ถ้าคำโฟนอินของทักษิณ ชินวัตรที่สนาม 700 ปีเชียงใหม่คืนส่งท้ายปีเก่าเป็นจริง..จะส่งผลต่อสภาพโดยรวมของการเมืองช่วงต้นปีอย่างมีนัยสำคัญ
ทักษิณ บอกว่าให้ยึดแนวทางอหิงสาในการต่อสู้
ขีดเส้นใต้คำพูดของเขาได้หลายจุด “อยากบอกกับพี่น้องเสื้อแดงว่า ขอให้พร้อมแบบอหิงสา พร้อมแบบสันติ ที่พวกเราจะแสดงพลังให้รับรู้กันว่า พวกเราไม่กลัว แต่พวกเราไม่ใช่อันธพาล”
หากทักษิณพูดจริงเท่ากับเป็นการกำหนดกรอบยุทธศาสตร์การต่อสู้ของคนเสื้อแดงในปี 2553 ไม่ให้เลยเถิดถึงขั้นเผาบ้านเผาเมืองเหมือนสงกรานต์ปีที่แล้ว
อีกสองวัน ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ตามออกมาบอกว่าจะประชุมกำหนดท่าทีในวันที่ 15 มกราคม ต่อจากนั้นจะมีการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงที่สามารถล้มรัฐบาลได้แน่นอน แต่ก็ไม่ลืมหยอดท้ายว่าเป็นการต่อสู้ตามแนวทางสันติ
หากเป็นแบบนี้ยุทธศาสตร์หลักการชิงอำนาจของทักษิณจะอยู่ที่รัฐสภา เกมการแก้รัฐธรรมนูญ การไม่ไว้วางใจ และการช่วงชิงจำนวนมือเป็นธงแรก และอยู่ที่การกดดันให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่เป็นธงลำดับถัดไป
ส่วนการชุมนุมของมวลชนคนเสื้อแดงจะกลายเป็นแค่การขับเคลื่อนเพื่อกดดันหรือเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น
แต่หากเลยกรอบไปเผาบ้านเผาเมือง ต่อให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาหนีแต่ก็ไม่แน่ว่ากระแสสังคมก่อนและหลังการเลือกตั้งจะเป็นใจให้กับคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยแค่ไหน
มองไปที่ประชาธิปัตย์ ประเมินหยาบ ๆ ว่ามีแฟนประจำอยู่ประมาณ 10-12 ล้านกลม ๆ (ที่ผันแปรก็คงเป็นเพราะพรรคการเมืองใหม่เป็นหลัก) การจะชนะเลือกตั้งจะต้องสร้างความนิยมให้กับเสียงกลาง ๆ ที่เคยเลือกพรรคอื่น ๆ เช่น ชาติไทย มัชฌิมา เพื่อแผ่นดินอีกไม่น้อยกว่า 3 ล้านเสียงขึ้นไปแม้เป็นเรื่องไม่ง่ายนักแต่ก็มีความเป็นไปได้หากนโยบายของปี 52 เริ่มเห็นผลออกมาบ้าง
(แฟนานุแฟนของปชป.คงไม่ชอบใจที่เคยวิจารณ์แรง ๆ ถึงนายกฯ อภิสิทธิ์ ขอให้ทราบว่าการทำงานของปชป.หากไม่เข้าตาเสียงกลาง ๆ ก็ยากจะชนะ คนที่มีปฎิกริยาส่วนใหญ่ก็พวกแฟนเก่าที่ยังไงก็เลือกแต่ไม่มีผลกับการเมืองโดยรวมเลย ขอยืนยันว่าจาก 1 ปีที่ผ่านมาหากไม่ปรับวิธีการทำงานยังยากที่จะดึงเสียงกลาง ๆได้)
แต่ที่สุดแล้วหากเกิดการจลาจลเผาบ้านเมืองจนต้องยุบสภา คะแนนเสียงจากคนกลาง ๆ ที่ประชาธิปัตย์โหยหาอาจจะเทมาให้กับพรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผมอย่างคาดไม่ถึงเพื่อส่งสัญญาณปฏิเสธแนวทางเผาบ้านตัวเองของพรรคเพื่อไทยและคนสีแดง
