xs
xsm
sm
md
lg

นาคปรก...เงามืดวงการสงฆ์

เผยแพร่:   โดย: ยุรชัฏ ชาติสุทธิชัย


ภาพพระสงฆ์องค์เจ้าเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง การขึ้นเวทีปราศรัย การใช้วาจาอันไม่เหมาะสม ลามมาถึงการร่วมกับกลุ่มอันธพาลใช้ความรุนแรงไปคุกคามทำร้ายผู้คนทั้งบนถนนและถึงบ้านพัก อย่างกรณีคณะของ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทองที่เชียงใหม่ ล่าสุดยังทำพิธีกรรมกลางที่ชุมนุมทั้งสวดชะยันโต และพระขึ้นเวทีโกนผมให้สีกา ผมว่าทำเอาชาวพุทธเห็นแล้วสะอึกอึ้งไปเลยครับ

พระควรมีบทบาทสร้างสรรค์ต่อสังคมและประเทศชาติ พระควรใช้ธรรมเตือนสติผู้คนให้ใช้ปัญญา พระควรปฎิบัติตนให้เหมาะควรตามสมณเพศ พระควรเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนในสังคม แต่ทุกวันนี้มีพระจำนวนมากที่เป็นเพียงคนห่มผ้าเหลืองที่แอบแฝงเข้ามาหาผลประโยชน์ หากินหลอกลวงชาวบ้านในคราบผ้าเหลืองด้วยสารพัดวิธี แถมยังมีข่าวเนืองๆ เรื่องพระก่ออาชญากรรมล่วงละเมิดทางเพศ แม้กระทั่งค้ายาเสพติดและเป็นโจร ผมว่าพระบ้านเราไปไกลเกินกว่าจะกู่กลับแล้วหละครับ

สุดสัปดาห์นี้ผมมีโอกาสดูภาพยนตร์เรื่อง “นาคปรก” ดูแล้วก็อดนำมาเล่ามาคุยกับท่านผู้อ่านไม่ได้ เพราะเป็นหนังไทยเรื่องหนึ่งที่ทำออกมาได้แรงและน่าสนใจมากเลยทีเดียว หนังเรื่องนี้ทำเสร็จรอฉายอยู่หลายปีเพราะมีเนื้อหาที่พูดถึงด้านมืดของศาสนาอย่างชัดเจน ตัวละครหลายตัวในเรื่องล้วนมีกิเลสกันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าใครต้องการอะไร

ผมเชื่อว่าหลายคนคงได้อ่านเรื่องย่อหรือได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาแล้ว ดังนั้นผมคงไม่ต้องเล่าแล้วนะครับในส่วนนี้ หรือถ้าใครยังไม่อ่านลองหาอ่านได้ใน เอเอสทีวีผู้จัดการ ส่วนซูเปอร์บันเทิง

หนังเรื่องนี้กว่าจะได้ฉาย ใช้เวลาต่อสู้กันอยู่กว่าสามปี เพราะกองเซ็นเซอร์พยายามจะตัดฉากล่อแหลมออกไป แต่สุดท้ายหนังเรื่องนี้ก็ได้ฉาย ภายใต้ระบบการจัดเรทติ้งหนังไทยที่เข้ามาควบคุมให้ผู้เข้าชมหนังเรื่องนี้ ต้องมีอายุมากกว่าสิบแปดปี นี่เป็นครั้งแรกของวงการหนังไทยที่มีการใช้ระบบเรทติ้งอย่างจริงจัง

ผมมองว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เราต้องย้อนดูตัวเอง และสังคมไทยสมัยนี้เสียใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของพระสงฆ์ ผมไม่อยากใช้คำว่าพระพุทธศาสนา

พระสงฆ์ที่มีบทบาทคือหลวงตา พระผู้ที่บวชให้โจร พระรูปนี้ภายนอกดูเคร่งศาสนา เป็นคนดี และพยายามจะทำให้โจรต้องกลับใจ

แต่สุดท้ายแล้วตัวหลวงตาเองก็เข้ามาที่วัดเพราะมีเป้าหมายบางอย่าง แถมท่าทางจะทำผิดศีลอย่างรุนแรงและดูไปดูมาก็เป็นโจรในผ้าเหลืองไม่ต่างอะไรกับโจรทั้งสามที่เข้ามาในวัด

