลของการเมืองในฤดูเลือกตั้งได้ชัดดี !

เป็นเรื่องงบประมาณเลือกตั้งที่กกต.กำหนดไม่เกินคนละ 1.5 ล้านบาทเพราะมันคือการต้มตุ๋น หลอกตัวเองของคนไทยไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง นักการเมือง รัฐ ตำรวจ กกต. และประชาชนทั่วไปล้วนแต่ปิดตาตัวเองข้างหนึ่งทั้งสิ้น...เพราะข้อเท็จจริงก็คือ ค่าใช้จ่ายที่นักเลือกตั้งแทบทั้งหมดเขาทำ ๆ กันล้วนแต่เกิน 1.5 ล้านบาททั้งนั้น บางเขตไม่ใช่ 30 ล้านแล้วครับ เขาสู้กันระดับ 50-60 ล้านบาทด้วยซ้ำไปอย่าว่าแต่ส.ส.เลยระดับเลือกนายกเทศมนตรีเทศบาลนครฯ นี่ก็หลายสิบล้านไม่แพ้ ส.ส.เหมือนกัน

กกต.คำนวณค่าใช้จ่ายขั้นต่ำที่วิญญูชน(ซึ่งไม่มีในโลกการเมือง)กระทำ โค้ดตัวเลขไว้ที่ 1.5 ล้านบาทแต่กกต.เองทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการแข่งขันในแทบทุกพื้นที่จ่ายเกินทั้งนั้นกลับไม่มีปัญญาจับผิดอะไรใครได้ เท่าที่ผ่านตามา กกต.ไม่เคยจับผิดกรณีใช้เงินเกินแม้แต่กรณีเดียว ประกาศไปงั้น ๆ แล้วให้คู่แข่งเขาไล่จับผิดเอาเอง ส่วนเครือข่ายของกกต.ขอโทษเถอะครับมีไว้เบิกเบี้ยเลี้ยงให้ครบ ๆ ตามระบบราชการเท่านั้นไม่มีปัญญาไปจับผิดใครเขาหรอก

กกต.ประกาศตัวเลขมาเพื่อหลอกตัวเอง สมมติว่าไม่มีใครร้องเรียนจับใครไม่ได้ในรอบนี้ กกต.ก็คงเคลมว่าเป็นการเลือกตั้งที่ทุกฝ่ายใช้เงินตามเพดานทั้งสิ้นเป็นการเลือกตั้งที่สมบูรณ์ คงจะฝันไปหากกกต.เกิดประกาศกล่าวโทษตัวเองที่ไม่สามารถจับผิดคนใช้เงินเกินได้ และยอมรับว่าตนเองไร้ประสิทธิภาพ

รัฐไทยรณรงค์เรื่องการเลือกตั้ง=ประชาธิปไตย มายาวนานตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก...ขายเสียงขายสิทธิ์เหมือนขายชีวิตขายชาติ, อย่านอนหลับทับสิทธิ์, ไปเลือกตั้งเพื่อประชาธิปไตย, ซึ่งก็ได้ผลบ้างไม่ได้บ้าง..ที่ไม่ได้เลยก็คือการรณรงค์ไม่ให้โกงเลือกตั้งเพราะว่ามันก็โกงกันยันตั้งแต่ระดับอบต.ไปจนถึงส.ส. ส่วนที่ได้ผลเต็ม ๆ กลับเป็นความคิดฝังหัวที่ว่า มีเลือกตั้ง เท่ากับ มีประชาธิปไตย ก่อให้เกิดระบอบเลือกตั้งธิปไตย ทั้ง ๆ ที่การเลือกตั้งมันเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งซึ่งต้องอาศัยองค์ประกอบอื่น ๆ มาร่วมจึงก่อให้เกิดประชาธิปไตยได้จริง ๆ

สังคมไทย (ที่หมายถึงประชาชน-พรรคการเมือง-นักการเมือง ฯลฯ ส่วนใหญ่) จึงมองข้ามองค์ประกอบอื่น ๆ มุ่งไปเพียงเรื่องเดียวคือการเลือกตั้งและผลของการเลือกตั้ง...สังคมส่วนใหญ่ไม่สนว่าพรรคไหนเสนอนโยบายอะไร มีจุดยืนทางอุดมการณ์อย่างไร ไม่สนว่าเอาตัวเน่าตัวเหม็นตัวด่างพร้อยมาลงปาร์ตี้ลิสต์ ไม่สนว่าใครจะใช้เงินหาเสียงเท่าไหร่ จะเกิน 1.5 ล้านบาทหรือไม่ เพราะทุกคนรู้แล้วว่าส.ส.และพรรคต้องใช้เงินมากกว่านั้น .. ทุกคนก็รู้ว่ามีการโกงเกิดขึ้นแต่ถ้าจับไม่ติดก็แล้วไปส่งเสริมระบอบศรีธนนไชยการเลี่ยงบาลีทำผิดแล้วไม่ถูกจับ แล้วเราก็มาหลอกตัวเองว่าเราเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย(เพราะเรามีการเลือกตั้งแบบที่ใครไม่ถูกร้องเรียนมีหลักฐานมัดถือว่าบริสุทธิ์)

เราอ่านข่าวมีนักการเมืองโคถึกโวยวายว่าถูกหลอกใช้ ไม่ได้รับเลือกให้ลงสมัครหรือได้ตำแหน่งที่อยากได้ อ่านข่าวแล้วบ้างก็ขำ ก็สะใจ ก็สลดใจ ฯลฯ ว่ากันไปตามแต่ละคน ไม่ลองสำรวจตัวเองดูสักหนดีไหมว่าเรานั้นต่างจากนักการเมืองโคถึกเหล่านี้ตรงไหน ? เพราะเราเองนั้นก็ถูกหลอกลวงจากเล่ห์มายาทางการเมืองมายาวนานถ้วนหน้า แค่พรรคการเมืองและผู้สมัครส.ส.ประกาศว่าจะใช้เงินไม่เกิน 1.5 ล้านบาท/คน/เขต มันก็คือการหลอกลวงซึ่งหน้าครั้งใหญ่ที่สังคมทั้งสังคมยิ้มรับเต็มใจให้หลอก

นักการเมืองเวลาผิดหวังจะบ่นว่าตนเองเหมือนโคถึกเสร็จหน้านา.., ส่วนประชาชนที่ถูกหลอกมามายาวนานจะบ่นว่าอะไรดี ? ผมคนนึงล่ะที่ไม่เต็มใจให้เขาหลอก นึกในใจเล่น ๆ ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงขอให้หักคอพวกที่ใช้เงินเกิน 1.5 ล้านบาทให้หมด แล้วก็ขอให้หักคอกตต.ที่รับรองว่าทุกพรรคใช้เงินไม่เกินเขตละ 1.5 ล้านพร้อมกันไปด้วย !!
กำลังโหลดความคิดเห็น