เช่นเดียวกับภาคอีสานที่คะแนนอาจไหลไปหาภูมิใจไทย แม้เพิ่งจะพ่ายแพ้ที่มหาสารคามแต่ก็เฉียดฉิวเต็มที
ไม่เพียงแต่คะแนนเลือกตั้งหรอก แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลอาจจะถูกกดดันจากกระแสสังคมไม่ให้เป็นร่วมคบหากับพรรคเพื่อไทยที่แสดงบทอันธพาลเผาเมือง ยิ่งหากพรรคเพื่อไทยได้เก้าอี้ไม่ถึงครึ่งยิ่งน่ากลัวว่าจะหาพวกร่วมรัฐบาลได้ยาก
ดังนั้นแนวทางเผาบ้านเผาเมืองจึงกลายเป็นยุทธศาสตร์ที่เข้ากันไม่ได้กับแผนการเลือกตั้งที่ฝ่ายส.ส.ต้องการ เพราะยังไง ๆ แฮนดิแคปก็เป็นต่อ.. โพลไหน ๆ พรรคสีแดงก็ชนะอยู่แล้วขอเพียงอย่างเดียวอย่าให้จตุพรออกมาสกัดขาพวกเดียวกันด้วยการพรรคพวกมาเผาเมืองเลย
ถึงแม้สถานการณ์แวดล้อมทุกประการขับเน้นให้เกมในสภา/เกมเลือกตั้ง/เกมพรรคร่วม กลายมาเป็นยุทธศาสตร์หลักแต่ที่สุดแล้วการขับเคลื่อนมวลชนนอกสภาก็ยังจำเป็นอยู่เพื่อจะกดดันและเพื่อการต่อรองในเกมอำนาจ
สังเกตเวลาคนเสื้อแดงจะระดมพลใหญ่ มักจะมีกระบวนการปูทางที่หลากหลาย เช่นมีโต๊ะจีน มีโฟนอินเข้ามาปลุกคนให้ตื่น และมีกระบวนการเพิ่มอุณหภูมิด้วยการข่มขู่ด้วยจิตวิทยาสังคม เช่นประกาศเอาคนมาเป็นแสน การทวิตด้วยท่วงทำนองที่ก้าวร้าวดุดัน การปลุกคนด้วยถ้อยคำที่ดุเดือดเอาจริงของเหล่าดีเจ.ต่างจังหวัด และการออกมาให้ข่าวรายวันของคณะสามเกลอ
กระบวนการสร้างความหวาดกลัวให้กับคนในสังคมเป็นจิตวิทยาสังคมชั้นสูง จัดเป็นอาวุธชนิดหนึ่ง ถ้าคนกลัว ไม่ซื้อ ไม่ลงทุน ฯลฯ ถือว่าอาวุธดังกล่าวเข้าเป้า ก็เหมือนกับจิตวิทยาสังคมที่ส่งผลต่อตลาดทุนซึ่งเคยเห็นกันเป็นประจำ
จตุพร และพวกเชี่ยวชาญในศาสตร์ด้านนี้พอสมควรเพราะทันทีที่เขาออกมานั่งแสยะใบหน้าผ่านกล้องแสดงท่าทีดุดันก่อนการนัดหมายชุมนุม เขาสามารถดึงบรรยากาศความสงบสุขออกจากสังคมแล้วบรรจงควักเอาบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว/วิตกกังวลมาปกคลุมแทนที่
เงื่อนไขความสำเร็จของจิตวิทยาสังคมที่จะสร้างความหวาดกลัววิตกกังวลในวงกว้างได้ก็คือคนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร ไม่ทราบว่าทักษิณจะเอาอย่างไรกันแน่ แต่หากทราบคำเฉลยแล้ว ต่อให้ตีหน้ายักษ์ข่มขู่อย่างไรคนดูจะไม่กลัวเพราะรู้ว่านี่เป็นการแสดงละคร
ถ้าทักษิณพูดจริง จตุพร พรหมพันธุ์ จะทำงานข่มขู่สังคมได้ยากขึ้น เพราะทักษิณเขาประกาศไว้อย่างเป็นทางการแล้วว่าให้ต่อสู้ในแนวทางสันติ อหิงสา