ดูหนังเรื่องนี้ไม่พูดถึงโจรสามคนคงไม่ได้ เริ่มต้นที่ “พระสิน” ตัวละครที่เล่นโดย เรย์ แมคโดแนลด์ ซึ่งเป็นคนมุทะลุทำอะไรก็เอาแต่ใจเป็นคนอารมณ์รุนแรงและพยามทำตามเป้าหมายอย่างเดียวไม่สนใจอย่างอื่น คนแบบนี้พอปล้นผ้าเหลืองมาก็ไม่เคยคิดถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่ ถึงแม้ว่าทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่เรื่องสมมติของพระเก๊เท่านั้น

ตัวละครโจรอีกคนหนึ่งที่แสดงโดย “เต๋า” สมชาย เข็มกลัด เป็นคนวางแผนบวชเข้ามาเพื่อหาของที่ต้องการ แรกๆ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแต่พอบวชไปนานๆ ดวงตาเริ่มเห็นธรรม และมีจิตสำนึกดีเข้ามาทำให้ เกิดความขัดแย้งภายในใจ ท้ายที่สุดต้องพบกับจุดจบก่อนที่จะสามารถกลับตัวกลับใจได้

โจรคนสุดท้าย คือ “เต้” ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์ แม้ไม่ได้บวชแต่ก็ได้สนทนาธรรมกับหลวงตา ทำให้เป็นคนเดียวที่รอดจากกิเลสเข้าไปครอบงำจิตใจ

พระพุทธเจ้าเปรียบคนกับ “บัวสี่เหล่า” ตัวละครโจรทั้งสามตัวนั้นแสดงถึง “บัวสามเหล่า” ที่มีความแตกต่างกันอย่างมากแบบที่ไม่น่าเชื่อ

หรือตัวละครอย่างทราย เจริญปุระ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความโลภบังตาจนทำให้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ต้องการอะไรก็พยามตะเกียกตะกายเอาให้ได้

ประโยคที่ผมชอบมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือคำพูดที่ว่า “ศาสนาไม่ได้เสื่อม คนเราต่างหากที่เสื่อม” ทำให้ต้องหันกลับมามองพระสงฆ์ในมุมใหม่ เพราะในประเทศไทยไม่มีการคัดกรองก่อนที่ใครสักคนจะเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา

ต้องขอบอกว่าเดี๋ยวนี้เวลาผมจะกราบไหว้พระสงฆ์หนึ่งรูป ต้องคิดแล้วคิดอีก บางครั้งก็เลยต้องคิดเสียว่าเรากราบผ้าเหลือง ไม่ได้กราบคนที่ห่มผ้าเหลืองอยู่ เพราะเราไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่าชายคนนี้เป็นพระสงฆ์จริงหรือไม่

เดี๋ยวนี้บางทีเช้าเราไหว้พระสงฆ์ ไม่แน่นะครับ ตกดึกเราอาจได้เห็นชายหัวล้านมาไหว้เราตามผับตามบาร์ ซึ่งบางคนเราก็ไม่รู้หรอกครับว่าชายคนดังกล่าวเนื้อแท้เป็นอะไรกันแน่

ความเสื่อมของพระที่เป็นโจรเข้ามาบวชในหนังนั้น นับว่าเป็นเพียงส่วนเสี้ยวน้อยนิด เทียบกับความจริงไม่ได้ เลย เพราะความเสื่อมของพระสงฆ์ในเมืองไทยทุกวันนี้ มืดดำแผ่กว้างอยู่ในคราบผ้าเหลือง ร้ายแรงกว่าในหนังมากมายนัก

แล้วต่อไปใครจะกราบพระลงละครับเนี่ย พระสงฆ์เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา แต่ถ้าพระสงฆ์นั้นหวังพึ่งไม่ได้ขึ้นมาแล้ว สุดท้ายคนเรานั้นแหละที่จะทำให้ศาสนาเสื่อม
กำลังโหลดความคิดเห็น