แต่ถ้าจะให้งานของจตุพรได้ผลดี ผู้คนหวาดกลัวการเคลื่อนมวลชนคนเสื้อแดงจะต้องทำให้คำพูดของทักษิณไร้ผล ทำให้คนไม่เชื่อคำพูดของทักษิณ-จตุพรคงไม่กล้าประกาศว่าพี่น้องเอ้ยทักษิณโกหกอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามหากมองอีกมุมหนึ่ง เป็นไปได้หรือไม่ที่ทักษิณจงใจพูดโกหกในวันส่งท้ายปีเก่า ตั้งใจประกาศว่าให้เสื้อแดงใช้แนวทางสันติ อหิงสา ทำให้สังคมทั้งหมดตายใจ เพื่อไม่ให้ระวังต่อแผนการขับเคลื่อนด้วยความรุนแรงของมวลชนคนเสื้อแดง
ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา ทักษิณถูกสังคมจับโกหกได้ตลอดเวลา เขาเสียสุนัขเพราะถูกจับโกหกหลายครั้ง... แม้กระทั่งล่าสุดการโฟนอินวันที่ 10 ธันวาคมที่ใช้คำประโยคเดียวกันกับจักรภพ เพ็ญแข ในวันนั้นแนวทางยุทธศาสตร์การต่อสู้ของเขาสามารถตีความไปได้ถึงเมื่อครั้งพ.ศ.2475 เลยทีเดียว
พอมาวันที่ 31 ธันวาคมคำพูดของเขาทำให้ตีความแนวทางการต่อสู้ได้อีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งเป็นทิศตรงกันข้ามกับการเผาบ้านเผาเมือง
คำพูดที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยของทักษิณทำให้เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาสถานการณ์การเมืองที่ชัดเจนได้
ด้วยเหตุนี้จึงขอสรุปการเมืองช่วงต้นปีได้เพียง 2 บรรทัดคือ
ถ้าทักษิณพูดจริง จตุพรจะทำงานลำบากขึ้น
แต่ถ้าทักษิณพูดเท็จ ทักษิณก็สุนัข(อีก)แล้ว !
ทักษิณ บอกว่าให้ยึดแนวทางอหิงสาในการต่อสู้
ขีดเส้นใต้คำพูดของเขาได้หลายจุด “อยากบอกกับพี่น้องเสื้อแดงว่า ขอให้พร้อมแบบอหิงสา พร้อมแบบสันติ ที่พวกเราจะแสดงพลังให้รับรู้กันว่า พวกเราไม่กลัว แต่พวกเราไม่ใช่อันธพาล”
หากทักษิณพูดจริงเท่ากับเป็นการกำหนดกรอบยุทธศาสตร์การต่อสู้ของคนเสื้อแดงในปี 2553 ไม่ให้เลยเถิดถึงขั้นเผาบ้านเผาเมืองเหมือนสงกรานต์ปีที่แล้ว
อีกสองวัน ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ตามออกมาบอกว่าจะประชุมกำหนดท่าทีในวันที่ 15 มกราคม ต่อจากนั้นจะมีการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงที่สามารถล้มรัฐบาลได้แน่นอน แต่ก็ไม่ลืมหยอดท้ายว่าเป็นการต่อสู้ตามแนวทางสันติ
หากเป็นแบบนี้ยุทธศาสตร์หลักการชิงอำนาจของทักษิณจะอยู่ที่รัฐสภา เกมการแก้รัฐธรรมนูญ การไม่ไว้วางใจ และการช่วงชิงจำนวนมือเป็นธงแรก และอยู่ที่การกดดันให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่เป็นธงลำดับถัดไป
ส่วนการชุมนุมของมวลชนคนเสื้อแดงจะกลายเป็นแค่การขับเคลื่อนเพื่อกดดันหรือเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น
แต่หากเลยกรอบไปเผาบ้านเผาเมือง ต่อให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาหนีแต่ก็ไม่แน่ว่ากระแสสังคมก่อนและหลังการเลือกตั้งจะเป็นใจให้กับคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยแค่ไหน
มองไปที่ประชาธิปัตย์ ประเมินหยาบ ๆ ว่ามีแฟนประจำอยู่ประมาณ 10-12 ล้านกลม ๆ (ที่ผันแปรก็คงเป็นเพราะพรรคการเมืองใหม่เป็นหลัก) การจะชนะเลือกตั้งจะต้องสร้างความนิยมให้กับเสียงกลาง ๆ ที่เคยเลือกพรรคอื่น ๆ เช่น ชาติไทย มัชฌิมา เพื่อแผ่นดินอีกไม่น้อยกว่า 3 ล้านเสียงขึ้นไปแม้เป็นเรื่องไม่ง่ายนักแต่ก็มีความเป็นไปได้หากนโยบายของปี 52 เริ่มเห็นผลออกมาบ้าง
(แฟนานุแฟนของปชป.คงไม่ชอบใจที่เคยวิจารณ์แรง ๆ ถึงนายกฯ อภิสิทธิ์ ขอให้ทราบว่าการทำงานของปชป.หากไม่เข้าตาเสียงกลาง ๆ ก็ยากจะชนะ คนที่มีปฎิกริยาส่วนใหญ่ก็พวกแฟนเก่าที่ยังไงก็เลือกแต่ไม่มีผลกับการเมืองโดยรวมเลย ขอยืนยันว่าจาก 1 ปีที่ผ่านมาหากไม่ปรับวิธีการทำงานยังยากที่จะดึงเสียงกลาง ๆได้)
แต่ที่สุดแล้วหากเกิดการจลาจลเผาบ้านเมืองจนต้องยุบสภา คะแนนเสียงจากคนกลาง ๆ ที่ประชาธิปัตย์โหยหาอาจจะเทมาให้กับพรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผมอย่างคาดไม่ถึงเพื่อส่งสัญญาณปฏิเสธแนวทางเผาบ้านตัวเองของพรรคเพื่อไทยและคนสีแดง
เช่นเดียวกับภาคอีสานที่คะแนนอาจไหลไปหาภูมิใจไทย แม้เพิ่งจะพ่ายแพ้ที่มหาสารคามแต่ก็เฉียดฉิวเต็มที
ไม่เพียงแต่คะแนนเลือกตั้งหรอก แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลอาจจะถูกกดดันจากกระแสสังคมไม่ให้เป็นร่วมคบหากับพรรคเพื่อไทยที่แสดงบทอันธพาลเผาเมือง ยิ่งหากพรรคเพื่อไทยได้เก้าอี้ไม่ถึงครึ่งยิ่งน่ากลัวว่าจะหาพวกร่วมรัฐบาลได้ยาก
ดังนั้นแนวทางเผาบ้านเผาเมืองจึงกลายเป็นยุทธศาสตร์ที่เข้ากันไม่ได้กับแผนการเลือกตั้งที่ฝ่ายส.ส.ต้องการ เพราะยังไง ๆ แฮนดิแคปก็เป็นต่อ.. โพลไหน ๆ พรรคสีแดงก็ชนะอยู่แล้วขอเพียงอย่างเดียวอย่าให้จตุพรออกมาสกัดขาพวกเดียวกันด้วยการพรรคพวกมาเผาเมืองเลย
ถึงแม้สถานการณ์แวดล้อมทุกประการขับเน้นให้เกมในสภา/เกมเลือกตั้ง/เกมพรรคร่วม กลายมาเป็นยุทธศาสตร์หลักแต่ที่สุดแล้วการขับเคลื่อนมวลชนนอกสภาก็ยังจำเป็นอยู่เพื่อจะกดดันและเพื่อการต่อรองในเกมอำนาจ
สังเกตเวลาคนเสื้อแดงจะระดมพลใหญ่ มักจะมีกระบวนการปูทางที่หลากหลาย เช่นมีโต๊ะจีน มีโฟนอินเข้ามาปลุกคนให้ตื่น และมีกระบวนการเพิ่มอุณหภูมิด้วยการข่มขู่ด้วยจิตวิทยาสังคม เช่นประกาศเอาคนมาเป็นแสน การทวิตด้วยท่วงทำนองที่ก้าวร้าวดุดัน การปลุกคนด้วยถ้อยคำที่ดุเดือดเอาจริงของเหล่าดีเจ.ต่างจังหวัด และการออกมาให้ข่าวรายวันของคณะสามเกลอ
กระบวนการสร้างความหวาดกลัวให้กับคนในสังคมเป็นจิตวิทยาสังคมชั้นสูง จัดเป็นอาวุธชนิดหนึ่ง ถ้าคนกลัว ไม่ซื้อ ไม่ลงทุน ฯลฯ ถือว่าอาวุธดังกล่าวเข้าเป้า ก็เหมือนกับจิตวิทยาสังคมที่ส่งผลต่อตลาดทุนซึ่งเคยเห็นกันเป็นประจำ
จตุพร และพวกเชี่ยวชาญในศาสตร์ด้านนี้พอสมควรเพราะทันทีที่เขาออกมานั่งแสยะใบหน้าผ่านกล้องแสดงท่าทีดุดันก่อนการนัดหมายชุมนุม เขาสามารถดึงบรรยากาศความสงบสุขออกจากสังคมแล้วบรรจงควักเอาบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว/วิตกกังวลมาปกคลุมแทนที่
เงื่อนไขความสำเร็จของจิตวิทยาสังคมที่จะสร้างความหวาดกลัววิตกกังวลในวงกว้างได้ก็คือคนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร ไม่ทราบว่าทักษิณจะเอาอย่างไรกันแน่ แต่หากทราบคำเฉลยแล้ว ต่อให้ตีหน้ายักษ์ข่มขู่อย่างไรคนดูจะไม่กลัวเพราะรู้ว่านี่เป็นการแสดงละคร
ถ้าทักษิณพูดจริง จตุพร พรหมพันธุ์ จะทำงานข่มขู่สังคมได้ยากขึ้น เพราะทักษิณเขาประกาศไว้อย่างเป็นทางการแล้วว่าให้ต่อสู้ในแนวทางสันติ อหิงสา
แต่ถ้าจะให้งานของจตุพรได้ผลดี ผู้คนหวาดกลัวการเคลื่อนมวลชนคนเสื้อแดงจะต้องทำให้คำพูดของทักษิณไร้ผล ทำให้คนไม่เชื่อคำพูดของทักษิณ-จตุพรคงไม่กล้าประกาศว่าพี่น้องเอ้ยทักษิณโกหกอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามหากมองอีกมุมหนึ่ง เป็นไปได้หรือไม่ที่ทักษิณจงใจพูดโกหกในวันส่งท้ายปีเก่า ตั้งใจประกาศว่าให้เสื้อแดงใช้แนวทางสันติ อหิงสา ทำให้สังคมทั้งหมดตายใจ เพื่อไม่ให้ระวังต่อแผนการขับเคลื่อนด้วยความรุนแรงของมวลชนคนเสื้อแดง
ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา ทักษิณถูกสังคมจับโกหกได้ตลอดเวลา เขาเสียสุนัขเพราะถูกจับโกหกหลายครั้ง... แม้กระทั่งล่าสุดการโฟนอินวันที่ 10 ธันวาคมที่ใช้คำประโยคเดียวกันกับจักรภพ เพ็ญแข ในวันนั้นแนวทางยุทธศาสตร์การต่อสู้ของเขาสามารถตีความไปได้ถึงเมื่อครั้งพ.ศ.2475 เลยทีเดียว
พอมาวันที่ 31 ธันวาคมคำพูดของเขาทำให้ตีความแนวทางการต่อสู้ได้อีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งเป็นทิศตรงกันข้ามกับการเผาบ้านเผาเมือง
คำพูดที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยของทักษิณทำให้เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาสถานการณ์การเมืองที่ชัดเจนได้
ด้วยเหตุนี้จึงขอสรุปการเมืองช่วงต้นปีได้เพียง 2 บรรทัดคือ
ถ้าทักษิณพูดจริง จตุพรจะทำงานลำบากขึ้น
แต่ถ้าทักษิณพูดเท็จ ทักษิณก็สุนัข(อีก)แล้ว !